Tuesday, March 1, 2016

เขาว่า นักลัทธิมาร์กซ ท่องจำมาพูด

เขาว่านักลัทธิมาร์กซ ท่องจำมาพูด

เมื่อต้นปีนี้    องค์การเพื่อประชาธิปไตยไทย (อปท.)   ที่เป็นองค์กรหนึ่งของประชาชนไทยผู้รักประ ชาธิปไตย ได้เสนอบทสรุปวิเคราะห์สถานการณ์การเคลื่อนไหวต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยของประชาชนไทยในรอบปีที่ผ่านมา     ในแง่มุมที่แตกต่างไปจากการวิเคราะห์ขององค์กรอื่นๆโดยแสดงให้เห็นถึง จุดอ่อน  จุดแข็ง เงื่อนไข  โอกาส    และแนวทางการต่อสู้ของประชาชนไทยผู้รักประชาธิปไตยอย่างค่อนข้างจะเป็นระบบ    แน่นอน.ย่อมมีทั้งผู้ที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วย  ทำให้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ตามมาโดยเฉพาะจากผู้ที่ไม่เห็นด้วยในเรื่องของทฤษฎีที่ใช้วิเคราะห์    

ผู้เขียนเองเป็นคนหนึ่งที่เห็นด้วยและให้การสนับสนุนแนวทางการต่อสู้ขององค์กรนี้  มีความยินดีที่บท วิเคราะห์เป็นที่สนใจของประชาชน       และได้น้อมรับฟังคำวิพากษ์วิจารณ์ที่สร้างสรรค์ไว้ด้วยความเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่าง       แต่สำหรับการวิพากษ์วิจารณ์ที่เกิดจากความไม่รู้หรือ เข้าใจผิดนั้นก็จะขอทำการชี้แจงและแลกเปลี่ยนด้วยไมตรีจิตในขอบเขตของสติปัญญาแห่งตน   แต่การวิจารณ์ที่เกิดจากความเกลียดชัง  หยามหยัน   และอคตินั้น     ก็มีความจำเป็นที่จะชี้แจงโต้แย้ง  โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องหลักการของทฤษฎี ที่ใช้ในการวิเคราะห์ 

แนวคิดและวิธีการมองสรรพสิ่งของปรัชญาลัทธิมาร์กซนั้น      ได้ถือกำเนิดขึ้นมาโดยผลึกทางปัญญา ของ คาร์ล มาร์กซ และฟรีดริก เองเกล       ในช่วงเวลาที่ประกาศออกมาก็ได้รับการคัดค้านกล่าวร้ายวิพากษ์วิจารณ์โจมตีอย่างหนัก ไม่ใช่เพียงแค่ในปัจจุบันนี้เท่านั้น        ทั้งนี้...ก็เนื่องจากมันได้เสนอความจริงและได้ชี้ทางออกจากการที่ถูกกดขี่และถูกเอารัดเอาเปรียบให้แก่ประชาชนผู้ทุกข์ยากจำนวนมหาศาลให้หลุดพ้นจากแอกที่ทุกข์ทรมานในสังคมที่มีชนชั้น         สัจธรรมของมันได้ไปกระทบผลประโยชน์ของชนชั้นผู้กดขี่อย่างรุนแรง       มันจึงกลายเป็นสิ่งที่น่ารังเกียจและอันตรายอย่างยิ่งต่อสถานภาพของผู้กดขี่ทั้งชนชั้น    

ในฐานะที่เป็นผู้ศึกษาและเชื่อมั่นในสัจธรรมของลัทธิมาร์กซคนหนึ่ง      เมื่อได้พบกับการกล่าวร้ายบิดเบือนสัจธรรมของมัน   ย่อมมีสิทธิ์ที่จะปกป้องความเชื่อและศรัทธาของตนด้วยการชี้ แจงตอบโต้กับคำกล่าวร้ายบิดเบือนนั้นๆ     เพราะถือว่าเป็นหน้าที่ๆจะอธิบายถึงบทบาทภาระ หน้าที่ และคุณูปการของลัทธิมาร์กซที่มีต่อผู้ถูกกดขี่ทั้งมวล       แม้ว่าจะเป็นแค่ผู้ที่ศึกษาลัทธิมาร์กซ ก็ตาม

ดังได้กล่าวมาแล้วว่า มีบุคคลได้วิพากษ์วิจารณ์เรื่องการวิเคราะห์สถานการณ์บ้านเมือง   การเคลื่อนไหวต่อสู้ของประชาชน ฯลฯ ขององค์กรเพื่อประชาธิปไตยประชาชน   ทั้งยังได้พาดพิงกล่าวอ้างถึงปรัชญาลัทธิมาร์กซในเชิงหมิ่นแคลน    ไม่ว่าจะเป็นเพราะมีความรังเกียจ     มีอคติ   ไม่รู้จริง  หรือเข้าใจผิดอะไรก็แล้วแต่      จึงขอเสนอความเห็นต่างในประเด็นต่างๆที่ท่านได้กล่าวมา โดยจะขอยกคำพูดของท่านผู้นั้นมาเป็นเรื่องๆดังต่อไปนี้    ที่ได้กล่าวถึงการใช้ทฤษฎีในการวิเคราะห์สังคมว่า

1 วิเคราะห์แบบ SWOT(Strengths  Weakness   Opportunity และ Treatens)  นั้นไม่พอต้องทำ town matrix เพื่อให้ได้ยุทธศาสตร์ ยุทธวิธีด้วย ไม่อย่างนั้นจะจบแค่ SWOT ไม่ได้ strategic planning 

เรื่องนี้ผมเห็นด้วยแต่อยากจะบอกว่า    กลุ่มผู้วิเคราะห์ไม่ได้ใช้หลักการวิเคราะห์แบบ SWOT ทั้งหมด ที่พิจารณาเพียงแค่องค์ประกอบ 4 ประการ   คือความเข้มแข็ง  ข้ออ่อนด้อย โอกาสเงื่อนไข  เนื่องจาก เป็นการวิเคราะห์ที่มองเพียงจากปรากฏการณ์เท่านั้น    ยังไม่เข้าใจถึงความขัดแย้งที่ทำให้เกิดปรากฏ เช่นว่านั้น  นอกเหนือจากการวิเคราะห์แบบ SWOT แล้ว  อปท.ยังได้ใช้หลักการทางทฤษฎีลัทธิมาร์กซมาอธิบายปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นอีกด้วย       

สำหรับการวิเคราะห์แบบ SWOT   ย่อมถือว่าเพียงพอสำหรับการวิเคราะห์ปัญหาที่ไม่มีความซับซ้อนอะไรมากมายนัก       แต่เมื่อนำไปวิเคราะห์ปัญหาที่มีความสลับซับซ้อนเช่นปัญหาสังคม    กระบวน  การเปลี่ยนแปลงทางสังคม ฯลฯ       มันจะไม่สามารถให้คำตอบที่ชัดเจนหรือแนวทางการแก้ปัญหานั้นๆได้  เนื่องจาก SWOT มีความจำกัดในตัวของมันเอง       กลุ่มวิเคราะห์ของ อปท. ได้ใช้แนวทางและทฤษฎีของลัทธิมาร์กซ  ที่เรียกว่าวิภาษวิธี  มาเป็นวิธีการหลักในการวิเคราะห์    ซึ่งโดยเนื้อหาแล้วประกอบไปด้วยกฎของความขัดแย้ง    ความสัมพันธ์ของสรรพสิ่ง    รวมไปถึงการเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงที่เกิดจากการสะสมทางปริมาณของมันซึ่งเป็นแรงผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงจากสิ่งหนึ่งไปสู่สิ่งหนึ่งที่ใหม่กว่า   หรือที่รู้จักกันว่า “กระบวนการเปลี่ยนแปลงทางปริมาณไปสู่คุณภาพ”

