Friday, July 29, 2016

เวเนซูเอลา..การปฏิวัติโบลิวาเรียน

การปฏิวัติโบลิวาเรียนบนทางแพร่ง และภาระหน้าที่ของชาวลัทธิมาร์กซ
โดย คอร์เรียนเต้  มาร์กซิสต้า  อองแตร์นาซิอองนาล แห่ง เวเนซูเอลลา   เดือน ตุลาคม 2015
 หมายเหตุ  :   ก่อนอ่านบทความนี้ใคร่ขอทำความเข้าใจในบางเรื่องเกี่ยวกับชื่อและความหมาย (ทางการเมือง) ของคำบางคำที่สำคัญซึ่งท่านผู้อ่านบางท่านไม่คุ้นเคย   โดยเฉพาะเรื่องราวการต่อสู้ของประชาชนในทวีปอเมริกาใต้    ซึ่งประชาชนชาวไทยไม่ค่อยจะได้รับรู้หรือศึกษาบทเรียนของเขาในแง่มุมต่างๆ    หรือแม้จะพอรับรู้ได้บ้างก็จากการติดตามข่าวสารจากสื่อต่างๆที่เป็นเสมือนการบอกเล่าเรื่องราวเท่านั้น    ขอให้เรามาทำความเข้าใจความหมายของคำเหล่านี้กันก่อน
ลัทธิโบลิวาเรียน   หมายถึงชุดความเชื่อซึ่งเป็นที่รู้จักและชื่นชอบกันมาอย่างต่อเนื่องในประเทศแถบ ลาตินอเมริกาโดยเฉพาะอย่างยิ่งในเวเนซูเอลลา  เป็นลักษณะพิเศษของการปฏิวัติในทวีปอเมริกาใต้   มาจากชื่อของ ซีโมน โบลิวาร์  นายพลชาวเวเนซูเอลลา    ผู้นำในการทำสงครามปลดปล่อยกลุ่มประ เทศที่เป็นเมืองขึ้นของเสปนในทวีปอเมริกาใต้ในศตวรรษที่ 19  จาก   อีคัวดอร์   เปรู     โบลิเวีย    โค  ลอมเบีย  ปานามา  เวเนซูเอลลา การต่อสู้เพื่อเอกราชของท่านเป็นแบบอย่างและมีอิทธิพลไปทั่วทวีป     
ลัทธิชาวิส  ((Chavism  หรือชาวิสโม chavismo)ในภาษาเสปน   คืออุดมการณ์ทางการเมืองฝ่ายซ้าย ที่เติบโตขึ้นจนกระทั่งกลายเป็นลัทธิความเชื่อ   บนพื้นฐานความคิดทางด้านนโยบายและการเข้ามีส่วนร่วมในรัฐบาลของประธานาธิบดี ฮูโก ชาเวช ของเวเนซูเอลลาผู้ล่วงลับที่รวบรวมปัจจัยต่างๆของลัทธิสังคมนิยมปีกซ้าย  ลัทธิประชานิยม  ลัทธิรักชาติ   ลัทธิสากลนิยม   ลัทธิโบลิวาเรียน  ลัทธิสตรีนิยม(feminismการเมืองสีเขียว   เพื่อผนึกกำลังของประเทศแถบคาริบเบียนและลาตินอเมริการเข้าด้วย กัน  ผู้สนับสนุน ประธานาธิบดี ฮูโก ชาเวช อย่างแข็งขันหรือพวก ชาวิสโม รู้จักกันในนาม ชาวิสต้าส์
พรรคการเมืองหลายพรรคในเวเนซูเอลลาสนับสนุนพวก ชาวิสโม    พรรคการเมืองสำคัญที่ก่อตั้งและนำโดย ชาเวช  คือ พรรคสหสังคมนิยมแห่งเวเนซูเอลา (the United Socialist Party of Venezuela)และใช้อักษรย่อว่า  PSUV  ( Partido Socialista Unido de Venezuela )
นโยบายหลักของ ชาวิสโม ประกอบด้วย  การสร้างชาติ  นโยบายสวัสดิการสังคม  ต่อต้านลัทธิเสรีนิยมใหม่ (โดยเฉพาะอย่างยิ่งนโยบายของไอ เอ็ม เอฟ และธนาคารโลก)  ชาเวชเห็นด้วยกับระบอบสังคมนิยมแบบเวเนซูเอลลา  โดยการยอมรับกรรมสิทธิ์ส่วนบุคคล    แต่ก็แสวงหาและส่งเสริมกรรม สิทธิ์ของสังคมด้วย  
 ผู้แปล
……………………………………………
