เขาว่านักลัทธิมาร์กซ
ท่องจำมาพูด
เมื่อต้นปีนี้ องค์การเพื่อประชาธิปไตยไทย (อปท.) ที่เป็นองค์กรหนึ่งของประชาชนไทยผู้รักประ
ชาธิปไตย ได้เสนอบทสรุปวิเคราะห์สถานการณ์การเคลื่อนไหวต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยของประชาชนไทยในรอบปีที่ผ่านมา ในแง่มุมที่แตกต่างไปจากการวิเคราะห์ขององค์กรอื่นๆโดยแสดงให้เห็นถึง
จุดอ่อน จุดแข็ง เงื่อนไข โอกาส และแนวทางการต่อสู้ของประชาชนไทยผู้รักประชาธิปไตยอย่างค่อนข้างจะเป็นระบบ แน่นอน.ย่อมมีทั้งผู้ที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วย ทำให้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ตามมาโดยเฉพาะจากผู้ที่ไม่เห็นด้วยในเรื่องของทฤษฎีที่ใช้วิเคราะห์
ผู้เขียนเองเป็นคนหนึ่งที่เห็นด้วยและให้การสนับสนุนแนวทางการต่อสู้ขององค์กรนี้ มีความยินดีที่บท วิเคราะห์เป็นที่สนใจของประชาชน และได้น้อมรับฟังคำวิพากษ์วิจารณ์ที่สร้างสรรค์ไว้ด้วยความเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่าง แต่สำหรับการวิพากษ์วิจารณ์ที่เกิดจากความไม่รู้หรือ เข้าใจผิดนั้นก็จะขอทำการชี้แจงและแลกเปลี่ยนด้วยไมตรีจิตในขอบเขตของสติปัญญาแห่งตน แต่การวิจารณ์ที่เกิดจากความเกลียดชัง หยามหยัน และอคตินั้น ก็มีความจำเป็นที่จะชี้แจงโต้แย้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องหลักการของทฤษฎี ที่ใช้ในการวิเคราะห์
แนวคิดและวิธีการมองสรรพสิ่งของปรัชญาลัทธิมาร์กซนั้น
ได้ถือกำเนิดขึ้นมาโดยผลึกทางปัญญา ของ คาร์ล
มาร์กซ และฟรีดริก เองเกล ในช่วงเวลาที่ประกาศออกมาก็ได้รับการคัดค้านกล่าวร้ายวิพากษ์วิจารณ์โจมตีอย่างหนัก
ไม่ใช่เพียงแค่ในปัจจุบันนี้เท่านั้น ทั้งนี้...ก็เนื่องจากมันได้เสนอความจริงและได้ชี้ทางออกจากการที่ถูกกดขี่และถูกเอารัดเอาเปรียบให้แก่ประชาชนผู้ทุกข์ยากจำนวนมหาศาลให้หลุดพ้นจากแอกที่ทุกข์ทรมานในสังคมที่มีชนชั้น สัจธรรมของมันได้ไปกระทบผลประโยชน์ของชนชั้นผู้กดขี่อย่างรุนแรง
มันจึงกลายเป็นสิ่งที่น่ารังเกียจและอันตรายอย่างยิ่งต่อสถานภาพของผู้กดขี่ทั้งชนชั้น
ในฐานะที่เป็นผู้ศึกษาและเชื่อมั่นในสัจธรรมของลัทธิมาร์กซคนหนึ่ง เมื่อได้พบกับการกล่าวร้ายบิดเบือนสัจธรรมของมัน ย่อมมีสิทธิ์ที่จะปกป้องความเชื่อและศรัทธาของตนด้วยการชี้
แจงตอบโต้กับคำกล่าวร้ายบิดเบือนนั้นๆ เพราะถือว่าเป็นหน้าที่ๆจะอธิบายถึงบทบาทภาระ หน้าที่
และคุณูปการของลัทธิมาร์กซที่มีต่อผู้ถูกกดขี่ทั้งมวล แม้ว่าจะเป็นแค่ผู้ที่ศึกษาลัทธิมาร์กซ ก็ตาม
ดังได้กล่าวมาแล้วว่า
มีบุคคลได้วิพากษ์วิจารณ์เรื่องการวิเคราะห์สถานการณ์บ้านเมือง การเคลื่อนไหวต่อสู้ของประชาชน ฯลฯ
ขององค์กรเพื่อประชาธิปไตยประชาชน
ทั้งยังได้พาดพิงกล่าวอ้างถึงปรัชญาลัทธิมาร์กซในเชิงหมิ่นแคลน ไม่ว่าจะเป็นเพราะมีความรังเกียจ มีอคติ
ไม่รู้จริง หรือเข้าใจผิดอะไรก็แล้วแต่
จึงขอเสนอความเห็นต่างในประเด็นต่างๆที่ท่านได้กล่าวมา
โดยจะขอยกคำพูดของท่านผู้นั้นมาเป็นเรื่องๆดังต่อไปนี้
ที่ได้กล่าวถึงการใช้ทฤษฎีในการวิเคราะห์สังคมว่า
1 วิเคราะห์แบบ SWOT(Strengths Weakness Opportunity และ Treatens) นั้นไม่พอต้องทำ town matrix เพื่อให้ได้ยุทธศาสตร์
ยุทธวิธีด้วย ไม่อย่างนั้นจะจบแค่ SWOT ไม่ได้ strategic planning
เรื่องนี้ผมเห็นด้วยแต่อยากจะบอกว่า กลุ่มผู้วิเคราะห์ไม่ได้ใช้หลักการวิเคราะห์แบบ
SWOT ทั้งหมด ที่พิจารณาเพียงแค่องค์ประกอบ 4 ประการ คือความเข้มแข็ง ข้ออ่อนด้อย โอกาสเงื่อนไข เนื่องจาก เป็นการวิเคราะห์ที่มองเพียงจากปรากฏการณ์เท่านั้น ยังไม่เข้าใจถึงความขัดแย้งที่ทำให้เกิดปรากฏ เช่นว่านั้น นอกเหนือจากการวิเคราะห์แบบ SWOT แล้ว อปท.ยังได้ใช้หลักการทางทฤษฎีลัทธิมาร์กซมาอธิบายปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นอีกด้วย
สำหรับการวิเคราะห์แบบ SWOT ย่อมถือว่าเพียงพอสำหรับการวิเคราะห์ปัญหาที่ไม่มีความซับซ้อนอะไรมากมายนัก แต่เมื่อนำไปวิเคราะห์ปัญหาที่มีความสลับซับซ้อนเช่นปัญหาสังคม กระบวน การเปลี่ยนแปลงทางสังคม ฯลฯ มันจะไม่สามารถให้คำตอบที่ชัดเจนหรือแนวทางการแก้ปัญหานั้นๆได้ เนื่องจาก SWOT มีความจำกัดในตัวของมันเอง กลุ่มวิเคราะห์ของ
อปท. ได้ใช้แนวทางและทฤษฎีของลัทธิมาร์กซ ที่เรียกว่าวิภาษวิธี มาเป็นวิธีการหลักในการวิเคราะห์ ซึ่งโดยเนื้อหาแล้วประกอบไปด้วยกฎของความขัดแย้ง
ความสัมพันธ์ของสรรพสิ่ง รวมไปถึงการเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงที่เกิดจากการสะสมทางปริมาณของมันซึ่งเป็นแรงผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงจากสิ่งหนึ่งไปสู่สิ่งหนึ่งที่ใหม่กว่า หรือที่รู้จักกันว่า “กระบวนการเปลี่ยนแปลงทางปริมาณไปสู่คุณภาพ”
สิ่งที่
อปท.วิเคราะห์ออกมา ก็เพื่อเสนอให้มวลชนได้เข้าใจเหตุการณ์ในช่วงระยะเวลาหนึ่งๆเท่านั้นว่า พวกเขาควรจะกำหนดยุทธวิธีในการเคลื่อนไหวต่อสู้ให้เหมาะสมได้อย่างไรตามสภาพที่เป็นจริง ไม่ใช่กำหนดการเคลื่อนไหวต่อสู้แบบที่เกิดจากความเพ้อฝันคิดเอาเอง หรืออยากจะทำอะไรก็ทำ นั่นเป็นเนื้อหาสาระทางยุทธวิธีไม่ใช่ทางยุทธศาสตร์เพราะ การกำหนดยุทธวิธี.. อย่างน้อยที่สุดจะต้องมีความเข้าใจสถานการณ์ในขณะนั้นๆได้ดีในระดับหนึ่ง ผู้เขียนเห็นว่าผู้วิจารณ์มีความเข้าใจสับสนในเรื่องยุทธศาสตร์/ยุทธวิธีอยู่ โดยมองยุทธวิธีเป็นยุทธศาสตร์ คือมองปัญหาแบบกลับหัวกลับหางนั่นเอง
สำหรับกลุ่มนักวิเคราะห์ของ
อปท. นั้น พวกเขาล้ำหน้าไปไกลถึงระดับวิเคราะห์ ลักษณะของสังคม คมไทย แล้ว ไม่ใช่แค่ระดับสถานการณ์การต่อสู้ทั่วไป ถ้าไม่เช่นนั้น
เราคงจะไม่ได้ยินประโยคที่ว่าสังคมไทยเป็น
“สังคมทุนนิยมผูกขาดศักดินาเหนือรัฐ” จึงมีคำถามว่า...จะสร้างยุทธศาสตร์ขึ้นมาได้อย่างไร?