สิ่งที่ อปท.วิเคราะห์ออกมา    ก็เพื่อเสนอให้มวลชนได้เข้าใจเหตุการณ์ในช่วงระยะเวลาหนึ่งๆเท่านั้นว่า   พวกเขาควรจะกำหนดยุทธวิธีในการเคลื่อนไหวต่อสู้ให้เหมาะสมได้อย่างไรตามสภาพที่เป็นจริง    ไม่ใช่กำหนดการเคลื่อนไหวต่อสู้แบบที่เกิดจากความเพ้อฝันคิดเอาเอง    หรืออยากจะทำอะไรก็ทำ     นั่นเป็นเนื้อหาสาระทางยุทธวิธีไม่ใช่ทางยุทธศาสตร์เพราะ    การกำหนดยุทธวิธี..    อย่างน้อยที่สุดจะต้องมีความเข้าใจสถานการณ์ในขณะนั้นๆได้ดีในระดับหนึ่ง     ผู้เขียนเห็นว่าผู้วิจารณ์มีความเข้าใจสับสนในเรื่องยุทธศาสตร์/ยุทธวิธีอยู่    โดยมองยุทธวิธีเป็นยุทธศาสตร์     คือมองปัญหาแบบกลับหัวกลับหางนั่นเอง

สำหรับกลุ่มนักวิเคราะห์ของ อปท. นั้น พวกเขาล้ำหน้าไปไกลถึงระดับวิเคราะห์ ลักษณะของสังคม คมไทย แล้ว  ไม่ใช่แค่ระดับสถานการณ์การต่อสู้ทั่วไป       ถ้าไม่เช่นนั้น เราคงจะไม่ได้ยินประโยคที่ว่าสังคมไทยเป็น  “สังคมทุนนิยมผูกขาดศักดินาเหนือรัฐ”   จึงมีคำถามว่า...จะสร้างยุทธศาสตร์ขึ้นมาได้อย่างไร?    ตอบว่า...ถ้าจะกำหนดยุทธศาสตร์......มีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องทำการค้น คว้าวิเคราะห์ถึงลักษณะทั่วไปของมันควบคู่ไปกับการวิเคราะห์ลักษณะเฉพาะ เพราะลักษณะเฉพาะของมันจะนำไปสู่การกำหนดยุทธศาตร์ !!!!       เพราะในแต่ละสังคมย่อมมีลักษณะเฉพาะของมันเอง สังคมไทยก็เช่นเดียวกันไม่มีข้อยกเว้น     เช่นนี้จึงจะสามารถเข้าใจปัญหาที่แท้จริงและครอบคลุม  ซึ่งนั่นเป็นวิธีการของนักลัทธิมาร์กซ       หากทฤษฎีที่ใช้วิเคราะห์..ผิด   การกำหนดยุทธศาสตร์ก็จะผิด   การต่อสู้ก็จะประสบความพ่ายแพ้อย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้      

2 . ผู้วิจารณ์กล่าวว่า...กลุ่มวิเคราะห์มีข้อจำกัดทางทฤษฎี

การกล่าวเช่นนี้ เป็นเรื่องที่ใช้ไม่ได้อย่างยิ่งในทางวิชาการ  เป็นการดูหมิ่นภูมิปัญญาของผู้อื่น       ผู้วิจารณ์ไม่รู้เลยหรือว่าพวกเขาวิเคราะห์ในแค่ในช่วงของปีที่ผ่านมาเท่านั้น       และเพราะความจำกัดทางทฤษฎีของผู้วิจารณ์นั่นเองจึงได้กล่าวว่าพวกเขามีข้อจำกัดทางทฤษฎี       อาจจะเป็นเพราะว่า ท่านไม่มีความรู้ด้านทฤษฎีลัทธิมาร์กซ       ซึ่งเป็นทฤษฎีทางสังคมที่พวกเขาใช้ในการอธิบายสังคม       พวกเขาไม่ได้ใช้ทฤษฎีสีมาอธิบายปรากฏการณ์ทางสังคม       ทฤษฎีที่จะนำมาวิเคราะห์สังคม..ด้านหลักต้องเป็นทฤษฎีทางสังคมส่วนทฤษฎีอื่นๆนั้นใช้เป็นองค์ประกอบ    ไม่ใช่ใช้ทฤษฎีเศรษฐศาสตร์ เป็นด้านหลักในการอธิบายปรากฏการณ์ทางสังคม    ถ้าเช่นนั้นก็จะเป็นเสมือนที่ให้คุณหญิงหมอ พรทิพย์    ไปอธิบายคุณสมบัติของไม้ชี้ศพหรือระเบิดปิงปอง    เพราะนั่นเป็นการสร้างตรรกวิบัติขึ้นมาหลอกลวงประชาชน

ทั้งยังกล่าวต่อไปอีกว่า     รู้แต่มาร์กซิสต์   ทำให้ทำให้สายอื่นเบื่อที่จะฟัง    เพราะมันจะไปจบที่เดียวกันหมดคือ  จัดตั้ง  ปว.ประชาชน  พรรคคอมฯ(อาจชื่อแบบอื่น)    เส้นทางมันเดาได้อยู่แล้ว   หากใช้ methodology นี้    สุดท้ายทุกคนฟัง  แต่ไม่ขยับ  และไม่เกิดผลอะไร    เพราะเงื่อนไขไทยไม่ใช่เงื่อนไขการต่อสู้ทางชนชั้น  แต่เป็นการต่อสู้เพื่อ ปชต.

จากคำกล่าวนี้ทำให้เกิดคำถามขึ้นว่า....แล้วจะเอาทฤษฎีอะไรที่ไม่ใช่ทฤษฎีลัทธิมาร์กซมาอธิบายสังคม     เรื่องนี้ผู้วิจารณ์ต้องให้คำตอบที่ชัดเจนและอย่างเป็นเหตุเป็นผล     ว่าประชาชนควรจะใช้ทฤษฎีการต่อสู้อย่างไรถึงจะเอาชนะศัตรูได้ซึ่งไม่ใช่ ”ทฤษฎีแห่งการรอคอย”      ในระยะร่วมสิบปีมานี้ประชาชนไทยได้มีประสบการณ์ในการต่อสู้มามากมายหลายครั้งไม่เคยชนะหากแต้ได้รับความสูญเสียอย่างมากมาย    การเคลื่อนไหวต่อสู้ที่ผ่านมาที่มีคนเข้าร่วมนับแสนคน    บางครั้งมากถึง 3-4 แสนคน   รวมถึงผู้สนับสนุนที่ไม่ได้เข้าร่วมอีกนับล้านทั่วประเทศสรุปแล้วก็ยังไม่เคยชนะ     มิใช่เพราะทฤษฎีการต่อสู้ที่ผิดพลาดหรือ?   ตัวท่านเองได้ศึกษาค้นคว้า  สรุปบทเรียนของความพ่ายแพ้ของประชาชนในแต่ละครั้งบ้างไหม?    ว่ามันเกิดขึ้นได้อย่างไร?     เอาละ....จะขอสรุปให้ดูดังนี้คือ 

1)  กำหนดยุทธศาสตร์ที่ไม่รอบด้าน    ต้องการเพียงให้รัฐบาล ปชป.ลาออก   ใช้การชุมนุมเป็นยุทธวิธีโดยไม่คำนึงถึงสภาพที่เป็นจริง    ไม่รู้จักแยกมิตร-แยกศัตรูให้ชัดเจน  ด้วยผลักมิตรไปหาศัตรูรู้จักแต่รุกไม่รู้จักการถอย     เนื่องจากไม่เข้าใจการถอยทางยุทธวิธี   คิดเพียงแต่ว่าจะใช้มวลชนจำ นวนมากๆมากดดันศัตรู

