การปฏิวัติโบลิวาเรียนบนทางแพร่ง
และภาระหน้าที่ของชาวลัทธิมาร์กซ
โดย คอร์เรียนเต้ มาร์กซิสต้า
อองแตร์นาซิอองนาล แห่ง เวเนซูเอลลา เดือน ตุลาคม 2015
หมายเหตุ : ก่อนอ่านบทความนี้ใคร่ขอทำความเข้าใจในบางเรื่องเกี่ยวกับชื่อและความหมาย (ทางการเมือง)
ของคำบางคำที่สำคัญซึ่งท่านผู้อ่านบางท่านไม่คุ้นเคย โดยเฉพาะเรื่องราวการต่อสู้ของประชาชนในทวีปอเมริกาใต้
ซึ่งประชาชนชาวไทยไม่ค่อยจะได้รับรู้หรือศึกษาบทเรียนของเขาในแง่มุมต่างๆ หรือแม้จะพอรับรู้ได้บ้างก็จากการติดตามข่าวสารจากสื่อต่างๆที่เป็นเสมือนการบอกเล่าเรื่องราวเท่านั้น
ขอให้เรามาทำความเข้าใจความหมายของคำเหล่านี้กันก่อน
ลัทธิโบลิวาเรียน
หมายถึงชุดความเชื่อซึ่งเป็นที่รู้จักและชื่นชอบกันมาอย่างต่อเนื่องในประเทศแถบ
ลาตินอเมริกาโดยเฉพาะอย่างยิ่งในเวเนซูเอลลา
เป็นลักษณะพิเศษของการปฏิวัติในทวีปอเมริกาใต้ มาจากชื่อของ ซีโมน โบลิวาร์ นายพลชาวเวเนซูเอลลา ผู้นำในการทำสงครามปลดปล่อยกลุ่มประ เทศที่เป็นเมืองขึ้นของเสปนในทวีปอเมริกาใต้ในศตวรรษที่
19 จาก อีคัวดอร์
เปรู โบลิเวีย โค ลอมเบีย
ปานามา เวเนซูเอลลา การต่อสู้เพื่อเอกราชของท่านเป็นแบบอย่างและมีอิทธิพลไปทั่วทวีป
ลัทธิชาวิส
((Chavism หรือชาวิสโม chavismo)ในภาษาเสปน คืออุดมการณ์ทางการเมืองฝ่ายซ้าย
ที่เติบโตขึ้นจนกระทั่งกลายเป็นลัทธิความเชื่อ
บนพื้นฐานความคิดทางด้านนโยบายและการเข้ามีส่วนร่วมในรัฐบาลของประธานาธิบดี
ฮูโก ชาเวช
ของเวเนซูเอลลาผู้ล่วงลับที่รวบรวมปัจจัยต่างๆของลัทธิสังคมนิยมปีกซ้าย ลัทธิประชานิยม ลัทธิรักชาติ
ลัทธิสากลนิยม
ลัทธิโบลิวาเรียน ลัทธิสตรีนิยม(feminism)
การเมืองสีเขียว เพื่อผนึกกำลังของประเทศแถบคาริบเบียนและลาตินอเมริการเข้าด้วย
กัน ผู้สนับสนุน ประธานาธิบดี ฮูโก ชาเวช
อย่างแข็งขันหรือพวก ชาวิสโม รู้จักกันในนาม ชาวิสต้าส์
พรรคการเมืองหลายพรรคในเวเนซูเอลลาสนับสนุนพวก
ชาวิสโม
พรรคการเมืองสำคัญที่ก่อตั้งและนำโดย ชาเวช คือ พรรคสหสังคมนิยมแห่งเวเนซูเอลา (the United
Socialist Party of Venezuela)และใช้อักษรย่อว่า PSUV ( Partido
Socialista Unido de Venezuela )
นโยบายหลักของ ชาวิสโม ประกอบด้วย การสร้างชาติ
นโยบายสวัสดิการสังคม
ต่อต้านลัทธิเสรีนิยมใหม่ (โดยเฉพาะอย่างยิ่งนโยบายของไอ เอ็ม เอฟ
และธนาคารโลก)
ชาเวชเห็นด้วยกับระบอบสังคมนิยมแบบเวเนซูเอลลา โดยการยอมรับกรรมสิทธิ์ส่วนบุคคล แต่ก็แสวงหาและส่งเสริมกรรม
สิทธิ์ของสังคมด้วย
ผู้แปล
……………………………………………