ตอบว่า...ถ้าจะกำหนดยุทธศาสตร์......มีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องทำการค้น
คว้าวิเคราะห์ถึงลักษณะทั่วไปของมันควบคู่ไปกับการวิเคราะห์ลักษณะเฉพาะ
เพราะลักษณะเฉพาะของมันจะนำไปสู่การกำหนดยุทธศาตร์ !!!! เพราะในแต่ละสังคมย่อมมีลักษณะเฉพาะของมันเอง
สังคมไทยก็เช่นเดียวกันไม่มีข้อยกเว้น เช่นนี้จึงจะสามารถเข้าใจปัญหาที่แท้จริงและครอบคลุม ซึ่งนั่นเป็นวิธีการของนักลัทธิมาร์กซ หากทฤษฎีที่ใช้วิเคราะห์..ผิด การกำหนดยุทธศาสตร์ก็จะผิด การต่อสู้ก็จะประสบความพ่ายแพ้อย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้
2 .
ผู้วิจารณ์กล่าวว่า...กลุ่มวิเคราะห์มีข้อจำกัดทางทฤษฎี
การกล่าวเช่นนี้
เป็นเรื่องที่ใช้ไม่ได้อย่างยิ่งในทางวิชาการ
เป็นการดูหมิ่นภูมิปัญญาของผู้อื่น
ผู้วิจารณ์ไม่รู้เลยหรือว่าพวกเขาวิเคราะห์ในแค่ในช่วงของปีที่ผ่านมาเท่านั้น และเพราะความจำกัดทางทฤษฎีของผู้วิจารณ์นั่นเองจึงได้กล่าวว่าพวกเขามีข้อจำกัดทางทฤษฎี อาจจะเป็นเพราะว่า ท่านไม่มีความรู้ด้านทฤษฎีลัทธิมาร์กซ
ซึ่งเป็นทฤษฎีทางสังคมที่พวกเขาใช้ในการอธิบายสังคม
พวกเขาไม่ได้ใช้ทฤษฎีสีมาอธิบายปรากฏการณ์ทางสังคม ทฤษฎีที่จะนำมาวิเคราะห์สังคม..ด้านหลักต้องเป็นทฤษฎีทางสังคมส่วนทฤษฎีอื่นๆนั้นใช้เป็นองค์ประกอบ ไม่ใช่ใช้ทฤษฎีเศรษฐศาสตร์ เป็นด้านหลักในการอธิบายปรากฏการณ์ทางสังคม ถ้าเช่นนั้นก็จะเป็นเสมือนที่ให้คุณหญิงหมอ พรทิพย์
ไปอธิบายคุณสมบัติของไม้ชี้ศพหรือระเบิดปิงปอง
เพราะนั่นเป็นการสร้างตรรกวิบัติขึ้นมาหลอกลวงประชาชน
ทั้งยังกล่าวต่อไปอีกว่า
รู้แต่มาร์กซิสต์ ทำให้ทำให้สายอื่นเบื่อที่จะฟัง เพราะมันจะไปจบที่เดียวกันหมดคือ
จัดตั้ง ปว.ประชาชน พรรคคอมฯ(อาจชื่อแบบอื่น) เส้นทางมันเดาได้อยู่แล้ว หากใช้ methodology
นี้ สุดท้ายทุกคนฟัง
แต่ไม่ขยับ และไม่เกิดผลอะไร เพราะเงื่อนไขไทยไม่ใช่เงื่อนไขการต่อสู้ทางชนชั้น แต่เป็นการต่อสู้เพื่อ ปชต.
จากคำกล่าวนี้ทำให้เกิดคำถามขึ้นว่า....แล้วจะเอาทฤษฎีอะไรที่ไม่ใช่ทฤษฎีลัทธิมาร์กซมาอธิบายสังคม เรื่องนี้ผู้วิจารณ์ต้องให้คำตอบที่ชัดเจนและอย่างเป็นเหตุเป็นผล ว่าประชาชนควรจะใช้ทฤษฎีการต่อสู้อย่างไรถึงจะเอาชนะศัตรูได้ซึ่งไม่ใช่
”ทฤษฎีแห่งการรอคอย” ในระยะร่วมสิบปีมานี้ประชาชนไทยได้มีประสบการณ์ในการต่อสู้มามากมายหลายครั้งไม่เคยชนะหากแต้ได้รับความสูญเสียอย่างมากมาย การเคลื่อนไหวต่อสู้ที่ผ่านมาที่มีคนเข้าร่วมนับแสนคน บางครั้งมากถึง 3-4 แสนคน รวมถึงผู้สนับสนุนที่ไม่ได้เข้าร่วมอีกนับล้านทั่วประเทศสรุปแล้วก็ยังไม่เคยชนะ มิใช่เพราะทฤษฎีการต่อสู้ที่ผิดพลาดหรือ? ตัวท่านเองได้ศึกษาค้นคว้า สรุปบทเรียนของความพ่ายแพ้ของประชาชนในแต่ละครั้งบ้างไหม? ว่ามันเกิดขึ้นได้อย่างไร? เอาละ....จะขอสรุปให้ดูดังนี้คือ
1) กำหนดยุทธศาสตร์ที่ไม่รอบด้าน ต้องการเพียงให้รัฐบาล ปชป.ลาออก ใช้การชุมนุมเป็นยุทธวิธีโดยไม่คำนึงถึงสภาพที่เป็นจริง ไม่รู้จักแยกมิตร-แยกศัตรูให้ชัดเจน ด้วยผลักมิตรไปหาศัตรูรู้จักแต่รุกไม่รู้จักการถอย เนื่องจากไม่เข้าใจการถอยทางยุทธวิธี คิดเพียงแต่ว่าจะใช้มวลชนจำ นวนมากๆมากดดันศัตรู
2)
ไม่มีการจัดตั้งที่เป็นระบบ เพียงแต่ป่าวร้องให้ประชาชนที่รู้สึกดีต่อคุณทักษิณเข้าร่วมชุมนุม
ต่างคนต่างมาโดยผ่านการจัดการจากหัวคะแนนของสส.แต่ละจังหวัด จึงเข้าทำนองว่า คนของใครของมัน
ขบวนการต่อสู้จึงมีลักษณะกระจัดกระจายและมีความเป็นอนาธิปไตยสูง ไม่มีความเป็นเอกภาพ หากจะเทียบกับฝ่ายตรงกันข้ามที่มีการจัดตั้งอย่างดี แข็งแกร่งและเข้มงวด มีวินัย และที่สำคัญคือ ติดอาวุธ
3) ใช้การปลุกระดมเพียงอย่างเดียว ไม่ให้การศึกษาทางการเมืองแก่ประชาชน เป็นการต่อสู้ที่สุขนิยมมาก มีการปราศรัยสลับกับการร้องรำทำเพลง และบางครั้งไม่พูดความจริงใช้วิธีปลอบขวัญประชาชนด้วยเรื่องที่ไม่อาจเป็นจริงได้เช่น “อเมริกาส่งเรือรบมาคอยช่วยเหลืออยู่ สหประชาชาติกำลังจะช่วยเรา ทหารแตงโม ตำรวจมะเขือเทศ ยืนอยู่ข้างเรา
ฯลฯ
ในที่สุดก็พิสูจน์ได้ว่าเป็นเรื่องไม่จริงทั้งสิ้น
จึงขอถามย้อนกลับไปว่า ถ้าประชาชนไม่มีการจัดตั้งกันอย่างเป็นระบบจะสามารถต่อสู้ชนชั้นผู้กดขี่ได้อย่างไร? เอาแค่ว่า......ฝ่ายชนชั้นปกครองมีเครื่องมือในการปราบปรามที่มีการจัดตั้งอย่างดีและมีวินัยที่เข้มงวด เช่นกองกำลังต่างๆ ประชาชนมีอะไรไปสู้?