2) ไม่มีการจัดตั้งที่เป็นระบบ      เพียงแต่ป่าวร้องให้ประชาชนที่รู้สึกดีต่อคุณทักษิณเข้าร่วมชุมนุม   ต่างคนต่างมาโดยผ่านการจัดการจากหัวคะแนนของสส.แต่ละจังหวัด     จึงเข้าทำนองว่า คนของใครของมัน    ขบวนการต่อสู้จึงมีลักษณะกระจัดกระจายและมีความเป็นอนาธิปไตยสูง     ไม่มีความเป็นเอกภาพ   หากจะเทียบกับฝ่ายตรงกันข้ามที่มีการจัดตั้งอย่างดี  แข็งแกร่งและเข้มงวด  มีวินัย และที่สำคัญคือ ติดอาวุธ     

3)  ใช้การปลุกระดมเพียงอย่างเดียว   ไม่ให้การศึกษาทางการเมืองแก่ประชาชน   เป็นการต่อสู้ที่สุขนิยมมาก  มีการปราศรัยสลับกับการร้องรำทำเพลง       และบางครั้งไม่พูดความจริงใช้วิธีปลอบขวัญประชาชนด้วยเรื่องที่ไม่อาจเป็นจริงได้เช่น   “อเมริกาส่งเรือรบมาคอยช่วยเหลืออยู่     สหประชาชาติกำลังจะช่วยเรา     ทหารแตงโม ตำรวจมะเขือเทศ ยืนอยู่ข้างเรา ฯลฯ   ในที่สุดก็พิสูจน์ได้ว่าเป็นเรื่องไม่จริงทั้งสิ้น

จึงขอถามย้อนกลับไปว่า    ถ้าประชาชนไม่มีการจัดตั้งกันอย่างเป็นระบบจะสามารถต่อสู้ชนชั้นผู้กดขี่ได้อย่างไร?    เอาแค่ว่า......ฝ่ายชนชั้นปกครองมีเครื่องมือในการปราบปรามที่มีการจัดตั้งอย่างดีและมีวินัยที่เข้มงวด   เช่นกองกำลังต่างๆ   ประชาชนมีอะไรไปสู้?   ประวัติศาสตร์ได้แสดงให้เห็นมาแล้วทุกยุคสมัยว่า   ถ้าประชาชนไม่มีการจัดตั้งที่เข้มแข็งทั้งทางความคิด  อุดมการณ์   และกำลัง  ไม่เคยมีที่ไหนเลยที่จะเอาชนะชนชั้นปกครองได้     

การต่อสู้กับเครื่องมือ กลไกรัฐ นั้นยังยากที่จะเอาชนะได้   การจะโค่นล้มผู้ที่อยู่เบื้องหลังนั้นยากยิ่งกว่า ขอให้อิงอยู่กับความจริง...โดยการศึกษาประวัติศาสตร์การต่อสู้ของประชาชนให้ถ่องแท้เสีย ก่อน    การแสดงออกซึ่งการรังเกียจการ ”จัดตั้ง” นั้นแสดงให้เห็นถึงการไม่เข้าใจการจัดตั้งรังเกียจคำ คำว่าจัดตั้งแต่ไม่เคยรังเกียจคำว่า organize เลย   คนที่มีความคิดเช่นนี้ส่วนใหญ่แล้วจะกลัวการอยู่ในวินัย   กลัวส่วนรวม   ใช้ความรู้สึกของตนตนเองเป็นที่ตั้ง   เอาความคิดของตนไปวัดผู้อื่น     หากใช้วิธีที่ท่านผู้วิจารณ์เสนอเช่นนี้  รับประกันได้ว่าส่อลางแพ้ตั้งแต่เริ่มคิดแล้ว

ต่อความเข้าใจเรื่องการต่อสู้ทางชนชั้นก็เช่นกัน   เนื่องจากท่านพูดว่า    เพราะเงื่อนไขไทยไม่ใช่เงื่อนไขการต่อสู้ทางชนชั้น  แต่เป็นการต่อสู้เพื่อ ปชต.

การกล่าวเช่นนี้เป็นการท่องจำคำโฆษณาชวนเชื่อของจักรวรรดินิยมตะวันตกมากลาวอ้างโดยอาศัยคำว่าประชาธิปไตยมาบังหน้า       และนี่ก็คือคำหลอกลวงทางการเมืองหรือตรรกวิบัติที่นักหลอกลวง ชอบนำมาใช้      การต่อสู้ทางชนชั้นกับการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยนั้นมันไม่ใช่เรื่องเดียวกัน   นี่แสดงให้เห็นว่าผู้วิจารณ์ไม่มีความรู้และเข้าใจเรื่อง ”ชนชั้น” เลยแม้แต่นิดเดียว      ซ้ำยังมีความคับแคบเรื่องประชาธิปไตยอีกด้วย    เพราะประชาธิปไตยในความหมายของท่านคือประชาธิปไตยของชนชั้นนายทุนที่มีจำนวนหยิบมือเดียวไม่ใช่ประชาธิปไตยของประชาชนอันไพศาล     ชนชั้นในสังคมนั้นไม่มีใครสร้าง   ไม่มีใครกำหนด   หากแต่ได้เกิดขึ้นเองเมื่อสังคมมนุษย์ได้พัฒนามาจนถึงการมีกรรมสิทธิ์ส่วนบุคคล     ความหมายของชนชั้นนั้นสามารถทำความเข้าใจกันได้อย่างง่ายๆคือ    กลุ่มชนใดในสังคมที่ดำรงชีพทางการผลิตอย่างเดียวกัน   ใกล้เคียงกัน     มีชีวิตความเป็นอยู่ทางสังคม  วัฒนธรรม  และฐานะทางเศรษฐกิจใกล้เคียงกัน ถือว่าเป็นชนชั้นหนึ่งในสังคม    

ส่วนความขัดแย้งทางชนชั้นนั้นมันดำรงอยู่และซึมซ่านอยู่ไปทั่วในสังคม    เพียงแต่ในบางสังคมยังไม่ได้ประทุออกอย่างเปิดเผยรุนแรงเท่านั้น        จึงดูคล้ายกับว่าไม่มีความขัดแย้งทางชนชั้นอย่างที่บรรดาผู้แก้ต่างชอบกล่าวอ้างอยู่เสมอๆ    ในสังคมที่มีการสะสมปริมาณของการกดขี่สูง เมื่อได้พัฒนาไปจนถึงจุดๆหนึ่ง  การต่อสู้ทางชนชั้นที่ซึมซ่านอยู่นั้นจะประทุขึ้นมาอย่างรุนแรง .. การการต่อสู้ทางชนชั้นแสดงออกในรูปแบบต่างๆตั้งแต่ระดับเบาที่สุดเช่น  การเรียกร้องทางเศรษฐกิจระหว่างกรรมกรกับนายจ้างเจ้าของโรงงาน   ชาวนากับนายทุนเจ้าของโรงสี   ข้าราชการชั้นผู้น้อยที่ต้องอดทนอยู่กับการกดขี่ของเจ้านาย... ไปจนถึงขั้นรุนแรงที่สุด...นั่นคือชนชั้นผู้ถูกกดขี่ลุกขึ้นมาต่อสู้กับผู้กดขี่เพื่อการเปลี่ยนแปลงสังคม     