เอกสารชิ้นนี้เป็นฉบับต้นร่าง ที่ได้ผ่านการโต้แย้งอภิปรายและตรวจสอบโดยบรรดาสมาชิกมาตั้งแต่เดือน
ตุลาคม 2015 แล้ว แม้ว่าจะผ่านมาเป็นเดือนแล้วแต่ก็ยังใช้ได้อยู่ มันสะท้อนถึงความเข้าใจที่ถูกต้องต่อภาพที่เกิดขึ้น และแสดงให้เห็นว่าคำเตือนของเราได้รับการยืนยันในการเผชิญหน้ากับภัยคุกคามที่ร้ายแรงจากพวกปฏิปักษ์ปฏิวัติ
เราเชื่อว่าเอกสารนี้จะเป็นประหนึ่งเครื่องมือในการแลกเปลี่ยนอภิปรายเพื่อพัฒนาการเคลื่อนไหวของขบวนการ
เชวิสต้า อย่างทั่วด้าน ก่อนวันเลือกตั้งสมัชชาแห่งชาติในวันที่
6 ธันวาคมนี้ การปฏิวัติโบลิวาเรียนต้องเผชิญกับสถานการณ์ที่ยากลำบากยิ่งกว่าช่วงสมัยที่
ฮูโก ชาเวช ก้าวขึ้นสู่อำนาจในปี 1998
ปัจจัยต่างๆที่รุมเร้าเข้ามาทำให้ยิ่งย่ำแย่ลง สิ่งที่สำคัญมากได้แก่ปัจจัยเหล่านี้
1.สถานการณ์ด้านเศรษฐกิจโลกและโดยเฉพาะอย่างยิ่งเศรษฐกิจจีนมีการชะลอตัวลงอย่างรุนแรง
2.
ราคาน้ำมันตกต่ำอย่างต่อเนื่อง
3.
ภาวะเงินเฟ้อสูงขึ้นอย่างรุนแรงและเกิดความขาดแคลน
4.
การแพร่ระบาดของการคอร์รัปชั่น
5.
ระบอบขุนนางมะเร็งร้ายของการปฏิวัติ
ปัจจัยเหล่านี้ต่างมีความสัมพันธ์และอาศัยซึ่งกันและกัน ผลหลักๆที่ตามมาก็คือ การไม่ยอมเข้าร่วม
ความเฉื่อยเนือย และลัทธิเหตุผลนิยม ของมวลหมู่กรรมกรและมวลชนที่ยากไร้ที่เป็นเครื่องยนต์ของการปฏิวัติ และคนอื่นๆที่เฝ้าแต่ระมัดระวังตัวในช่วงเวลาสำคัญเช่นนี้
สถานการณ์ด้านเศรษฐกิจของโลก
ในมุมของสถานการณ์ทางสากล...การชะลอตัวของเศรษฐกิจจีน ได้ส่งผลกระทบต่อบรรดาประเทศผู้ส่งออกพลังงานหลายประเทศ
และในขณะเดียวกันก็มีการจำกัดเงินช่วยเหลือที่จีนเคยให้แก่รัฐบาลเวเนซูเอลลาด้วย
ราคาน้ำมันที่ลดลงอย่างรุนแรงทำให้รายได้ของรัฐ..และความรุดหน้าในแง่ของนโยบายพิเศษทางสังคมและการลงทุนของรัฐก็ถูกจำกัดลงด้วย ปี 2014
น้ำมันของเวเนซูเอลลามีราคาเฉลี่ยอยู่ที่ 88ดอลลาร์
ต่อบาร์เรล ปี 2015 มีราคาเหลือแค่ 44
ดอลลาร์ ในเดือนกันยายนปีเดียวกันลดลงต่ำสุดที่
40 ดอลลาร์
สิ่งนี้ทำให้การสำรองน้ำมันในระดับสากลและรายได้จากภาษีของรัฐต้องลดลงด้วย
ปัจจัยทั้งสองนี้..ในทางกลับกันก็เป็นส่วนหนึ่งและผลของวิกฤตระหว่างประเทศของระบอบทุนนิยม
ซึ่งไม่สามารถหยัดยืนอย่างมั่นคงด้วยตัวมันเองจากวิกฤตที่เริ่มขึ้นเมื่อปี
2007..ประกอบกับเศรษฐกิจของจีนที่ลดลงก็เป็นชนวนให้เกิดการชะลอตัวไปทั่วโลก
เศรษฐกิจของเวเนซูเอลลา :
ความล้มเหลวในระบบการควบคุม..เงินเฟ้อ
และการพังทลายทางเศรษฐกิจ
การเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศหดตัวลงร้อยละ 4 ในปีที่ผ่านมา(20014)..อาจจะลดลงอีกเท่าตัวในปีนี้
อัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นและความขาดแคลนอย่างหนักสะท้อนถึงความล้มเหลวในด้านนโยบายที่พยา
ยามจะควบคุมระบบทุนนิยม และความไม่สมดุลอย่างมหาศาลที่มันได้ก่อขึ้น การประเมินอัตราเงินเฟ้อ อยู่ที่ 68% ในปีที่แล้ว..และคงจะเพิ่มขึ้นอีกเท่าตัวในปีนี้ การควบคุมราคาสินค้านำไปสู่การตั้งใจทำ
ลายการผลิตอาหารและสินค้าพื้นฐานอื่นๆโดยภาคเอกชน..เช่นเดียวกับการกักตุนสินค้า
เพื่อดันราคาให้สูงขึ้นไปในตลาดมืด ความพยายามโดยรัฐในการประกันราคาสินค้าพื้นฐานในราคาที่ประชาชนสามารถซื้อหาได้ทำให้เกิดรอยรั่วขนาดใหญ่ขึ้นกับเงินสำรองของประเทศ
รัฐจำต้องจัดซื้อสินค้าในตลาดระหว่างประเทศที่ชำระราคาด้วยเงินตราต่างประเทศและกระจายสินค้าเหล่านี้ผ่านห่วงโซ่ราคาแบบให้ความช่วยเหลือ
ความขาดแคลนสินค้าอุปโภคบริโภคเป็นเหตุผลที่สำคัญมากอย่างหนึ่ง ทำให้เกิดและดำรงอยู่ของตลาดมืดและ “บาชากีโอ”
(การค้าผิดกฎหมาย...สิน ค้าเถื่อนหนีภาษี และธุรกรรมตลาดมืด)
ความแตกต่างระหว่างราคาปกติของสินค้าและราคาในตลาดมืด
เป็นต้นเหตุของการคอร์รัปชั่นในทุกๆระดับและก็เช่นเดียวกันกับที่เกิดขึ้นกับการควบคุมอัตราแลก
เปลี่ยน อัตราแลกเปลี่ยนในตลาดมืดคือ187
โบลิวาร์ : 1 ดอลลาร์สหรัฐ เมื่อต้นปี 2015 และตกไปถึง 800 โบลิวาร์ ต่อ
1ดอลลาร์สหรัฐฯในวันที่ 1 ตุลาคม
อัตราแลกเปลี่ยนอย่างเป็นทางการจากอยู่ที่ 176 โบลิวาร์ในเดือนกุมภาพันธ์
2015 เพิ่มขึ้นเป็น 200 โบลิวาร์ / 1
ดอลลาร์สหรัฐฯ ในเดือนตุลาคม
โดยที่ไม่ได้มีการป้องกันการไหลออกของเงินทุน การควบคุมอัตราแลกเปลี่ยนหมายถึงการถ่ายโอนเงินดอลลาร์จากภาษีน้ำมันไปยังบรรดานายทุนอย่างต่อเนื่องโดยกลไกทั้งที่ถูกและผิดกฎหมาย
และการคอร์รัปชั่น ยิ่งไปกว่านั้นการควบคุมการแลกเปลี่ยนถูกบิดเบือนโดยปัจจัยต่างๆจากระบบการผลิตทั้งหมดด้วยการส่งเสริมการนำเข้าผลิตภัณฑ์สำเร็จรูป
ซึ่งเป็นการบีบคั้นซ้ำเติมการผลิตภาย ในประเทศ
เพื่อให้ผลประโยชน์เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องด้วยการใช้เครื่องมือทั้งที่ถูกและผิดกฎหมายมาหาผลประโยชน์จากอัตราแลกเปลี่ยนมากกว่าที่จะลงทุนในผลิตภัณฑ์ อัตราการลงทุนจึงลดลงจาก 27 % เหลือเพียง 16 % ของรายได้ประชาชาติ
ดังนั้นจึงเกิดการหดตัวทางเศรษฐกิจบวกกับเงินเฟ้ออย่างรุนแรง
การเพิ่มขึ้นของ ค่าใช้จ่ายในทางสังคม
บวกกับรายได้จากน้ำมันที่ลดลง และการอ่อนตัวทางเศรษฐกิจ นำไปสู่การขาดดุลงบประมาณถึง