ประวัติศาสตร์ได้แสดงให้เห็นมาแล้วทุกยุคสมัยว่า ถ้าประชาชนไม่มีการจัดตั้งที่เข้มแข็งทั้งทางความคิด
อุดมการณ์ และกำลัง ไม่เคยมีที่ไหนเลยที่จะเอาชนะชนชั้นปกครองได้
การต่อสู้กับเครื่องมือ
กลไกรัฐ นั้นยังยากที่จะเอาชนะได้
การจะโค่นล้มผู้ที่อยู่เบื้องหลังนั้นยากยิ่งกว่า ขอให้อิงอยู่กับความจริง...โดยการศึกษาประวัติศาสตร์การต่อสู้ของประชาชนให้ถ่องแท้เสีย
ก่อน การแสดงออกซึ่งการรังเกียจการ ”จัดตั้ง”
นั้นแสดงให้เห็นถึงการไม่เข้าใจการจัดตั้งรังเกียจคำ คำว่าจัดตั้งแต่ไม่เคยรังเกียจคำว่า organize เลย คนที่มีความคิดเช่นนี้ส่วนใหญ่แล้วจะกลัวการอยู่ในวินัย กลัวส่วนรวม
ใช้ความรู้สึกของตนตนเองเป็นที่ตั้ง
เอาความคิดของตนไปวัดผู้อื่น หากใช้วิธีที่ท่านผู้วิจารณ์เสนอเช่นนี้ รับประกันได้ว่าส่อลางแพ้ตั้งแต่เริ่มคิดแล้ว
ต่อความเข้าใจเรื่องการต่อสู้ทางชนชั้นก็เช่นกัน เนื่องจากท่านพูดว่า เพราะเงื่อนไขไทยไม่ใช่เงื่อนไขการต่อสู้ทางชนชั้น แต่เป็นการต่อสู้เพื่อ ปชต.
การกล่าวเช่นนี้เป็นการท่องจำคำโฆษณาชวนเชื่อของจักรวรรดินิยมตะวันตกมากลาวอ้างโดยอาศัยคำว่าประชาธิปไตยมาบังหน้า และนี่ก็คือคำหลอกลวงทางการเมืองหรือตรรกวิบัติที่นักหลอกลวง
ชอบนำมาใช้ การต่อสู้ทางชนชั้นกับการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยนั้นมันไม่ใช่เรื่องเดียวกัน นี่แสดงให้เห็นว่าผู้วิจารณ์ไม่มีความรู้และเข้าใจเรื่อง
”ชนชั้น” เลยแม้แต่นิดเดียว ซ้ำยังมีความคับแคบเรื่องประชาธิปไตยอีกด้วย เพราะประชาธิปไตยในความหมายของท่านคือประชาธิปไตยของชนชั้นนายทุนที่มีจำนวนหยิบมือเดียวไม่ใช่ประชาธิปไตยของประชาชนอันไพศาล ชนชั้นในสังคมนั้นไม่มีใครสร้าง ไม่มีใครกำหนด หากแต่ได้เกิดขึ้นเองเมื่อสังคมมนุษย์ได้พัฒนามาจนถึงการมีกรรมสิทธิ์ส่วนบุคคล ความหมายของชนชั้นนั้นสามารถทำความเข้าใจกันได้อย่างง่ายๆคือ กลุ่มชนใดในสังคมที่ดำรงชีพทางการผลิตอย่างเดียวกัน ใกล้เคียงกัน มีชีวิตความเป็นอยู่ทางสังคม วัฒนธรรม และฐานะทางเศรษฐกิจใกล้เคียงกัน ถือว่าเป็นชนชั้นหนึ่งในสังคม
ส่วนความขัดแย้งทางชนชั้นนั้นมันดำรงอยู่และซึมซ่านอยู่ไปทั่วในสังคม เพียงแต่ในบางสังคมยังไม่ได้ประทุออกอย่างเปิดเผยรุนแรงเท่านั้น จึงดูคล้ายกับว่าไม่มีความขัดแย้งทางชนชั้นอย่างที่บรรดาผู้แก้ต่างชอบกล่าวอ้างอยู่เสมอๆ ในสังคมที่มีการสะสมปริมาณของการกดขี่สูง เมื่อได้พัฒนาไปจนถึงจุดๆหนึ่ง การต่อสู้ทางชนชั้นที่ซึมซ่านอยู่นั้นจะประทุขึ้นมาอย่างรุนแรง .. การการต่อสู้ทางชนชั้นแสดงออกในรูปแบบต่างๆตั้งแต่ระดับเบาที่สุดเช่น การเรียกร้องทางเศรษฐกิจระหว่างกรรมกรกับนายจ้างเจ้าของโรงงาน ชาวนากับนายทุนเจ้าของโรงสี ข้าราชการชั้นผู้น้อยที่ต้องอดทนอยู่กับการกดขี่ของเจ้านาย...