การที่ผู้วิจารณ์อ้างว่า...เงื่อนไขของการต่อสู้ของไทย  เป็นการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย    จึงมีคำถามว่า   ในสังคมที่ความคิด วัฒนธรรม หรืออำนาจของชนชั้นปกครองครอบงำอยู่     เมื่อมีความ คิดใหม่ชนิดใหม่เกิดขึ้นและเป็นความคิดที่แสดงความเป็นปฏิปักษ์กับความคิดเก่าที่ครอบงำสังคมอยู่    ปรากฏการณ์เช่นนี้จะเรียกว่าอะไรหากไม่ใช่การต่อสู้ทางชนชั้น      ซึ่งเกิดขึ้นในหลายๆบริบททั้งทางเศรษฐกิจ  สังคม  การเมือง  ไปจนถึงแนวคิด   และอุดมการณ์     ทำไมประชาชนไทยส่วนหนึ่งจึงต่อ สู้กับเผด็จการ   แต่ทำไมคนไทยอีกกลุ่มหนึ่งจึงเห็นด้วยกับเผด็จการ ?   ทำไมชาวนาจึงเรียกร้องให้นายทุนซื้อข้าวในราคาสูง       ทำไมชนชั้นนายทุนจึงไม่สนับสนับสนุนการออกกฎหมายเรื่องการเก็บภาษีมรดก ภาษีที่ดินในอัตราก้าวหน้า     สิ่งเหล่านี้เราจะเรียกว่าอะไรถ้าไม่ใช่การต่อสู้เพื่อผลประ โยชน์ทางชนชั้น 

เรื่องของประชาธิปไตยประชาชนเราจะสนับสนุนแบบไหน?   ประชาธิปไตยที่ชนชั้นนายทุนเป็นผู้ชี้นำประชาชนมีบทบาทเพียงแค่เป็นผู้ตาม    หรือประชาธิปไตยที่ประชาชนทุกคนมีส่วนร่วม    หรือประ ชาธิปไตยที่ประชาชนเป็นเจ้าของโดยตรง        เรื่องเหล่านี้ก็คือความขัดแย้งทางชนชั้นซึ่งเป็นความขัดแย้งทางความคิดและอุดมการณ์      พูดให้ถึงที่สุดแล้วตั้งแต่เกิดจนตายไม่มีใครสามารถหลีกลี้ไปจากการต่อสู้ทางชนชั้นไปได้เลย    ไม่ว่าจะสังกัดชนชั้นใดในสังคม

ท่านยังกล่าวอีกว่า......สิ่งที่เกิดขึ้นจริงๆคือการเปลี่ยนแปลงจะค่อยเป็นค่อยไป   ดังนั้นสุดท้ายการเน้นการศึกษา  วิจารณ์  พูดคุย    เพื่อให้ทัศนคติคนส่วนใหญ่เปลี่ยนแปลงพฤติกรรม    จะเปลี่ยนแปลงตาม  มันคงเกิดแบบนี้    ทั้งนี้ขึ้นกับเงื่อนไขมหภาคทางเศรษฐกิจ  การเมืองระหว่างประเทศด้วย   รวมทั้งสังขารผู้นำฝ่ายตรงข้ามต่างๆ

การกล่าวเช่นนี้แสดงให้เห็นถึงความคิดแบบปัจเจกชนนิยมของชนชั้นนายทุนน้อยที่ยังมิได้ดัดแปลงตนเองให้มาอยู่ฝ่ายประชาชน       เป็นความคิดที่มีรากเหง้ามาจากความคิดแบบศักดินาที่ถือว่ามีแต่พวกตนเท่านั้นที่จะเป็นเป็นผู้ประสิทธิ์ประสาททุกสิ่งทุกอย่าง         ทั้งยังมีความต้องการให้เกิดการเปลี่ยน แปลงแบบค่อยเป็นค่อยไป    นี่คือแก่นแท้ของความคิดปฏิรูป       เป็นความคิดที่เลื่อนลอยและค่อนข้างจะเพ้อฝันเอามากๆ     คนที่มีความคิดเช่นนี้ไม่ใช่เป็นเพราะพวกเขารักสันติอะไรหรอก    หากแต่ขลาดกลัวต่อการเปลี่ยนแปลง        เนื่องจากพวกเขาอยู่ในฐานะที่ได้เปรียบผู้อื่นในสังคมต่างหาก    การอ้างว่าต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยนั้น   จุดประสงค์ที่แท้จริงก็คืออยากจะให้ชนชั้นปกครองหยิบเอาแนวแนวคิด ข้อเสนอ ของพวกเขาไปใช้บ้างเท่านั้นเอง      

รูปแบบการต่อสู้ที่นำเสนอว่า    น้นการศึกษา วิจารณ์  พูดคุย  เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางทัศนะคติของคนส่วนใหญ่     นั้นแล้วพฤติกรรมจะเปลี่ยนแปลงตาม    เรื่องนี้ไม่รู้ว่าใช้ศาสตร์อะไรมาอ้างอิงว่าการต่อสู้จะพัฒนาไป     มันเป็นการแสดงออกของความคิดยอมจำนนโดยแท้จริง     

เมื่อจะเน้นการศึกษา..จะศึกษาอะไร?    ศึกษาเศรษฐศาตร์ของชนชั้นนายทุนที่กำลังประสบกับวงจรอุบาทว์ครั้งแล้วครั้งเล่าเช่นนั้นหรือ?     วิจารณ์...วิจารณ์รัฐบาลเผด็จการ   แล้วสามารถปลดปล่อยประชาชนได้หรือ?        ที่พูดว่า...พูดคุยเพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางทัศนะคติของคนส่วนใหญ่...       เช่นนี้ไม่อาจคิดให้เป็นอย่างอื่นไปได้นอกจากจะกล่าวว่า   นี่คือทัศนะของพวก ที่สนับสนุน รับใช้และค้ำจุนอำนาจรัฐของชนชั้นนายทุน   นี่เป็นการดูถูกประชาชนอย่างไม่สามารถอภัยให้ได้      ปัจจุบันนี้ประชาชนมีความรู้เรื่องการเมือง  เศรษฐศาสตร์  การกดขี่  เอารัดเอาเปรียบ  การมีชนชั้นอภิสิทธิ์ ในสังคมได้ดีเกินกว่าที่ใครจะไปชี้นำหว่านล้อมด้วยวาจาไร้สาระและท่วงทำนองแบบเจ้าขุนมูลนาย  และมองไม่เห็นทางออกเพื่อชีวิตที่ดีกว่าได้อีกแล้ว     การให้ความหวังอย่างเป็นนามธรรมที่ไม่มีความชัดเจนเช่นนี้   ไม่สามารถหว่านล้อมประชาชนได้อีกต่อไป       เพราะประชาชนจะไม่ยอมรับ “ทฤษฎีแห่งการรอคอย”  ของชนชั้นนายทุนน้อยอีกต่อไป

ภาวะความขัดแย้งระดับสูงไม่น่าจะจบลงง่ายๆ   เพราะเงื่อนไขมันเป็นตายพอๆกับช่วงที่ทักษิณมีอำนาจ      ตอนนี้แค่เปลี่ยนทักษิณเป็นประวิตร/ประยุทธิ์แต่เงื่อนไขสูงสุดเหมือนเดิมตรงนี้ไม่รู้จะจบอย่างไร วิเคราะห์ไม่ออก ได้แต่รอดู   

ความขัดแย้งระดับสูงนั้นขอข้ามไปจะไม่กล่าวถึง  แม้จะพอเข้าใจสถานการณ์อยู่บ้าง    แต่การตีขลุมเปรียบเทียบสถานการณ์สมัยทักษิณและสมัยประยุทธิ์/ประวิตร นั้น เป็นการเปรียบเทียบที่ใช้ไม่ได้เอาเสียเลย     เป็นการมองอย่างตายตัว หยุดนิ่งโดยแท้    จากทักษิณถึงประยุทธ์   วันเวลาเปลี่ยน   คนเปลี่ยน    สภาพแวดล้อมเปลี่ยน    ดุลกำลังเปลี่ยน   ประชาชนรู้อะไรๆมากขึ้น   คู่ความขัดแย้งเปลี่ยน ทุกสิ่งทุกอย่างเปลี่ยนแปลงไปไม่ว่าด้านปริมาณและคุณภาพ “ทฤษฎีแห่งการรอคอย” ที่ผู้วิจารณ์ ให้ความหวังนักหนานั้นกลับไม่สามารถนำมารับใช้สถานการณ์ได้       นั่นแสดงให้เห็นว่าทฤษฎีพวกนั้นใช้ไม่ได้จริงๆ        ตรงกันข้ามกับลัทธิมาร์กซที่สามารถใช้วิเคราะห์ถึงความเป็นไปของสถานการณ์ได้  อย่างที่กลุ่มวิเคราะห์ของ อปท.ได้วิเคราะห์เอาไว้      