14 % ของรายได้ประชาชาติในปี 2014 และคงไม่อาจหยุดลงได้ ในปี 2015 อัตราการขาดดุลน่าจะอยู่ที่ 20 % ของรายได้ประชาชาติ
หลังจากเข้าไปควบคุมบริษัทน้ำมันแห่งชาติ (PDVSA / Petróleos de Venezuela,
S.A.)เมื่อปี 2003 แล้ว
การปฏิวัติโบลิวาเรียนได้สร้างหลักประกันในชีวิตความเป็นอยู่ที่สำคัญๆของมวลชนในหลายๆด้าน
สำหรับช่วงเวลาทั้งหมดมีความเป็นไปได้ที่จะรักษาไว้และพัฒนาความเจริญได้โดยใช้รายได้จากภาษีน้ำมัน โดยไม่ได้คำนึงถึงปัจจัยการผลิตจากทรัพย์สินของภาคเอกชน
ปัจจัยต่างๆเมื่อก่อนนี้มีความเป็นไปได้ที่จะดำรงอยู่ได้ไม่นาน (โดยเฉพาะราคาน้ำมันที่สูง)
รัฐบาลตระหนักถึงวิธีการควบคุมระบบทุนนิยม
และนำภาษีจากน้ำมันมาใช้จ่ายทางด้านสังคมจนหมดสิ้น สามารถกล่าวได้ว่าการจากไปของรัฐมนตรี
จิโอดานี เมื่อเดือน มิถุนายน 2014 มันเป็นจุดพลิกผัน การกำหนดนโยบายของรัฐบาลเปลี่ยนไป ด้วยการอ่อนข้อให้นายทุนโดยยกเลิกการควบคุมรา
คาสินค้าบางชนิดอย่างค่อยเป็นค่อยไปและการควบคุมการแลกเปลี่ยน
สิ่งเหล่านี้จะสามารถดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศด้วยการสร้างเขตเศรษฐกิจพิเศษ เป็นความพยายามส่งเสริมให้เงินทุนที่ไหลออกของประเทศไหลกลับคืนมาอย่างที่ได้อธิบายไปแล้ว..นโยบายนี้ประสบความล้มเหลว ใน ทางประวัติศาสตร์..โดยเฉพาะอย่างยิ่ง
ชนชั้นนายทุนเวเนซูเอลานั้นคือเหล่ากาฝากโดยธรรมชาติที่มีรายได้จากค่าเช่า พวกเขาไม่มีความต้องการที่จะลงทุนด้วยเหตุผลหลายประการ
1.พวกเขาไม่เชื่อว่า จะได้รับผลตอบแทนที่ "เพียงพอ"
ที่พวกเขารู้สึกว่ามันเป็นกำไร
2. พวกเขารู้สึกว่า
ไม่มีความเชื่อมั่นในด้านกฎหมายการลงทุนว่าจะเป็นหลักประกันได้หรือไม่ ว่าจะไม่มีการปฏิวัติในเวเนซูเอลาอีก
แรงกระทบต่อจิตสำนึก
ปัจจัยต่างๆที่ได้อธิบายมาแล้ว
เป็นผลกระทบที่สำคัญต่อจิตสำนึกของมวลชน
หลังจากที่ในปีต่อๆ มาชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนก็ได้รับการพัฒนาอย่าต่อเนื่อง
ถือได้ว่าเป็นผลสัมฤทธิ์ของการปฏิวัติอย่างชัดเจน แต่สถานการณ์บางอย่างกลับถดถอยลง แนวโน้มที่จะกลับไปสู่ความยากลำบากเพิ่มมากขึ้นจากความขาดแคลนและอัตราเงินเฟ้อซึ่งมากกว่าผลพวงที่ได้รับจากการปฏิวัติ รวมทั้งอาชญากรรมที่เพิ่มสูงขึ้น..เนื่องมาจากปัจจัยหลายประการ..ที่สำคัญได้แก่
1. ความล้มเหลวในบรรดาเครื่องมือต่างๆของรัฐแบบเก่าของชนชั้นนายทุนที่ได้สูญเสียอำนาจของมันไป..แต่กลับไม่ได้รับการทดแทนโดยเครื่องมือแบบใหม่ที่เป็นไปตามกฎหมายของรัฐปฏิวัติในสายตาของมวลชน
2.