ไปจนถึงขั้นรุนแรงที่สุด...นั่นคือชนชั้นผู้ถูกกดขี่ลุกขึ้นมาต่อสู้กับผู้กดขี่เพื่อการเปลี่ยนแปลงสังคม
การที่ผู้วิจารณ์อ้างว่า...เงื่อนไขของการต่อสู้ของไทย เป็นการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย จึงมีคำถามว่า ในสังคมที่ความคิด
วัฒนธรรม หรืออำนาจของชนชั้นปกครองครอบงำอยู่
เมื่อมีความ คิดใหม่ชนิดใหม่เกิดขึ้นและเป็นความคิดที่แสดงความเป็นปฏิปักษ์กับความคิดเก่าที่ครอบงำสังคมอยู่ ปรากฏการณ์เช่นนี้จะเรียกว่าอะไรหากไม่ใช่การต่อสู้ทางชนชั้น ซึ่งเกิดขึ้นในหลายๆบริบททั้งทางเศรษฐกิจ สังคม
การเมือง ไปจนถึงแนวคิด และอุดมการณ์ ทำไมประชาชนไทยส่วนหนึ่งจึงต่อ สู้กับเผด็จการ แต่ทำไมคนไทยอีกกลุ่มหนึ่งจึงเห็นด้วยกับเผด็จการ
? ทำไมชาวนาจึงเรียกร้องให้นายทุนซื้อข้าวในราคาสูง ทำไมชนชั้นนายทุนจึงไม่สนับสนับสนุนการออกกฎหมายเรื่องการเก็บภาษีมรดก
ภาษีที่ดินในอัตราก้าวหน้า สิ่งเหล่านี้เราจะเรียกว่าอะไรถ้าไม่ใช่การต่อสู้เพื่อผลประ
โยชน์ทางชนชั้น
เรื่องของประชาธิปไตยประชาชนเราจะสนับสนุนแบบไหน? ประชาธิปไตยที่ชนชั้นนายทุนเป็นผู้ชี้นำประชาชนมีบทบาทเพียงแค่เป็นผู้ตาม หรือประชาธิปไตยที่ประชาชนทุกคนมีส่วนร่วม หรือประ ชาธิปไตยที่ประชาชนเป็นเจ้าของโดยตรง เรื่องเหล่านี้ก็คือความขัดแย้งทางชนชั้นซึ่งเป็นความขัดแย้งทางความคิดและอุดมการณ์
พูดให้ถึงที่สุดแล้วตั้งแต่เกิดจนตายไม่มีใครสามารถหลีกลี้ไปจากการต่อสู้ทางชนชั้นไปได้เลย ไม่ว่าจะสังกัดชนชั้นใดในสังคม
3 ท่านยังกล่าวอีกว่า......สิ่งที่เกิดขึ้นจริงๆคือการเปลี่ยนแปลงจะค่อยเป็นค่อยไป ดังนั้นสุดท้ายการเน้นการศึกษา วิจารณ์
พูดคุย เพื่อให้ทัศนคติคนส่วนใหญ่เปลี่ยนแปลงพฤติกรรม จะเปลี่ยนแปลงตาม มันคงเกิดแบบนี้
ทั้งนี้ขึ้นกับเงื่อนไขมหภาคทางเศรษฐกิจ การเมืองระหว่างประเทศด้วย รวมทั้งสังขารผู้นำฝ่ายตรงข้ามต่างๆ
การกล่าวเช่นนี้แสดงให้เห็นถึงความคิดแบบปัจเจกชนนิยมของชนชั้นนายทุนน้อยที่ยังมิได้ดัดแปลงตนเองให้มาอยู่ฝ่ายประชาชน เป็นความคิดที่มีรากเหง้ามาจากความคิดแบบศักดินาที่ถือว่ามีแต่พวกตนเท่านั้นที่จะเป็นเป็นผู้ประสิทธิ์ประสาททุกสิ่งทุกอย่าง ทั้งยังมีความต้องการให้เกิดการเปลี่ยน แปลงแบบค่อยเป็นค่อยไป นี่คือแก่นแท้ของความคิดปฏิรูป เป็นความคิดที่เลื่อนลอยและค่อนข้างจะเพ้อฝันเอามากๆ
คนที่มีความคิดเช่นนี้ไม่ใช่เป็นเพราะพวกเขารักสันติอะไรหรอก หากแต่ขลาดกลัวต่อการเปลี่ยนแปลง เนื่องจากพวกเขาอยู่ในฐานะที่ได้เปรียบผู้อื่นในสังคมต่างหาก การอ้างว่าต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยนั้น จุดประสงค์ที่แท้จริงก็คืออยากจะให้ชนชั้นปกครองหยิบเอาแนวแนวคิด
ข้อเสนอ ของพวกเขาไปใช้บ้างเท่านั้นเอง
รูปแบบการต่อสู้ที่นำเสนอว่า เน้นการศึกษา วิจารณ์ พูดคุย
เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางทัศนะคติของคนส่วนใหญ่ นั้นแล้วพฤติกรรมจะเปลี่ยนแปลงตาม เรื่องนี้ไม่รู้ว่าใช้ศาสตร์อะไรมาอ้างอิงว่าการต่อสู้จะพัฒนาไป มันเป็นการแสดงออกของความคิดยอมจำนนโดยแท้จริง
เมื่อจะเน้นการศึกษา..จะศึกษาอะไร?
ศึกษาเศรษฐศาตร์ของชนชั้นนายทุนที่กำลังประสบกับวงจรอุบาทว์ครั้งแล้วครั้งเล่าเช่นนั้นหรือ? วิจารณ์...วิจารณ์รัฐบาลเผด็จการ
แล้วสามารถปลดปล่อยประชาชนได้หรือ?
ที่พูดว่า...พูดคุยเพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางทัศนะคติของคนส่วนใหญ่...
เช่นนี้ไม่อาจคิดให้เป็นอย่างอื่นไปได้นอกจากจะกล่าวว่า นี่คือทัศนะของพวก ที่สนับสนุน
รับใช้และค้ำจุนอำนาจรัฐของชนชั้นนายทุน
นี่เป็นการดูถูกประชาชนอย่างไม่สามารถอภัยให้ได้
ปัจจุบันนี้ประชาชนมีความรู้เรื่องการเมือง เศรษฐศาสตร์
การกดขี่ เอารัดเอาเปรียบ การมีชนชั้นอภิสิทธิ์ ในสังคมได้ดีเกินกว่าที่ใครจะไปชี้นำหว่านล้อมด้วยวาจาไร้สาระและท่วงทำนองแบบเจ้าขุนมูลนาย และมองไม่เห็นทางออกเพื่อชีวิตที่ดีกว่าได้อีกแล้ว การให้ความหวังอย่างเป็นนามธรรมที่ไม่มีความชัดเจนเช่นนี้ ไม่สามารถหว่านล้อมประชาชนได้อีกต่อไป เพราะประชาชนจะไม่ยอมรับ
“ทฤษฎีแห่งการรอคอย” ของชนชั้นนายทุนน้อยอีกต่อไป
4 ภาวะความขัดแย้งระดับสูงไม่น่าจะจบลงง่ายๆ เพราะเงื่อนไขมันเป็นตายพอๆกับช่วงที่ทักษิณมีอำนาจ ตอนนี้แค่เปลี่ยนทักษิณเป็นประวิตร/ประยุทธิ์แต่เงื่อนไขสูงสุดเหมือนเดิมตรงนี้ไม่รู้จะจบอย่างไร
วิเคราะห์ไม่ออก ได้แต่รอดู
ความขัดแย้งระดับสูงนั้นขอข้ามไปจะไม่กล่าวถึง แม้จะพอเข้าใจสถานการณ์อยู่บ้าง แต่การตีขลุมเปรียบเทียบสถานการณ์สมัยทักษิณและสมัยประยุทธิ์/ประวิตร
นั้น เป็นการเปรียบเทียบที่ใช้ไม่ได้เอาเสียเลย
เป็นการมองอย่างตายตัว
หยุดนิ่งโดยแท้ จากทักษิณถึงประยุทธ์ วันเวลาเปลี่ยน คนเปลี่ยน
สภาพแวดล้อมเปลี่ยน ดุลกำลังเปลี่ยน ประชาชนรู้อะไรๆมากขึ้น คู่ความขัดแย้งเปลี่ยน ทุกสิ่งทุกอย่างเปลี่ยนแปลงไปไม่ว่าด้านปริมาณและคุณภาพ
“ทฤษฎีแห่งการรอคอย” ที่ผู้วิจารณ์ ให้ความหวังนักหนานั้นกลับไม่สามารถนำมารับใช้สถานการณ์ได้ นั่นแสดงให้เห็นว่าทฤษฎีพวกนั้นใช้ไม่ได้จริงๆ ตรงกันข้ามกับลัทธิมาร์กซที่สามารถใช้วิเคราะห์ถึงความเป็นไปของสถานการณ์ได้
อย่างที่กลุ่มวิเคราะห์ของ
อปท.ได้วิเคราะห์เอาไว้
ยิ่งท่านกล่าวว่า “ไม่รู้จะจบอย่างไร?