ยิ่งท่านกล่าวว่า  “ไม่รู้จะจบอย่างไร?  วิเคราะห์ไม่ออก  ได้แต่รอดู”     คำพูดเหล่านี้แสดงให้เห็นตัวตนของผู้วิจารณ์ได้อย่างชัดเจนว่า       ไม่มีความสามารถทางทฤษฎีหรือสรรหาแนวทางใดๆมาใช้ในการแก้ปัญหาได้         เป็นการรอคอยความเปลี่ยนแปลงโดยไม่มีหลักการใดๆมามาตอบข้อสงสัย        ที่บอกว่าวิเคราะห์ไม่ออก   ได้แต่รอดู      มันได้แสดงออกถึงธาตุแท้ของการยอมจำนนอย่างถึงแก่นเลยทีเดียว      และยังกล่าวอีกว่า   

5. ผมเห็นแต่สรุปกันว่า  มาร์กซิสต์ เป็นวิทยาศาสตร์  คือท่องตามกันมาเท่านั้น แต่น้อยมากที่จะอ่าน แคบปิตอล !!!!! ?) แต่โชคดีผมอ่าจบ 3 vol. เลย  เลยไม่เชื่อคนอื่นสรุปแล้ว 

การศึกษาลัทธิมาร์กซนั้น...วิธีการสำคัญเรื่องหนึ่งก็คือมรรควิธีแบบวิภาษ (Method of Dialectics)    ที่สอนให้รู้ถึงกฎของการเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงของสรรพสิ่ง      ผู้ที่ศึกษาจึงต้องคิดและใช้ทฤษฎีอย่างแยกแยะ   ไม่ใช้อย่างตายตัว   สืบเนื่องมาจากเงื่อนไขของการเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงของภววิสัย     ไม่ได้มีลักษณะท่องจำอย่างเช่นนักลัทธิคัมภีร์ (Dogmatist)      นักลัทธิคัมภีร์มักจะใช้วิธีท่องจำแล้วนำไปคุยโตโอ้อวดภูมิรู้เพื่อขู่ผู้อื่นเพื่อสร้างความนิยมให้แก่ตนเอง    แต่ไม่ได้เข้าใจถึงแก่นแท้ของทฤษฎีเลย   ซึ่งเป็นสิ่งที่ขัดกับหลักการของลัทธิมาร์กซเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องศึกษาเรียนรู้ทั้งปรัชญาของมาร์กซและฝ่ายตรงข้ามกับมาร์กซด้วย   เช่นว่า.ถ้าจะศึกษาเศรษฐศาสตร์ลัทธิมาร์กซก็ต้องศึกษาเศรษฐศาสตร์ทุนนิยมด้วยเป็นการเปรียบเทียบกัน      เพื่อจะได้เห็นถึงข้อดี ข้อเสีย  จุด อ่อน จุดแข็งของทั้งสองด้าน   เพื่อจะได้นำไปปฏิบัติได้อย่างถูกต้องและเป็นประโยชน์

อนึ่ง..หนังสือเรื่องเรื่อง “แคปปิตอล”  ของมาร์กซ       เป็นเพียงส่วนหนึ่งในองค์ประกอบทั้ง 3 ที่เรียกว่า เศรษฐศาสตร์ลัทธิมาร์กซ หรือ เศรษฐศาสตร์การเมือง(Political Economy)  ซึ่งมันไม่ใช่เนื้อหาทั้งหมดของลัทธิมาร์กซ  

เกี่ยวกับที่มาของลัทธิมาร์กซนั้นมาจาก 3 ทาง  ได้แก่   1) จากทฤษฎีเศรษฐศาสตร์คลาสสิคของอังกฤษ....2) ปรัชญาคลาสสิคของเยอรมัน   3) สังคมนิยมของฝรั่งเศส    มีองค์ประกอบ 3 ส่วนคือ   1 ทฤษฎีวัตถุนิยมวิภาษ และ วัตถุนิยมประวัติศาสตร์   2  เศรษฐศาสตร์การเมือง  3 สังคมนิยมและการปฏิวัติ

การอ่านจบทั้งสามเล่มนั้นเป็นเรื่องดี..ถ้าจริง      แต่การสรุปเอาเองว่า...นั่นเป็นเนื้อหาสาระทั้งหมดของลัทธิมาร์กซแล้วละก้อ     มันแสดงออกถึงความรับรู้ลัทธิมาร์กซที่น้อยมากของผู้วิจารณ์    เมื่อนักลัทธิมาร์กซจะวิจารณ์เรื่องหนึ่งเรื่องใดจะต้องศึกษาเรื่องนั้นๆมาเป็นอย่างดี      จนสามารถพบเห็นจุด อ่อนข้อบกพร่องของเรื่องนั้นๆอย่างชัดเจนแน่นอน      จึงจะทำการวิจารณ์ได้อย่างตรงจุดและอย่างผู้รู้    

คุณูปการของเศรษฐศาสตร์การเมืองลัทธิมาร์กซนั้น    ให้ประโยชน์แก่ผู้ถูกกดขี่   ถูกเอารัดเอาเปรียบอย่างน้อยที่สุดก็ทำให้กรรมกรธรรมดาๆคนหนึ่งได้รับการติดอาวุธทางปัญญา  ไปรับรู้เรื่องผลประโยชน์ของตนที่ถูกเบียดบังได้ชัดเจนมากขึ้นเช่นเรื่องค่าจ้าง   แรงงาน   ทุน   กำไร  มูลค่า  มูลค่าส่วนเกิน ปัจจัยการผลิต    พลังการผลิต   ความสัมพันธ์ทางการผลิต   การขูดรีดมูลค่าส่วนเกินจากกำลังแรงงานของตน ฯลฯ     โดยที่เศรษฐศาสตร์ทุนนิยมมิได้เอื้อประโยชน์ให้แก่ชนชั้นอื่นๆเลย    แต่กลับไปสร้างความร่ำรวยให้แก่นายทุนเพียงชนชั้นเดียว     อีกทั้งยังพยายามปกปิดกระบวนการขูดรีดของมันไว้อย่างมิดชิดอีกด้วย

ทฤษฎีมูลค่าของมาร์กซ        ได้เปิดโปงการขูดรีดแรงงานส่วนเกินที่นายทุนกระทำต่อกรรมกรออก มาอย่างล่อนจ้อน          เอาละ...  ถามว่าเมื่ออ่าน”ทุน”จบ 3 เล่มแล้วไม่ได้รับรู้ถึงสิ่งเหล่านี้เลยหรือ ไม่แน่ว่าหนังสือเรื่องที่ท่านอ่านคงชื่อว่า “ทุนนิยม”  ไม่ใช่เรื่อง”ทุน”ของมาร์กซอย่างแน่นอน   การจะเรียนรู้อะไรให้ลุ่มลึกนั้น..มีวิธีการอย่างหนึ่งในหลายๆวิธีในการศึกษา   คือศึกษาแบบมีการอภิปราย ถกเถียงแลกเปลี่ยนโต้แย้งกัน       ถ้าศึกษาแบบไม่มีการแลกเปลี่ยนวิเคราะห์ร่วมกับผู้อื่น       ผลของมันจะออกมาเป็นแบบ  หยุดนิ่ง  ตายตัว ไม่มีพัฒนาการ   เป็นความคิดที่เกิดจากความว่างเปล่า   ที่คิดเอาเอง   จึงเกิดความไม่รู้  หรืออวิชชา ครอบงำตนอยู่      