อาชญากรรมทางด้านเศรษฐกิจมีส่วนเกี่ยวข้องและสัมพันธ์กับตลาดมืด
3. องค์กรอาชญากรรมมีเงื่อนไขในการเจาะเข้าไปได้ง่ายในตลาดมืด
4. สายสัมพันธ์ระหว่าง กลุ่มหัวรุนแรงที่ต่อต้านรัฐบาลที่มีความสัมพันธ์กับทางการทหารของโคลอม เบีย
5.
ให้คำมั่นสัญญาที่โอนอ่อนมากเกินไปกับของนายจ้างและเจ้าที่ดิน เป็นการจำกัดการขยายตัวของการปฏิวัติ
ส่วนปัจจัยอื่นๆที่จะนำมาพิจารณา..ที่มีความสัมพันธ์กับสิ่งที่มีอยู่ก่อนแล้ว..คือการคอร์รัปชั่นโดยเจ้า
หน้าที่ของรัฐ
การใช้เครื่องมือที่ผิดกฎหมายของรัฐชนชั้นนายทุนมีบทบาทสำคัญต่อเรื่องนี้ด้วย ชนชั้นขุนนางใหม่และ”นักการอาชีพ” มองเห็นโอกาสในความเป็นไปได้ในการหาประโยชน์ส่วนตัว พวกเขาฝังตัวอยู่ในกลไกของรัฐทุกระดับ การดำรงอยู่ของลัทธิขุนนางและคอร์รัปชั่นยิ่งเป็นการเพิ่มเงื่อน
ไขของความผุพัง เป็นการทำลายจิตใจที่ปฏิวัติของมวลชน
ไม่ใช่เพียงแต่การดำรงชีวิตทางด้านวัตถุเท่านั้นที่เลวลง แต่ในด้านความรู้สึก ซึ่งสัมผัสได้ว่ารัฐบาลไม่ได้มีแผนที่ชัดเจนหรือมีประสิทธิภาพในการต่อสู้กับปัญหาเหล่านี้...นอกเหนือจากนี้ความรับผิดชอบของรัฐบาลก็เป็นแค่ตำรวจที่มีลักษณะขุนนาง..
บัญชาจากบนสู่ล่างโดยไม่ได้มีความจริงจังในการใช้อำนาจปฏิวัติและองค์กรจัดตั้งของมวลชน ดังนั้น..อย่างที่เราเห็น..ตัวอย่างเช่น..การปิดพรมแดน..การเลิกองค์กรปฏิบัติการเพื่อการปกป้องและการปลดปล่อยประชาชน..