วิเคราะห์ไม่ออก ได้แต่รอดู”
คำพูดเหล่านี้แสดงให้เห็นตัวตนของผู้วิจารณ์ได้อย่างชัดเจนว่า ไม่มีความสามารถทางทฤษฎีหรือสรรหาแนวทางใดๆมาใช้ในการแก้ปัญหาได้
เป็นการรอคอยความเปลี่ยนแปลงโดยไม่มีหลักการใดๆมามาตอบข้อสงสัย
ที่บอกว่าวิเคราะห์ไม่ออก ได้แต่รอดู
มันได้แสดงออกถึงธาตุแท้ของการยอมจำนนอย่างถึงแก่นเลยทีเดียว และยังกล่าวอีกว่า
5. ผมเห็นแต่สรุปกันว่า
มาร์กซิสต์ เป็นวิทยาศาสตร์
คือท่องตามกันมาเท่านั้น แต่น้อยมากที่จะอ่าน แคบปิตอล !!!!! ?) แต่โชคดีผมอ่าจบ 3 vol. เลย เลยไม่เชื่อคนอื่นสรุปแล้ว
การศึกษาลัทธิมาร์กซนั้น...วิธีการสำคัญเรื่องหนึ่งก็คือมรรควิธีแบบวิภาษ
(Method of Dialectics) ที่สอนให้รู้ถึงกฎของการเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงของสรรพสิ่ง ผู้ที่ศึกษาจึงต้องคิดและใช้ทฤษฎีอย่างแยกแยะ ไม่ใช้อย่างตายตัว สืบเนื่องมาจากเงื่อนไขของการเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงของภววิสัย
ไม่ได้มีลักษณะท่องจำอย่างเช่นนักลัทธิคัมภีร์ (Dogmatist) นักลัทธิคัมภีร์มักจะใช้วิธีท่องจำแล้วนำไปคุยโตโอ้อวดภูมิรู้เพื่อขู่ผู้อื่นเพื่อสร้างความนิยมให้แก่ตนเอง แต่ไม่ได้เข้าใจถึงแก่นแท้ของทฤษฎีเลย ซึ่งเป็นสิ่งที่ขัดกับหลักการของลัทธิมาร์กซเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องศึกษาเรียนรู้ทั้งปรัชญาของมาร์กซและฝ่ายตรงข้ามกับมาร์กซด้วย เช่นว่า.ถ้าจะศึกษาเศรษฐศาสตร์ลัทธิมาร์กซก็ต้องศึกษาเศรษฐศาสตร์ทุนนิยมด้วยเป็นการเปรียบเทียบกัน
เพื่อจะได้เห็นถึงข้อดี ข้อเสีย จุด อ่อน จุดแข็งของทั้งสองด้าน เพื่อจะได้นำไปปฏิบัติได้อย่างถูกต้องและเป็นประโยชน์
อนึ่ง..หนังสือเรื่องเรื่อง
“แคปปิตอล” ของมาร์กซ เป็นเพียงส่วนหนึ่งในองค์ประกอบทั้ง
3 ที่เรียกว่า เศรษฐศาสตร์ลัทธิมาร์กซ หรือ เศรษฐศาสตร์การเมือง(Political Economy) ซึ่งมันไม่ใช่เนื้อหาทั้งหมดของลัทธิมาร์กซ
เกี่ยวกับที่มาของลัทธิมาร์กซนั้นมาจาก
3 ทาง ได้แก่ 1) จากทฤษฎีเศรษฐศาสตร์คลาสสิคของอังกฤษ....2)
ปรัชญาคลาสสิคของเยอรมัน 3)
สังคมนิยมของฝรั่งเศส มีองค์ประกอบ 3
ส่วนคือ 1 ทฤษฎีวัตถุนิยมวิภาษ และ
วัตถุนิยมประวัติศาสตร์ 2 เศรษฐศาสตร์การเมือง 3 สังคมนิยมและการปฏิวัติ
การอ่านจบทั้งสามเล่มนั้นเป็นเรื่องดี..ถ้าจริง แต่การสรุปเอาเองว่า...นั่นเป็นเนื้อหาสาระทั้งหมดของลัทธิมาร์กซแล้วละก้อ มันแสดงออกถึงความรับรู้ลัทธิมาร์กซที่น้อยมากของผู้วิจารณ์ เมื่อนักลัทธิมาร์กซจะวิจารณ์เรื่องหนึ่งเรื่องใดจะต้องศึกษาเรื่องนั้นๆมาเป็นอย่างดี จนสามารถพบเห็นจุด อ่อนข้อบกพร่องของเรื่องนั้นๆอย่างชัดเจนแน่นอน จึงจะทำการวิจารณ์ได้อย่างตรงจุดและอย่างผู้รู้
คุณูปการของเศรษฐศาสตร์การเมืองลัทธิมาร์กซนั้น ให้ประโยชน์แก่ผู้ถูกกดขี่ ถูกเอารัดเอาเปรียบอย่างน้อยที่สุดก็ทำให้กรรมกรธรรมดาๆคนหนึ่งได้รับการติดอาวุธทางปัญญา
ไปรับรู้เรื่องผลประโยชน์ของตนที่ถูกเบียดบังได้ชัดเจนมากขึ้นเช่นเรื่องค่าจ้าง แรงงาน
ทุน กำไร มูลค่า มูลค่าส่วนเกิน
ปัจจัยการผลิต พลังการผลิต ความสัมพันธ์ทางการผลิต การขูดรีดมูลค่าส่วนเกินจากกำลังแรงงานของตน
ฯลฯ โดยที่เศรษฐศาสตร์ทุนนิยมมิได้เอื้อประโยชน์ให้แก่ชนชั้นอื่นๆเลย แต่กลับไปสร้างความร่ำรวยให้แก่นายทุนเพียงชนชั้นเดียว อีกทั้งยังพยายามปกปิดกระบวนการขูดรีดของมันไว้อย่างมิดชิดอีกด้วย
ทฤษฎีมูลค่าของมาร์กซ ได้เปิดโปงการขูดรีดแรงงานส่วนเกินที่นายทุนกระทำต่อกรรมกรออก
มาอย่างล่อนจ้อน เอาละ... ถามว่าเมื่ออ่าน”ทุน”จบ 3 เล่มแล้วไม่ได้รับรู้ถึงสิ่งเหล่านี้เลยหรือ
ไม่แน่ว่าหนังสือเรื่องที่ท่านอ่านคงชื่อว่า “ทุนนิยม” ไม่ใช่เรื่อง”ทุน”ของมาร์กซอย่างแน่นอน การจะเรียนรู้อะไรให้ลุ่มลึกนั้น..มีวิธีการอย่างหนึ่งในหลายๆวิธีในการศึกษา คือศึกษาแบบมีการอภิปราย
ถกเถียงแลกเปลี่ยนโต้แย้งกัน ถ้าศึกษาแบบไม่มีการแลกเปลี่ยนวิเคราะห์ร่วมกับผู้อื่น
ผลของมันจะออกมาเป็นแบบ หยุดนิ่ง
ตายตัว ไม่มีพัฒนาการ เป็นความคิดที่เกิดจากความว่างเปล่า ที่คิดเอาเอง จึงเกิดความไม่รู้ หรืออวิชชา ครอบงำตนอยู่
6. มาร์กซิสต์ คือวิทยาศาสตร์อย่างไร? มันแค่สมมุติฐานทางทฤษฎี
เมื่อได้ฟังประโยคนี้แล้ว รู้สึกตกใจเป็นอันมากจนเกิดเป็นความสงสารเห็นใจผู้วิจารณ์ท่านนี้ขึ้นมาทันที..