6. มาร์กซิสต์  คือวิทยาศาสตร์อย่างไร?  มันแค่สมมุติฐานทางทฤษฎี 
เมื่อได้ฟังประโยคนี้แล้ว     รู้สึกตกใจเป็นอันมากจนเกิดเป็นความสงสารเห็นใจผู้วิจารณ์ท่านนี้ขึ้นมาทันที..  ไม่สมกับที่..ครั้งหนึ่งท่านเชื่อและภาคภูมิใจว่าตัวท่านเองเป็นแกนนำทางความคิดของคนเสื้อแดงในเวป ไซต์ ของท่าน      ขอให้เรามาทำความเข้าใจความหมายในระดับที่พอยอมรับกันได้ของคำว่าวิทยาศาสตร์กันก่อนว่า     วิทยาศาสตร์นั้นหมายถึงอะไร? มันหมายถึง ”ความรู้” ที่ได้มีการจัดไว้อย่างเป็นระบบ   แบ่งเป็นสองแขนงได้แก่วิทยาศาสตร์ธรรมชาติ  เช่น ภูมิศาสตร์  ฟิสิคส์  ธรณีวิทยา  กายวิภาค  เคมี  ชีววิทยา ฯลฯ  ซึ่งเป็นความรู้ เกี่ยวกับธรรมชาติ      ส่วนอีกแขนงหนึ่งคือวิทยาศาสตร์สังคมได้แก่ความรู้ในสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้นมา   เช่นปรัชญา  กฎหมาย  เศรษฐศาสตร์   รัฐศาสตร์   สังคมศาสตร์ ฯลฯ  

อย่างที่ได้กล่าวมาแล้วว่าลัทธิมาร์กเป็นองค์ความรู้ที่มาร์กซและเองเกลส์ได้มาจากการศึกษาค้นคว้าและสังเคราะห์มาจากแหล่งความรู้ 3 แหล่ง  ที่เป็นทั้งวิทยาศาสตร์ธรรมชาติและวิทยาศาสตร์สังคมและเป็นที่ยอมรับกันในหมู่นักปราชญ์ทั้งหลาย     

ที่ท่านกล่าวว่าทฤษฎีลัทธิมาร์กซ  มันแค่สมมุติฐานทางทฤษฎี     เป็นสิ่งที่ยืนยันได้อย่างชัดเจนว่าผู้วิจารณ์ไม่มีความสามารถในการแยกสมมุติฐานออกจากทฤษฎี     เลยไม่รู้ว่า   อะไรคือสมมุติฐาน (Hypothesis)  อะไรคือทฤษฎี (Theory)  และมันมีความสัมพันธ์และมีความต่างกันอย่างไร? อยาก
 จะขอเรียนด้วยความเคารพว่า  “สมมุติฐาน..คือความคิดหรือคำอธิบาย บางสิ่งหรือปรากฏ การณ์บางอย่าง โดยอิงอยู่บนพื้นฐานของทฤษฎีที่มีอยู่ก่อน     ซึ่งตัวมันเองยังไม่ได้รับการพิสูจน์ว่ามีความถูกต้องหรือไม่    ถ้าพิสูจน์ว่าถูกต้องได้รับการยอมรับ      มันจึงถูกนับชั้นขึ้นไป เป็นทฤษฎี   
ส่วนทฤษฎีนั้น  คือความเป็นจริงในศาสตร์ต่างๆที่ได้รับการยอมรับและพิสูจน์แล้วว่าถูกต้อง  (จะไม่เป็นถูกต้องก็ต่อเมื่อมีความจริงอย่างอื่นมาหักล้าง   หรือได้รับการพิสูจน์ในภายหลังด้วยเทคโน โลยีสมัยใหม่ว่าไม่ถูกต้อง  เช่นทฤษฎีโลกแบนถูกแทนที่ด้วยทฤษฎีโลกกลม  หลังจากใช้มาร่วมสองพันปี)   ถ้าจะว่าตามชั้นแล้วสมมุติฐานนั้นมีศักดิ์เล็กกว่าทฤษฎี     ดังนั้นการเรียกขาน   การใช้คำพูดของผู้วิจารณ์ควรจะต้องมีความระมัดระวังให้มากในข้อเท็จจริง        เพราะมันจะส่อให้เห็นถึงความรับรู้ของท่านในเรื่องนั้นๆว่ามีมากน้อยแค่ไหน?       

ส่วนลัทธิมาร์กซนั้น..นักวิชาการทั้งโลกและแม้แต่ผู้ที่อยู่ตรงกันข้ามกับมาร์กซ  ต่างก็ยอมรับว่ามัน เป็นทฤษฎี  และเป็นทฤษฎีระดับใหญ่(Grand theory) ด้วย   ที่มันได้รับการยอมรับว่าเป็นทฤษฎีใหญ่ก็เพราะว่า       มันมีความเป็นศาสตร์ และมีความสามารถเพียงพอที่จะอธิบายปรากฏการณ์ทางด้านเศรษฐกิจ  สังคม   การเมือง  ทั้งในปัจจุบันและอนาคตได้อย่างเป็นสัจธรรม     ทางด้านอุดมการณ์ นั้นมันได้แสดงจุดยืนอย่างมั่นคงว่ารับใช้ชนชั้นผู้ยากไร้ซึ่งเป็นคนส่วนข้างมากในสังคมที่ถูกเอารัดเอาเปรียบ        มันมีเป้าหมายชัดเจนที่ต้องการทำการปลดปล่อยมวลมนุษยชาติให้หลุดพ้นจากแอกของความสิ้นหวัง  ยากไร้  และขาดแคลนจากการถูกกดขี่ขูดรีดและกดขี่ทุกชนิด   

ลัทธิมาร์กซ ได้หล่อหลอมเชื่อมโยงเอานามธรรมที่หลากหลายเข้าด้วยกันอย่างสอดคล้องกลมกลืนเช่น  ความยากไร้  การกดขี่ขูดรีด  การต่อสู้ทางชนชั้น  การเปลี่ยนแปลงสังคม ฯลฯ (ความยากไร้เกิดจากการถูกขูดรีด   การถูกขูดรีดทำให้เกิดการต่อสู้ทางชนชั้น  การต่อสู้ทางชนชั้นทำให้เกิดการเปลี่ยน แปลงทางสังคม)       แล้วแปรนามธรรมเหล่านี้ออกมาเป็นรูปธรรมที่สามารถสัมผัส ได้โดยผ่านการปฏิบัติ  

การที่ลัทธิมาร์กซมีความสามารถอธิบายสิ่งเหล่านี้ได้เพราะมันเป็นองค์ความ รู้ที่ถูกประมวลและผลิตขึ้นมาอย่างเป็นวิทยาศาสตร์    มีมวลชนผู้ศรัทธาสืบทอดโดยนำหลักการไปปรับใช้ปฏิบัติและได้ผลอย่างประจักษ์มาแล้ว