การต่อสู้กับการกักตุนสินค้า ฯลฯ
เรื่องเช่นนี้..ไม่ได้หมายความว่าจิตสำนึกปฏิวัติของมวลชน
ชาวิสต้า (มวลชนที่สนับสนุน ปธน.ชาเวซ)จะเหือดหายไป ระหว่างเหตุการณ์ ”กัวริมบาส” [Guarimbas / การก่อจลาจลปิดถนนโดยกลุ่มต่อ ต้านการปฏิวัติ] เมื่อปี 2013 / 2014
และการยุยงปลุกปั่นของจักรวรรดิ์นิยมที่เริ่มขึ้นเมื่อปี
2015...ทำให้เราได้เห็นคลื่นลูกใหม่ของการปฏิวัติที่มีความเร่าร้อนของมวลชน..ที่เคลื่อนไหวและจัดตั้งกันขึ้นมาเพื่อปก
ป้องการปฏิวัติ พลังในการเคลื่อนไหวปฏิวัติของมวลชนเป็นรูปแบบพิเศษที่มีความสำคัญอย่างหนึ่งของการปฏิวัติโบลิวาเรียน แต่ทุกอย่างย่อมมีข้อจำกัดของมัน
รัฐบาลเองก็มีทัศนะแบบขุนนางต่อการเคลื่อนไหวของมวลชนแบบก๊อกน้ำที่จะเปิดจะปิดเมื่อไหร่ก็ได้
ยามต้องการ และยังถูกคุกคามด้วยการแบ่งขั้ว ..แต่ก็ยังไม่ได้ดำเนินการ
มีการเรียกร้องให้ตั้งกองกำลังของประชาชนและกรรมกรขึ้นแต่ก็ถูกยกเลิกไปกลางคัน ลัทธิขุนนางคือองค์ประกอบที่เลวร้ายที่สุดบนเส้นทางการเคลื่อนไหวปฏิวัติของมวลชน..พวกเขาไม่ต้องการมัน
การเลือกตั้งสมัชชาแห่งชาติ
ผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีครั้งล่าสุดเมื่อปี
2013 ซึ่งมีความกระชั้นมาก นิโคลาส์
มาดูโร ชนะเพียงเฉียดฉิว (แค่ 1%
ด้วยคะแนนที่ต่างกันเพียง 120,000 เสียง) การเลือกตั้งเกิดขึ้นหลังการอสัญกรรม ของประธานาธิบดี ฮูโก ชาเวซ เพียงไม่กี่วันซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่มีความหมายมาก การเลือกตั้งสมัชชาเมื่อปี 2010 ในขณะที่
ชาเวซ ยังมีชีวิตอยู่ก็มีผลต่างกันเพียงเล็กน้อย(ต่างกันไม่ถึง1%)
การเลือกตั้งเดือนธันวาคม 2015
มีปัจจัยเพิ่มขึ้นอีกจำนวนหนึ่งได้แก่
1. พลังอำนาจของการปฏิวัติของ
นิโคลาส์ มาดูโร มีไม่เท่ากับที่ ชาเวซ มี
2.
ในการเลือกตั้งสมัชชาแห่งชาติ
ไม่ใช่การลงคะแนนเสียงให้แก่ มาดูโร หากแต่เป็นสมาชิกสมัชชา
ซึ่งมีอำนาจทางการเมืองน้อยมาก
เนื่องจากหลายๆคนในบรรดาพวกเขาถูกมองว่าเป็นพวกขุนนาง คอร์รัปชั่น และ นักการอาชีพ
เป็นความชัดเจนที่รัฐบาลพยายามจะรุกเพื่อให้ได้รับชัยชนะในการเลือกตั้ง
เป็นตัวชี้ขาดต่อความอยู่รอดของตนเอง ปัญหาเกี่ยวกับองค์กร
ปฏิบัติการเพื่อการปกป้องและการปลดปล่อยประชาชน/ OPL และกรณีพิพาทพรมแดนกำลังมีความพยายามแก้ไขอยู่ ประกอบกับการทำให้ปัญหาทางอาชญากรรมลดน้อยลง..และปัญหาพรรค ปัญหาของความขาดแคลน มีความเป็นไปได้ว่าในอีกไม่กี่เดือนข้าง หน้า
การนำเข้าด้านหลักจะเป็นเรื่องเกี่ยวกับ