ไม่สมกับที่..ครั้งหนึ่งท่านเชื่อและภาคภูมิใจว่าตัวท่านเองเป็นแกนนำทางความคิดของคนเสื้อแดงในเวป
ไซต์ ของท่าน ขอให้เรามาทำความเข้าใจความหมายในระดับที่พอยอมรับกันได้ของคำว่าวิทยาศาสตร์กันก่อนว่า
วิทยาศาสตร์นั้นหมายถึงอะไร? มันหมายถึง ”ความรู้”
ที่ได้มีการจัดไว้อย่างเป็นระบบ แบ่งเป็นสองแขนงได้แก่วิทยาศาสตร์ธรรมชาติ
เช่น ภูมิศาสตร์ ฟิสิคส์
ธรณีวิทยา กายวิภาค เคมี
ชีววิทยา ฯลฯ ซึ่งเป็นความรู้
เกี่ยวกับธรรมชาติ ส่วนอีกแขนงหนึ่งคือวิทยาศาสตร์สังคมได้แก่ความรู้ในสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้นมา
เช่นปรัชญา กฎหมาย เศรษฐศาสตร์
รัฐศาสตร์ สังคมศาสตร์
ฯลฯ
อย่างที่ได้กล่าวมาแล้วว่าลัทธิมาร์กเป็นองค์ความรู้ที่มาร์กซและเองเกลส์ได้มาจากการศึกษาค้นคว้าและสังเคราะห์มาจากแหล่งความรู้
3 แหล่ง ที่เป็นทั้งวิทยาศาสตร์ธรรมชาติและวิทยาศาสตร์สังคมและเป็นที่ยอมรับกันในหมู่นักปราชญ์ทั้งหลาย
ที่ท่านกล่าวว่าทฤษฎีลัทธิมาร์กซ
มันแค่สมมุติฐานทางทฤษฎี เป็นสิ่งที่ยืนยันได้อย่างชัดเจนว่าผู้วิจารณ์ไม่มีความสามารถในการแยกสมมุติฐานออกจากทฤษฎี เลยไม่รู้ว่า อะไรคือสมมุติฐาน
(Hypothesis) อะไรคือทฤษฎี (Theory) และมันมีความสัมพันธ์และมีความต่างกันอย่างไร? อยาก
จะขอเรียนด้วยความเคารพว่า “สมมุติฐาน..คือความคิดหรือคำอธิบาย
บางสิ่งหรือปรากฏ การณ์บางอย่าง โดยอิงอยู่บนพื้นฐานของทฤษฎีที่มีอยู่ก่อน ซึ่งตัวมันเองยังไม่ได้รับการพิสูจน์ว่ามีความถูกต้องหรือไม่” ถ้าพิสูจน์ว่าถูกต้องได้รับการยอมรับ
มันจึงถูกนับชั้นขึ้นไป เป็นทฤษฎี
ส่วนทฤษฎีนั้น “คือความเป็นจริงในศาสตร์ต่างๆที่ได้รับการยอมรับและพิสูจน์แล้วว่าถูกต้อง” (จะไม่เป็นถูกต้องก็ต่อเมื่อมีความจริงอย่างอื่นมาหักล้าง หรือได้รับการพิสูจน์ในภายหลังด้วยเทคโน โลยีสมัยใหม่ว่าไม่ถูกต้อง เช่นทฤษฎีโลกแบนถูกแทนที่ด้วยทฤษฎีโลกกลม หลังจากใช้มาร่วมสองพันปี) ถ้าจะว่าตามชั้นแล้วสมมุติฐานนั้นมีศักดิ์เล็กกว่าทฤษฎี ดังนั้นการเรียกขาน การใช้คำพูดของผู้วิจารณ์ควรจะต้องมีความระมัดระวังให้มากในข้อเท็จจริง เพราะมันจะส่อให้เห็นถึงความรับรู้ของท่านในเรื่องนั้นๆว่ามีมากน้อยแค่ไหน?
ส่วนลัทธิมาร์กซนั้น..นักวิชาการทั้งโลกและแม้แต่ผู้ที่อยู่ตรงกันข้ามกับมาร์กซ ต่างก็ยอมรับว่ามัน เป็นทฤษฎี และเป็นทฤษฎีระดับใหญ่(Grand theory) ด้วย ที่มันได้รับการยอมรับว่าเป็นทฤษฎีใหญ่ก็เพราะว่า มันมีความเป็น”ศาสตร์” และมีความสามารถเพียงพอที่จะอธิบายปรากฏการณ์ทางด้านเศรษฐกิจ
สังคม การเมือง ทั้งในปัจจุบันและอนาคตได้อย่างเป็นสัจธรรม ทางด้านอุดมการณ์
นั้นมันได้แสดงจุดยืนอย่างมั่นคงว่ารับใช้ชนชั้นผู้ยากไร้ซึ่งเป็นคนส่วนข้างมากในสังคมที่ถูกเอารัดเอาเปรียบ
มันมีเป้าหมายชัดเจนที่ต้องการทำการปลดปล่อยมวลมนุษยชาติให้หลุดพ้นจากแอกของความสิ้นหวัง
ยากไร้ และขาดแคลนจากการถูกกดขี่ขูดรีดและกดขี่ทุกชนิด
ลัทธิมาร์กซ
ได้หล่อหลอมเชื่อมโยงเอานามธรรมที่หลากหลายเข้าด้วยกันอย่างสอดคล้องกลมกลืนเช่น ความยากไร้ การกดขี่ขูดรีด การต่อสู้ทางชนชั้น การเปลี่ยนแปลงสังคม ฯลฯ (ความยากไร้เกิดจากการถูกขูดรีด การถูกขูดรีดทำให้เกิดการต่อสู้ทางชนชั้น การต่อสู้ทางชนชั้นทำให้เกิดการเปลี่ยน
แปลงทางสังคม) แล้วแปรนามธรรมเหล่านี้ออกมาเป็นรูปธรรมที่สามารถสัมผัส
ได้โดยผ่านการปฏิบัติ
การที่ลัทธิมาร์กซมีความสามารถอธิบายสิ่งเหล่านี้ได้เพราะมันเป็นองค์ความ
รู้ที่ถูกประมวลและผลิตขึ้นมาอย่างเป็นวิทยาศาสตร์ มีมวลชนผู้ศรัทธาสืบทอดโดยนำหลักการไปปรับใช้ปฏิบัติและได้ผลอย่างประจักษ์มาแล้ว
อนึ่งทฤษฎีใดๆก็ดี
ย่อมถูกสร้างขึ้นจากความเป็นจริงแห่งยุคสมัย ไม่ว่าจะเป็นสถานที่ เหตุการณ์ต่างๆ กระบวนการทางเศรษฐกิจ สังคม
การเมือง ผู้คน และองค์ประกอบอื่นๆอีกมากมาย ซึ่งสิ่งเหล่านี้ย่อมมีลักษณะเฉพาะของมันอยู่ และลักษณะเฉพาะของสังคมนี่แหละที่ต้องค้นให้พบเพื่อจะนำไปสู่การวิเคราะห์สังคม...เพื่อใกำหนดยุทธศาสตร์ แม้ว่าเนื้อหาและหลักการของทฤษฎีนั้นๆจะยังมีความถูกต้องอยู่ แต่ก็มีความจำกัดในเรื่องของเวลา ดังนั้นการจะนำมาใช้ในที่หนึ่งๆ ในเวลาหนึ่งๆ