อนึ่งทฤษฎีใดๆก็ดี ย่อมถูกสร้างขึ้นจากความเป็นจริงแห่งยุคสมัย   ไม่ว่าจะเป็นสถานที่   เหตุการณ์ต่างๆ  กระบวนการทางเศรษฐกิจ  สังคม  การเมือง  ผู้คน  และองค์ประกอบอื่นๆอีกมากมาย  ซึ่งสิ่งเหล่านี้ย่อมมีลักษณะเฉพาะของมันอยู่       และลักษณะเฉพาะของสังคมนี่แหละที่ต้องค้นให้พบเพื่อจะนำไปสู่การวิเคราะห์สังคม...เพื่อใกำหนดยุทธศาสตร์     แม้ว่าเนื้อหาและหลักการของทฤษฎีนั้นๆจะยังมีความถูกต้องอยู่   แต่ก็มีความจำกัดในเรื่องของเวลา        ดังนั้นการจะนำมาใช้ในที่หนึ่งๆ  ในเวลาหนึ่งๆ  จึงต้องตรวจสอบเงื่อนไขทางประวัติศาสตร์ของมันเสียก่อน  แล้วนำมาผสมผสานเข้ากับเงื่อนไขที่เป็นจริงในปัจจุบัน       นี่คือการใช้ทฤษฎีแบบวิภาษวิธีของนักลัทธิมาร์กซที่มีความแตกต่างไปจากผู้อื่น 

ถ้านักเคลื่อนไหวที่ต่อสู้เพื่อปชต.  หรือเรื่องใดก็ตาม    ใช้ทฤษฎี  ข้อมูล  ข่าวสารที่ผิด   ก็ไม่สามารถวินิจฉัยสถานการณ์ได้อย่างถูกต้อง   การวางแผน  วางกำลังก็จะผิด  การต่อสู้จะพ่ายแพ้    สู้เมื่อไหร่ก็แพ้เมื่อนั้น    สำหรับผู้เขียนเป็นแค่เพียงนักศึกษาลัทธิมาร์ก   ไม่กล้าที่จะเรียกตัวเองว่าผู้รู้   จึงไม่กล้า วิพากษ์วิจารณ์เรื่องใดๆที่ตนรู้เพียงผิวเผิน    สิ่งไหนดีสิ่งไหนเป็นประโยชน์สุขของประชาชนก็สามารถยอมรับได้    หากจะได้รับชัยชนะจากการต่อสู้แบบสันติวิธีนั้นย่อมถือว่าเป็นสิ่งประเสริฐที่สุดแล้ว   แต่โดยข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์..ชัยชนะเยี่ยงนั้นยังไม่เคยปรากฎ       ส่วนที่ว่าการต่อสู้จะรุนแรงแค่ไหน ระดับใด ไม่ได้ขึ้นอยู่กับประชาชน      หากแต่ขึ้นอยู่กับชนชั้นปกครองที่เป็นผู้กำหนดว่าการกดขี่ปราบปรามของพวกเขานั้นรุนแรงแค่ไหน     โปรดทำความเข้าใจเสียใหม่ว่า...นักลัทธิมาร์กซไม่เคยต้องการความรุนแรง   และไม่เคยใช้ความรุนแรงก่อน     หากจะใช้ก็เพราะมีความจำเป็นในการปกป้อง ประชาชนและป้องกันตัวเองเท่านั้น  

การที่ทานผู้วิจารณ์ยกคำถามขึ้นมาถามว่า
7.  แล้วรัสเซียโดยเลนินนำไปทดลองทางสังคมของรัสเซีย ปี 1922-1990     
เท่านี้ก็ไม่ถูกต้องแล้ว      ผู้วิจารณ์ควรที่จะไปศึกษาประวัติศาสตร์การปฏิวัติของรัสเซียให้พอเข้าใจเสียก่อน ขอแนะนำว่าให้เริ่มต้นตั้งแต่ยุคสมัยของพระเจ้าซาร์ อเล็กซานเดอร์ที่สอง ถูกลอบปลงพระชนม์   การปฏิวัตินั้นไม่ใช่การทดลอง     เลนินและพลพรรคบอลเชวิคได้ศึกษาแนวคิดทฤษฎีลัทธิมาร์กซจนมีความเข้าใจอย่างลึกซึ้ง         แล้วนำไปประยุกต์ใช้ต่อสู้กับระบอบศักดินาซาร์อย่างจริงจังตั้งแต่ปี 1890 เป็นต้นมา ต้องพบกับอุปสรรคความล้มเหลวก็หลายครั้ง      แต่ด้วยหลักคิดที่เป็นวิทยา ศาสตร์ของลัทธิมาร์กซ จึงสามารถเปลี่ยนจากสภาพที่อ่อนด้อย  พ่ายแพ้  พลิกไปสู่ชัยชนะได้ในที่สุด      

ส่วนการจะก้าวไปสู่สังคมอุดมการณ์นั้นยังต้องเดินทางกันอีกยาวไกล      เพราะผู้ที่สนใจศึกษาลัทธิมาร์กซอย่างเป็นวิทยาศาสตร์เท่านั้นจะรับรู้ในสัจธรรมของทฤษฎีลัทธิมาร์กซข้อที่ว่า  สรรพสิ่งมีการ เคลื่อน ไหวเปลี่ยนแปลง ฯลฯ    

ดังนั้นจึงอนุมานไว้ล่วงหน้าแล้วว่า     มันเป็นการเดินทางไปสู่เป้าหมายที่ยังไม่มีใครไปถึงเป็นเส้นทางที่รกชัฏไม่มีใครเคยเดิน       จึงต้องเตรียมตัวเผชิญกับความผิดพลาด อุปสรรคขวากหนามทั้งใหม่และเก่า   เป็นหนทางที่สับสนคดเคี้ยว  ยอกย้อน  วกวน   มีศัตรูทางชนชั้นคอยจ้องทำลายอยู่     ไม่เพียงแค่ภายในประเทศเท่านั้น  ยังมีศัตรูจากบรรดาประเทศจักวรรดิ์นิยมทั้งหลายอีกด้วย  (ที่กล่าวมานี้มีหลักฐานยืนยัน  ไม่ว่าในรัสเซีย  จีน  เวียดนาม  ฯลฯ แม้กระทั่งประเทศ ที่ไม่ใช่สังคมนิยมเช่น    เช่นการเข้าไปแทรกแซง  อิหร่าน   คิวบา  เวเนซูเอลา  ชิลี  ไทย  และประ เทศในอาเซียน  การเข้าไปทำลายประเทศ  ยูโกสลาเวีย  อัฟกานิส ถาน  อิรัก  ซีเรีย  ลิเบีย   โซมาเลีย    เพียงเพราะประเทศเหล่านั้นต้องการเป็นตัวของตัวเองอย่างมีศักดิ์ศรี      ไม่ต้องการถูกครอบงำ อยากอยู่อย่างอิสระ  มากบ้างน้อยบ้างตามเงื่อนไข)  หากยังไปไม่ถึง  หลงทาง   ย้อนกลับ ฯลฯ  มันจึงไม่ใช่ความล้มเหลว...เนื่องจากมันยังอยู่ในระยะผ่าน  ที่ยังต้องใช้เวลาและพลังวิริยภาพไปอีกมากมายสักเท่าใด        

โดยหลักการแล้ว...การแสวงหาความรู้ของมนุษย์..วิธีหนึ่งคือการเรียนรู้จากการปฏิบัติ เป็นการรับรู้ทาง ตรง     ลัทธิมาร์กซสอนให้สรุปการปฏิบัติให้เป็นทฤษฎี  จากนั้นก็นำไปปฏิบัติอีก  สรุปอีก...ปฏิบัติอีกเป็นกระบวนการต่อเนื่องสัมพันธ์กันเช่นนี้ตลอดไปไม่มีที่สิ้นสุด       สอนให้มองสรรพสิ่งตามสภาวะที่เป็นจริง   ทั้งในโลกธรรมชาติและกระบวนการทางสังคม    ตามการเปลี่ยนแปลงหรือปรากฏการณ์และความสัมพันธ์ของมันกับสิ่งอื่นๆ     จึงไม่ใช่การเดา    เพราะวิธีคิดของลัทธิมาร์กซไม่ได้คิดอะไรขึ้นมาจากสิ่งที่มองไม่เห็น      ดังนั้นลัทธิมาร์กซจึงไม่ใช่หมอดู  แต่สามารถทำนายปรากฏการณ์ข้างหน้าได้อย่างกว้างๆ     ไม่เหมือนศาสตร์บางศาสตร์ที่พยากรณ์ตัวเลขหรือปรากฎการณ์  เมื่อเกิดข้อผิดพลาด ขึ้น   ก็ไม่รับผิดชอบ    เช่นทำนาย จีดีพี  อัตราดารเติบโตทางเศรษฐกิจ ฯลฯ อ้างโน่นอ้างนี่  อ้างแต่ปัจจัยที่แปรเปลี่ยนไปแล้ว  ทำนายกันใหม่   ดังนั้นจึงมีคำถามว่า  ศาสตร์ไหนมีความน่าเชื่อถือกว่ากัน   