ภารกิจเพื่อสังคม(นโยบายด้านสังคม)
และเงินสำรองระหว่างประเทศจะถูกใช้อย่างครอบคลุมในการนำเข้าสินค้าสามัญที่มีหลักประกันการจัดส่ง
กระนั้นก็ตาม..อย่างที่เราได้เห็นมาแล้วในเบื้องต้น..การเคลื่อนไหวของการวางแผนทางเศรษฐกิจมี
ข้อจำกัดมาก...แม้มาตรการเหล่านี้ควรต้องทำในขณะนี้..แต่จะใช้จ่ายได้ก็ต่อเมื่อหลังการเลือกตั้ง
ยิ่งทำให้วิกฤติยังคงเลวร้ายต่อไปอีก
รัฐบาลจะต้องมีขั้นตอนในการเปิดโปงกลุ่มที่จ้องจะทำการรัฐประหารหรือผู้ที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์นี้ของฝ่ายตรงกันข้าม(เพื่อให้การทำรัฐประหารกระทำได้ยากขึ้น)..ด้วยการจับกุมบรรดาผู้นำคนสำคัญ..แทนการป้องปากตระโกน...เพื่อไม่ให้ชนชั้นนายทุนสามารถทำการเคลื่อนไหวได้โดยพื้นฐาน..โดยต้องรอให้ถึงกับระดับพวก
”กัวริมบาส” [ กลุ่มต่อต้านการปฏิวัติ] เมื่อปี 2014 ที่ประสบกับความพ่ายแพ้ครั้งนั้นและสิ้นหวัง
ฝ่ายต่อต้านการปฏิวัติๆได้แตกออกเป็นหลายส่วนในกรณีพิพาทนี้ทำให้เกิดความสิ้นหวังและอ่อนตัวลงจะอย่างไรก็ตาม..
การเลือกตั้งนี้ก็มีลักษณะชี้ขาดสำหรับบรรดานายทุนด้วย ด้วยชัยชนะเสียงข้างมากในสมัชชาทำให้พวกเขาเริ่มต้นเรียกร้องให้ทำประชามติเพื่อสกัดร่างกฎหมายต่างๆของรัฐบาล
เป็นที่แน่ชัดว่าพวกเขาพยายามเรียกพื้นที่คืน..ด้วยการรวมพลังทั้งมวลของพวกเขา..เพื่อตระเตรียมปัจจัยที่จำเป็นในการต่อสู้
ผลของมันขึ้นอยู่กับความสัมพันธ์ระหว่างระดับของการสนับสนุนในมวลหมู่
ชาวิสต้า และระดับการสนับสนุนของบรรดาพวกปฏิปักษ์ปฏิวัติ ซึ่งไม่สามารถบอกได้อย่างชัดเจนว่า ผู้คัดค้านรัฐบาลจะเอาชนะได้ในโอกาสเช่นนี้..หรืออย่างน้อยในขณะที่
ชาวิสต้า ส่วนข้างมากในสมัชชาจะลดจำนวนลง
ฝ่ายตรงกันข้ามได้จัดให้มีการเคลื่อนไหวขึ้น..ซึ่งดูเหมือนว่าจำนวนคะแนนเสียงในปี
2013 ชาวิสต้าสูญเสียคะแนนเสียงไป 1.5 % จากการไม่ไปใช้สิทธิ์
ซึ่งทำให้พ่ายแพ้
ทิศทางของวิธีการลงคะแนนเสียงมีการจัดระเบียบที่แตกต่างกันไปในแต่ละท้องถิ่นซึ่งก็น่าจะส่งผลให้เกิดสภาพการณ์ที่ฝ่ายตรงกันข้ามสามารถครองคะแนนเสียงส่วนใหญ่ไว้ได้ แต่ไม่สามารถได้เสียง
ข้างมากในสมัชชาแห่งชาติ
ภาพการณ์ภายหน้า..น่าจะมีการยกระดับและเตรียมพื้นฐานไว้สำหรับการรุกครั้งต่อไปซึ่งก็คือ
เรียกร้องให้มีการทำประชามติในการเลือกตั้งประธานาธิบดี
ความพ่ายแพ้บางส่วนหรือทั้งหมดในการเลือกตั้งสำหรับ
กลุ่มชาวิสต้า จะเป็นการเปิดประตูไปสู่การการเคลื่อนไหวในทุกๆส่วนงาน