จึงต้องตรวจสอบเงื่อนไขทางประวัติศาสตร์ของมันเสียก่อน แล้วนำมาผสมผสานเข้ากับเงื่อนไขที่เป็นจริงในปัจจุบัน
นี่คือการใช้ทฤษฎีแบบวิภาษวิธีของนักลัทธิมาร์กซที่มีความแตกต่างไปจากผู้อื่น
ถ้านักเคลื่อนไหวที่ต่อสู้เพื่อปชต. หรือเรื่องใดก็ตาม ใช้ทฤษฎี ข้อมูล ข่าวสารที่ผิด
ก็ไม่สามารถวินิจฉัยสถานการณ์ได้อย่างถูกต้อง การวางแผน
วางกำลังก็จะผิด การต่อสู้จะพ่ายแพ้ สู้เมื่อไหร่ก็แพ้เมื่อนั้น สำหรับผู้เขียนเป็นแค่เพียงนักศึกษาลัทธิมาร์ก ไม่กล้าที่จะเรียกตัวเองว่าผู้รู้ จึงไม่กล้า วิพากษ์วิจารณ์เรื่องใดๆที่ตนรู้เพียงผิวเผิน สิ่งไหนดีสิ่งไหนเป็นประโยชน์สุขของประชาชนก็สามารถยอมรับได้ หากจะได้รับชัยชนะจากการต่อสู้แบบสันติวิธีนั้นย่อมถือว่าเป็นสิ่งประเสริฐที่สุดแล้ว แต่โดยข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์..ชัยชนะเยี่ยงนั้นยังไม่เคยปรากฎ ส่วนที่ว่าการต่อสู้จะรุนแรงแค่ไหน
ระดับใด ไม่ได้ขึ้นอยู่กับประชาชน หากแต่ขึ้นอยู่กับชนชั้นปกครองที่เป็นผู้กำหนดว่าการกดขี่ปราบปรามของพวกเขานั้นรุนแรงแค่ไหน โปรดทำความเข้าใจเสียใหม่ว่า...นักลัทธิมาร์กซไม่เคยต้องการความรุนแรง และไม่เคยใช้ความรุนแรงก่อน หากจะใช้ก็เพราะมีความจำเป็นในการปกป้อง ประชาชนและป้องกันตัวเองเท่านั้น
การที่ทานผู้วิจารณ์ยกคำถามขึ้นมาถามว่า
7. แล้วรัสเซียโดยเลนินนำไปทดลองทางสังคมของรัสเซีย
ปี 1922-1990
เท่านี้ก็ไม่ถูกต้องแล้ว ผู้วิจารณ์ควรที่จะไปศึกษาประวัติศาสตร์การปฏิวัติของรัสเซียให้พอเข้าใจเสียก่อน
ขอแนะนำว่าให้เริ่มต้นตั้งแต่ยุคสมัยของพระเจ้าซาร์ อเล็กซานเดอร์ที่สอง ถูกลอบปลงพระชนม์ การปฏิวัตินั้นไม่ใช่การทดลอง เลนินและพลพรรคบอลเชวิคได้ศึกษาแนวคิดทฤษฎีลัทธิมาร์กซจนมีความเข้าใจอย่างลึกซึ้ง แล้วนำไปประยุกต์ใช้ต่อสู้กับระบอบศักดินาซาร์อย่างจริงจังตั้งแต่ปี
1890 เป็นต้นมา ต้องพบกับอุปสรรคความล้มเหลวก็หลายครั้ง แต่ด้วยหลักคิดที่เป็นวิทยา ศาสตร์ของลัทธิมาร์กซ
จึงสามารถเปลี่ยนจากสภาพที่อ่อนด้อย พ่ายแพ้ พลิกไปสู่ชัยชนะได้ในที่สุด
ส่วนการจะก้าวไปสู่สังคมอุดมการณ์นั้นยังต้องเดินทางกันอีกยาวไกล เพราะผู้ที่สนใจศึกษาลัทธิมาร์กซอย่างเป็นวิทยาศาสตร์เท่านั้นจะรับรู้ในสัจธรรมของทฤษฎีลัทธิมาร์กซข้อที่ว่า สรรพสิ่งมีการ เคลื่อน ไหวเปลี่ยนแปลง ฯลฯ
ดังนั้นจึงอนุมานไว้ล่วงหน้าแล้วว่า มันเป็นการเดินทางไปสู่เป้าหมายที่ยังไม่มีใครไปถึงเป็นเส้นทางที่รกชัฏไม่มีใครเคยเดิน จึงต้องเตรียมตัวเผชิญกับความผิดพลาด อุปสรรคขวากหนามทั้งใหม่และเก่า เป็นหนทางที่สับสนคดเคี้ยว ยอกย้อน วกวน มีศัตรูทางชนชั้นคอยจ้องทำลายอยู่ ไม่เพียงแค่ภายในประเทศเท่านั้น
ยังมีศัตรูจากบรรดาประเทศจักวรรดิ์นิยมทั้งหลายอีกด้วย
(ที่กล่าวมานี้มีหลักฐานยืนยัน ไม่ว่าในรัสเซีย จีน เวียดนาม ฯลฯ แม้กระทั่งประเทศ ที่ไม่ใช่สังคมนิยมเช่น เช่นการเข้าไปแทรกแซง อิหร่าน
คิวบา เวเนซูเอลา ชิลี
ไทย และประ เทศในอาเซียน การเข้าไปทำลายประเทศ ยูโกสลาเวีย อัฟกานิส ถาน
อิรัก ซีเรีย ลิเบีย
โซมาเลีย เพียงเพราะประเทศเหล่านั้นต้องการเป็นตัวของตัวเองอย่างมีศักดิ์ศรี ไม่ต้องการถูกครอบงำ อยากอยู่อย่างอิสระ มากบ้างน้อยบ้างตามเงื่อนไข) หากยังไปไม่ถึง หลงทาง
ย้อนกลับ ฯลฯ มันจึงไม่ใช่ความล้มเหลว...เนื่องจากมันยังอยู่ในระยะผ่าน
ที่ยังต้องใช้เวลาและพลังวิริยภาพไปอีกมากมายสักเท่าใด
โดยหลักการแล้ว...การแสวงหาความรู้ของมนุษย์..วิธีหนึ่งคือการเรียนรู้จากการปฏิบัติ เป็นการรับรู้ทาง
ตรง ลัทธิมาร์กซสอนให้สรุปการปฏิบัติให้เป็นทฤษฎี จากนั้นก็นำไปปฏิบัติอีก สรุปอีก...ปฏิบัติอีกเป็นกระบวนการต่อเนื่องสัมพันธ์กันเช่นนี้ตลอดไปไม่มีที่สิ้นสุด สอนให้มองสรรพสิ่งตามสภาวะที่เป็นจริง ทั้งในโลกธรรมชาติและกระบวนการทางสังคม ตามการเปลี่ยนแปลงหรือปรากฏการณ์และความสัมพันธ์ของมันกับสิ่งอื่นๆ จึงไม่ใช่การเดา