ยิ่งมากล่าวสรุปแบบคิดเอาเองว่า      ลัทธิมาร์กซ์เป็นเพียงสมมุติฐานที่ไม่เป็นจริงทางการปฏิบัติ   ยิ่งได้เห็นความไม่รู้ของผู้ที่กล่าวหานั้นมากยิ่งขึ้น     ถ้ามันไม่เป็นจริงทางปฏิบัติ   ทำไมเลนินและชาวพรรคบอลเชวิคถึงโค่นล้มพระเจ้าซาร์ลงไปได้     ทำไมเหมาเจ๋อ ตุง และพรรคคอมมิวนิวต์จีนจึงชนะเจียงไคเชคที่มีทหารนับล้านติดอาวุธทันสมัยของอเมริกาตลอดหัวจรดเท้า  ฯลฯ    ทำไมลุงโฮ จึงรบชนะฝรั่งเศสในสงครามเดียนเบียนฟู และสามารถขับไล่ผู้รุกรานออกไปได้      ทำไมประเทศเหล่านี้ถึงพัฒนาบ้านเมืองของตนที่ย่อยยับจากสงครามปลดแอกก้าวขึ้นมาเป็นชาติมหาอำนาจที่ก้าวหน้า   ไม่ว่าทั้งทางเศรษฐกิจ   การป้องกันประเทศ  และด้านวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีได้รวดเร็วขนาดนี้   

คำถามนี้อยากให้ผู้วิจารณ์ท่านนั้นถามและตอบตัวเองด้วยใช้การศึกษาปัญหาอย่างที่มันเป็นให้ชัดเจน ก่อนจะด่วนตัดสินสิ่งใดๆด้วยท่าทีที่ไม่เป็นวิทยาศาสตร์อีกนะครับ....ด้วยความคารวะ
ยิ่งกล่าวปรามาสผู้อื่นว่า  คนไทยท่องจำลัทธิมาร์กซมา  เลยรู้และเข้าใจวิธีการวิเคราะห์แบบนี้เพียงทางเดียวเลยไม่รู้จักคิดแบบวิธีอื่น เช่น   ทุนเสรีนิยม   เศรษฐศาสตร์กระแสหลัก   ทฤษฎีอรรถประ ประโยชน์  ดีมานด์ ซับพลาย ฯลฯ   

คนที่เรียกตัวเองว่านักลัทธิมาร์กซ       ส่วนใหญ่ได้ทำการศึกษาสิ่งเหล่านี้มาพอสมควรแล้วทั้งภาค ทฤษฎีและปฏิบัติ  ได้เห็นพบเห็นทั้งความก้าวหน้าและความอำมหิตเลือดเย็นของระบบทุนนิยมมาทั้งระบบ  จนสามารถสรุปได้อย่างชัดเจนว่า  ทฤษฎีเศรษฐศาสตร์ทุนนิยมที่ใช้กันอยู่นั้น  ไม่ว่าจะพัฒนา อย่างไรก็ไม่สามารถแก้ปัญหาวิกฤติของตัวมันเองได้     ไม่ว่าจะเป็นเศรษฐศาสตร์ทุนนิยมกระแสหลักอย่าง  เคนเชียน   ฮาเยก   เสรีนิยม   เสรีนิยมใหม่     ก็ยังวนเวียนอยู่ในวงจรอุบาทว์   ตั้งแต่เงินฝืด เงินเฟ้อ  เงินตึง  ความชะงักงันทางเศรษฐกิจ  เศรษฐกิจตกต่ำอย่างที่เคยเป็นมาซ้ำแล้วซ้ำเล่า      นับตั้งแต่ เศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ในอเมริกาประเทศมหาอำนาจทุนนิยมเมื่อปี 1929 มาจนถึงปัจจุบัน   อเมริกาก็ยังต้องเผชิญกับวงจรอุบาทว์ทางเศรษฐกิจมาแล้วไม่รู้กี่ครั้ง(จนกระทั่งในปัจจุบัน)    ซึ่งเป็นเรื่องที่มาร์กซได้เคยกล่าวเอาไว้ถึงวิกฤติของระบอบทุนนิยม  และมันก็เกิดขึ้นจริงๆ    ซ้ำร้ายในแต่ละรอบวงของช่วงเวลายิ่งสั้นลงทุกที  นี่หมายถึงอะไร   

ประเทศไทยได้ใช้เศรษฐศาสตร์กระแสหลัก(ทุนนิยม)มาตลอด   จีดีพี  เพิ่มขึ้นจริง  แต่เงินไม่ได้กระ จายไปในระบบอย่างที่เศรษฐศาสตร์ทุนนิยมโอ้อวดเอาไว้  หากแต่ไปรวมศูนย์อยู่ที่ชนชั้นปกครองและชนชั้นนายทุนเสียเป็นส่วนใหญ่     ประสบกับวงจรอุบาทว์ทางเศรษฐกิจมานับครั้งไม่ถ้วน       ในภาวะเช่นนี้มีแต่ประชาชนนั่นแหละที่เดือดร้อนแทบเป็นแทบตาย     ต้องมารับภาระให้แก่นายทุน  เมื่อรัฐนำเงินภาษีไปช่วยเหลือกิจการของบรรดานายทุนที่กำลังจะล้มละลาย      นี่หรือคือระบอบทุนนิยมเสรีทื่ท่านชื่นชมว่าดีนักหนา     อยากจะถามว่ามันเสรีตรงไหน        การใช้คำโกหกหรูๆออกมาแก้ต่างเช่น  คุณมีสิทธิ์จะกินอะไรก็ได้  แต่ไม่ได้บอกต่อไปว่า(ถ้าคุณมีเงินนะ)       ลูกชาวนาจากตะพานหินสอบคัดเลือกได้คณะแพทย์ศาสตร์จุฬาฯ    แต่ไม่มีเงินลงทะเบียนแล้วเขาจะได้เรียนไหม ?     ถ้ามันเสรีจริง      ใต้กระท่อมของผมมีแร่ทองคำ ผมสามารถขุดเอามาทำประโยชน์ได้หรือไม่ ฯลฯ  ย่อมไม่ได้แน่นอน   

ที่ยกตัวอย่างมานี้เพราะระบอบที่ท่านผู้วิจารณ์ชื่นชอบนั้นมันเป็นอะไรที่ย้อนแย้งมาก    ท่านอาจเลี่ยงไปพูดว่าต้องเป็นทุนนิยมเสรีจริงๆสิ     ถ้ากล่าวประโยคนี้ออกมา..โดยตรรกแล้วแสดงว่าทุนนิยมเสรีนั้นไม่มีจริง    เหมือนกับพวกเผด็จการที่ลอยหน้าลอยตากล่าวว่าภายใต้การปกครองของพวกเขา ประชา ชนยังมีเสรีภาพในการหายใจอยู่..ยังไงยังงั้น