ที่สำคัญที่สุดน่าจะเป็นส่วนของพวกขุนนางข้ารัฐการทั้งหลายจะถีบหัวเรือหนี..ไปหาฝ่ายตรงกันข้ามรัฐบาลในไม่ช้า เมื่อพวกเขาเห็นว่าผลประโยชน์ในภายภาคหน้าของตนถูกคุกคาม..การแพ้การเลือกตั้งจะมีผลกระทบต่อความเข้มแข็งของ
ชาวิสต้า ซึ่งจะเป็นการคัดสรร บรรดา ชาวิสต้า
ทั้งมวลให้หลุดออกจากพวก”นักการอาชีพ”*(ผู้ที่ให้ความสำคัญในอาชีพเหนือสิ่งอื่นใด)ทั้งหลาย จะเป็นการเผยให้เห็นการแตกหักอย่างรุนแรงในกลไกของรัฐ
ผู้บัญชาการเหล่าทัพที่ส่วนมากมีความภักดีนั้นก็จะเริ่มรักษาฐานกำลัง ตำแหน่งที่มีสิทธิพิเศษ และผลประโยชน์ส่วนตัวของตนเองเอาไว้
ท่ามกลางมวลชนของ ชาวิสต้า
ความพ่ายแพ้จะมีผลให้สูญเสียกำลังใจมากขึ้นไปอีก
เนื่องจากความจริงที่ว่ามันจะเกิดขึ้นในบริบทของความยากลำบากทางเศรษฐกิจ
ฯลฯ อย่างไรก็ดี.. เนื่องจากเป็นฝ่ายที่เคยมีเปรียบ.. อาจมีผลให้เกิดความรุนแรงจากความต้องการลงโทษนักปฏิรูปและข้ารัฐการขุนนาง อาจจะเกิดอะไรขึ้น..ตัวอย่างเช่น..การปฏิวัติในเสปนที่รัฐบาลผสมพรรคสาธรณรัฐนิยมและสัง
คมนิยมแพ้เลือกตั้ง
ตามมาด้วยความพ่ายแพ้ของการลุกขึ้นสู้ในเดือนธันวาคม 1934 ความพ่ายแพ้ครั้งนี้ได้สร้างผลสะเทือนต่อมวลชนหัวรุนแรงในองค์กรจัดตั้งของชาวสังคมนิยมเป็นอย่างมาก
โดย เฉพาะอย่างยิ่งต่อกลุ่มเยาวชน..ซึ่งต่อมาได้เตรียมขยายการปฏิวัติขึ้นอีกในปี
1936
ความพยายามที่จะทำลายผลพวงการปฏิวัติด้วยความเกลียดชังของพวกอภิสิทธิ์ชนนั้นรุนแรงมาก
.. ชัยชนะเพียงเล็กน้อยในการเลือกตั้งสมัชชาของ ชาวิสต้า เป็นเพียงการยืดเวลาออกไปเพียงเล็กน้อยเท่านั้น หัวใจสำคัญทางด้านเศรษฐกิจอย่างที่ได้กล่าวมาแล้วนั้นจำต้องได้รับการพัฒนาต่อไป..เตรียมพื้นที่ไว้
สำหรับการพ่ายแพ้การเลือกตั้งไม่ว่าจะเร็วหรือช้า
จะทำอะไรดี
สถานการณ์คับขันอย่างยิ่ง การใช้มาตรการแบบครึ่งๆกลางๆก็ดี การคอร์รัปชั่น ระบอบขุนนาง และลัทธิปฏิรูปก็ดี ล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งที่ทำลายการปฏิวัติ สิ่งเหล่านี้เป็นความรู้สึกที่แย่มากในหมู่ชนชั้นก้าวหน้า
พวกเขารับไม่ได้กับพวกขุนนางและนักปฏิรูปที่เป็นผู้รับผิดชอบต่อสถานการณ์เช่นนี้อย่างแท้จริง
การปฏิวัติจะสำเร็จได้ก็ด้วยการทำให้ปัจจัยการผลิตเป็นของชาติภายใต้การควบคุมของกรรมกร
และโดยการทำลายรัฐของชนชั้นนายทุนลงไปแล้วแทนที่ด้วยรัฐของชนชั้นกรรมกร
อุปสรรคที่สำคัญที่ต้องทำต่อไปไม่ได้อยู่ที่จิตสำนึกที่ก้าวหน้าของมวลชน แต่อยู่ที่นโยบายที่ไม่ถูกต้องของผู้นำของเรา
.......................................................................