เพราะวิธีคิดของลัทธิมาร์กซไม่ได้คิดอะไรขึ้นมาจากสิ่งที่มองไม่เห็น ดังนั้นลัทธิมาร์กซจึงไม่ใช่หมอดู แต่สามารถทำนายปรากฏการณ์ข้างหน้าได้อย่างกว้างๆ ไม่เหมือนศาสตร์บางศาสตร์ที่พยากรณ์ตัวเลขหรือปรากฎการณ์ เมื่อเกิดข้อผิดพลาด ขึ้น ก็ไม่รับผิดชอบ เช่นทำนาย จีดีพี อัตราดารเติบโตทางเศรษฐกิจ ฯลฯ อ้างโน่นอ้างนี่
อ้างแต่ปัจจัยที่แปรเปลี่ยนไปแล้ว ทำนายกันใหม่
ดังนั้นจึงมีคำถามว่า ศาสตร์ไหนมีความน่าเชื่อถือกว่ากัน
ยิ่งมากล่าวสรุปแบบคิดเอาเองว่า ลัทธิมาร์กซ์เป็นเพียงสมมุติฐานที่ไม่เป็นจริงทางการปฏิบัติ ยิ่งได้เห็นความไม่รู้ของผู้ที่กล่าวหานั้นมากยิ่งขึ้น
ถ้ามันไม่เป็นจริงทางปฏิบัติ ทำไมเลนินและชาวพรรคบอลเชวิคถึงโค่นล้มพระเจ้าซาร์ลงไปได้
ทำไมเหมาเจ๋อ ตุง และพรรคคอมมิวนิวต์จีนจึงชนะเจียงไคเชคที่มีทหารนับล้านติดอาวุธทันสมัยของอเมริกาตลอดหัวจรดเท้า
ฯลฯ
ทำไมลุงโฮ จึงรบชนะฝรั่งเศสในสงครามเดียนเบียนฟู และสามารถขับไล่ผู้รุกรานออกไปได้ ทำไมประเทศเหล่านี้ถึงพัฒนาบ้านเมืองของตนที่ย่อยยับจากสงครามปลดแอกก้าวขึ้นมาเป็นชาติมหาอำนาจที่ก้าวหน้า ไม่ว่าทั้งทางเศรษฐกิจ การป้องกันประเทศ และด้านวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีได้รวดเร็วขนาดนี้
คำถามนี้อยากให้ผู้วิจารณ์ท่านนั้นถามและตอบตัวเองด้วยใช้การศึกษาปัญหาอย่างที่มันเป็นให้ชัดเจน
ก่อนจะด่วนตัดสินสิ่งใดๆด้วยท่าทีที่ไม่เป็นวิทยาศาสตร์อีกนะครับ....ด้วยความคารวะ
ยิ่งกล่าวปรามาสผู้อื่นว่า คนไทยท่องจำลัทธิมาร์กซมา เลยรู้และเข้าใจวิธีการวิเคราะห์แบบนี้เพียงทางเดียวเลยไม่รู้จักคิดแบบวิธีอื่น
เช่น ทุนเสรีนิยม เศรษฐศาสตร์กระแสหลัก ทฤษฎีอรรถประ
ประโยชน์ ดีมานด์ ซับพลาย ฯลฯ
คนที่เรียกตัวเองว่านักลัทธิมาร์กซ ส่วนใหญ่ได้ทำการศึกษาสิ่งเหล่านี้มาพอสมควรแล้วทั้งภาค
ทฤษฎีและปฏิบัติ
ได้เห็นพบเห็นทั้งความก้าวหน้าและความอำมหิตเลือดเย็นของระบบทุนนิยมมาทั้งระบบ
จนสามารถสรุปได้อย่างชัดเจนว่า ทฤษฎีเศรษฐศาสตร์ทุนนิยมที่ใช้กันอยู่นั้น ไม่ว่าจะพัฒนา อย่างไรก็ไม่สามารถแก้ปัญหาวิกฤติของตัวมันเองได้ ไม่ว่าจะเป็นเศรษฐศาสตร์ทุนนิยมกระแสหลักอย่าง เคนเชียน
ฮาเยก เสรีนิยม เสรีนิยมใหม่ ก็ยังวนเวียนอยู่ในวงจรอุบาทว์ ตั้งแต่เงินฝืด
เงินเฟ้อ เงินตึง ความชะงักงันทางเศรษฐกิจ เศรษฐกิจตกต่ำอย่างที่เคยเป็นมาซ้ำแล้วซ้ำเล่า นับตั้งแต่
เศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ในอเมริกาประเทศมหาอำนาจทุนนิยมเมื่อปี 1929 มาจนถึงปัจจุบัน อเมริกาก็ยังต้องเผชิญกับวงจรอุบาทว์ทางเศรษฐกิจมาแล้วไม่รู้กี่ครั้ง(จนกระทั่งในปัจจุบัน)
ซึ่งเป็นเรื่องที่มาร์กซได้เคยกล่าวเอาไว้ถึงวิกฤติของระบอบทุนนิยม
และมันก็เกิดขึ้นจริงๆ ซ้ำร้ายในแต่ละรอบวงของช่วงเวลายิ่งสั้นลงทุกที นี่หมายถึงอะไร
ประเทศไทยได้ใช้เศรษฐศาสตร์กระแสหลัก(ทุนนิยม)มาตลอด จีดีพี เพิ่มขึ้นจริง
แต่เงินไม่ได้กระ จายไปในระบบอย่างที่เศรษฐศาสตร์ทุนนิยมโอ้อวดเอาไว้
หากแต่ไปรวมศูนย์อยู่ที่ชนชั้นปกครองและชนชั้นนายทุนเสียเป็นส่วนใหญ่ ประสบกับวงจรอุบาทว์ทางเศรษฐกิจมานับครั้งไม่ถ้วน ในภาวะเช่นนี้มีแต่ประชาชนนั่นแหละที่เดือดร้อนแทบเป็นแทบตาย ต้องมารับภาระให้แก่นายทุน
เมื่อรัฐนำเงินภาษีไปช่วยเหลือกิจการของบรรดานายทุนที่กำลังจะล้มละลาย นี่หรือคือระบอบทุนนิยมเสรีทื่ท่านชื่นชมว่าดีนักหนา
อยากจะถามว่ามันเสรีตรงไหน การใช้คำโกหกหรูๆออกมาแก้ต่างเช่น คุณมีสิทธิ์จะกินอะไรก็ได้ แต่ไม่ได้บอกต่อไปว่า(ถ้าคุณมีเงินนะ) ลูกชาวนาจากตะพานหินสอบคัดเลือกได้คณะแพทย์ศาสตร์จุฬาฯ แต่ไม่มีเงินลงทะเบียนแล้วเขาจะได้เรียนไหม
? ถ้ามันเสรีจริง ใต้กระท่อมของผมมีแร่ทองคำ
ผมสามารถขุดเอามาทำประโยชน์ได้หรือไม่ ฯลฯ
ย่อมไม่ได้แน่นอน
ที่ยกตัวอย่างมานี้เพราะระบอบที่ท่านผู้วิจารณ์ชื่นชอบนั้นมันเป็นอะไรที่ย้อนแย้งมาก ท่านอาจเลี่ยงไปพูดว่าต้องเป็นทุนนิยมเสรีจริงๆสิ
ถ้ากล่าวประโยคนี้ออกมา..โดยตรรกแล้วแสดงว่าทุนนิยมเสรีนั้นไม่มีจริง เหมือนกับพวกเผด็จการที่ลอยหน้าลอยตากล่าวว่าภายใต้การปกครองของพวกเขา
ประชา ชนยังมีเสรีภาพในการหายใจอยู่..ยังไงยังงั้น
No comments:
Post a Comment