เอกสารชิ้นนี้เป็นฉบับต้นร่าง  ที่ได้ผ่านการโต้แย้งอภิปรายและตรวจสอบโดยบรรดาสมาชิกมาตั้งแต่เดือน ตุลาคม 2015 แล้ว   แม้ว่าจะผ่านมาเป็นเดือนแล้วแต่ก็ยังใช้ได้อยู่     มันสะท้อนถึงความเข้าใจที่ถูกต้องต่อภาพที่เกิดขึ้น     และแสดงให้เห็นว่าคำเตือนของเราได้รับการยืนยันในการเผชิญหน้ากับภัยคุกคามที่ร้ายแรงจากพวกปฏิปักษ์ปฏิวัติ      เราเชื่อว่าเอกสารนี้จะเป็นประหนึ่งเครื่องมือในการแลกเปลี่ยนอภิปรายเพื่อพัฒนาการเคลื่อนไหวของขบวนการ เชวิสต้า อย่างทั่วด้าน     ก่อนวันเลือกตั้งสมัชชาแห่งชาติในวันที่ 6 ธันวาคมนี้ การปฏิวัติโบลิวาเรียนต้องเผชิญกับสถานการณ์ที่ยากลำบากยิ่งกว่าช่วงสมัยที่ ฮูโก ชาเวช ก้าวขึ้นสู่อำนาจในปี 1998
ปัจจัยต่างๆที่รุมเร้าเข้ามาทำให้ยิ่งย่ำแย่ลง  สิ่งที่สำคัญมากได้แก่ปัจจัยเหล่านี้
1.สถานการณ์ด้านเศรษฐกิจโลกและโดยเฉพาะอย่างยิ่งเศรษฐกิจจีนมีการชะลอตัวลงอย่างรุนแรง
2. ราคาน้ำมันตกต่ำอย่างต่อเนื่อง
3. ภาวะเงินเฟ้อสูงขึ้นอย่างรุนแรงและเกิดความขาดแคลน
4. การแพร่ระบาดของการคอร์รัปชั่น
5. ระบอบขุนนางมะเร็งร้ายของการปฏิวัติ
ปัจจัยเหล่านี้ต่างมีความสัมพันธ์และอาศัยซึ่งกันและกัน   ผลหลักๆที่ตามมาก็คือ การไม่ยอมเข้าร่วม ความเฉื่อยเนือย  และลัทธิเหตุผลนิยม  ของมวลหมู่กรรมกรและมวลชนที่ยากไร้ที่เป็นเครื่องยนต์ของการปฏิวัติ   และคนอื่นๆที่เฝ้าแต่ระมัดระวังตัวในช่วงเวลาสำคัญเช่นนี้
สถานการณ์ด้านเศรษฐกิจของโลก
ในมุมของสถานการณ์ทางสากล...การชะลอตัวของเศรษฐกิจจีน  ได้ส่งผลกระทบต่อบรรดาประเทศผู้ส่งออกพลังงานหลายประเทศ    และในขณะเดียวกันก็มีการจำกัดเงินช่วยเหลือที่จีนเคยให้แก่รัฐบาลเวเนซูเอลลาด้วย
ราคาน้ำมันที่ลดลงอย่างรุนแรงทำให้รายได้ของรัฐ..และความรุดหน้าในแง่ของนโยบายพิเศษทางสังคมและการลงทุนของรัฐก็ถูกจำกัดลงด้วย   ปี 2014 น้ำมันของเวเนซูเอลลามีราคาเฉลี่ยอยู่ที่ 88ดอลลาร์ ต่อบาร์เรล    ปี 2015 มีราคาเหลือแค่ 44 ดอลลาร์   ในเดือนกันยายนปีเดียวกันลดลงต่ำสุดที่ 40 ดอลลาร์  สิ่งนี้ทำให้การสำรองน้ำมันในระดับสากลและรายได้จากภาษีของรัฐต้องลดลงด้วย
ปัจจัยทั้งสองนี้..ในทางกลับกันก็เป็นส่วนหนึ่งและผลของวิกฤตระหว่างประเทศของระบอบทุนนิยม     ซึ่งไม่สามารถหยัดยืนอย่างมั่นคงด้วยตัวมันเองจากวิกฤตที่เริ่มขึ้นเมื่อปี 2007..ประกอบกับเศรษฐกิจของจีนที่ลดลงก็เป็นชนวนให้เกิดการชะลอตัวไปทั่วโลก
เศรษฐกิจของเวเนซูเอลลา :  ความล้มเหลวในระบบการควบคุม..เงินเฟ้อ   และการพังทลายทางเศรษฐกิจ   การเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศหดตัวลงร้อยละ 4  ในปีที่ผ่านมา(20014)..อาจจะลดลงอีกเท่าตัวในปีนี้
อัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นและความขาดแคลนอย่างหนักสะท้อนถึงความล้มเหลวในด้านนโยบายที่พยา ยามจะควบคุมระบบทุนนิยม  และความไม่สมดุลอย่างมหาศาลที่มันได้ก่อขึ้น   การประเมินอัตราเงินเฟ้อ อยู่ที่ 68% ในปีที่แล้ว..และคงจะเพิ่มขึ้นอีกเท่าตัวในปีนี้     การควบคุมราคาสินค้านำไปสู่การตั้งใจทำ ลายการผลิตอาหารและสินค้าพื้นฐานอื่นๆโดยภาคเอกชน..เช่นเดียวกับการกักตุนสินค้า เพื่อดันราคาให้สูงขึ้นไปในตลาดมืด   ความพยายามโดยรัฐในการประกันราคาสินค้าพื้นฐานในราคาที่ประชาชนสามารถซื้อหาได้ทำให้เกิดรอยรั่วขนาดใหญ่ขึ้นกับเงินสำรองของประเทศ
รัฐจำต้องจัดซื้อสินค้าในตลาดระหว่างประเทศที่ชำระราคาด้วยเงินตราต่างประเทศและกระจายสินค้าเหล่านี้ผ่านห่วงโซ่ราคาแบบให้ความช่วยเหลือ   ความขาดแคลนสินค้าอุปโภคบริโภคเป็นเหตุผลที่สำคัญมากอย่างหนึ่ง  ทำให้เกิดและดำรงอยู่ของตลาดมืดและ “บาชากีโอ” (การค้าผิดกฎหมาย...สิน   ค้าเถื่อนหนีภาษี  และธุรกรรมตลาดมืด)  ความแตกต่างระหว่างราคาปกติของสินค้าและราคาในตลาดมืด เป็นต้นเหตุของการคอร์รัปชั่นในทุกๆระดับและก็เช่นเดียวกันกับที่เกิดขึ้นกับการควบคุมอัตราแลก เปลี่ยน   อัตราแลกเปลี่ยนในตลาดมืดคือ187 โบลิวาร์ : 1 ดอลลาร์สหรัฐ  เมื่อต้นปี 2015  และตกไปถึง 800 โบลิวาร์ ต่อ 1ดอลลาร์สหรัฐฯในวันที่ 1 ตุลาคม   อัตราแลกเปลี่ยนอย่างเป็นทางการจากอยู่ที่ 176 โบลิวาร์ในเดือนกุมภาพันธ์ 2015  เพิ่มขึ้นเป็น 200 โบลิวาร์ / 1 ดอลลาร์สหรัฐฯ ในเดือนตุลาคม
โดยที่ไม่ได้มีการป้องกันการไหลออกของเงินทุน     การควบคุมอัตราแลกเปลี่ยนหมายถึงการถ่ายโอนเงินดอลลาร์จากภาษีน้ำมันไปยังบรรดานายทุนอย่างต่อเนื่องโดยกลไกทั้งที่ถูกและผิดกฎหมาย และการคอร์รัปชั่น      ยิ่งไปกว่านั้นการควบคุมการแลกเปลี่ยนถูกบิดเบือนโดยปัจจัยต่างๆจากระบบการผลิตทั้งหมดด้วยการส่งเสริมการนำเข้าผลิตภัณฑ์สำเร็จรูป ซึ่งเป็นการบีบคั้นซ้ำเติมการผลิตภาย ในประเทศ    เพื่อให้ผลประโยชน์เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องด้วยการใช้เครื่องมือทั้งที่ถูกและผิดกฎหมายมาหาผลประโยชน์จากอัตราแลกเปลี่ยนมากกว่าที่จะลงทุนในผลิตภัณฑ์       อัตราการลงทุนจึงลดลงจาก 27 % เหลือเพียง 16 % ของรายได้ประชาชาติ   ดังนั้นจึงเกิดการหดตัวทางเศรษฐกิจบวกกับเงินเฟ้ออย่างรุนแรง
การเพิ่มขึ้นของ ค่าใช้จ่ายในทางสังคม บวกกับรายได้จากน้ำมันที่ลดลง และการอ่อนตัวทางเศรษฐกิจ นำไปสู่การขาดดุลงบประมาณถึง 14 % ของรายได้ประชาชาติในปี 2014 และคงไม่อาจหยุดลงได้  ในปี 2015 อัตราการขาดดุลน่าจะอยู่ที่ 20 % ของรายได้ประชาชาติ
หลังจากเข้าไปควบคุมบริษัทน้ำมันแห่งชาติ (PDVSA / Petróleos de Venezuela, S.A.)เมื่อปี 2003 แล้ว   การปฏิวัติโบลิวาเรียนได้สร้างหลักประกันในชีวิตความเป็นอยู่ที่สำคัญๆของมวลชนในหลายๆด้าน  สำหรับช่วงเวลาทั้งหมดมีความเป็นไปได้ที่จะรักษาไว้และพัฒนาความเจริญได้โดยใช้รายได้จากภาษีน้ำมัน  โดยไม่ได้คำนึงถึงปัจจัยการผลิตจากทรัพย์สินของภาคเอกชน    ปัจจัยต่างๆเมื่อก่อนนี้มีความเป็นไปได้ที่จะดำรงอยู่ได้ไม่นาน  (โดยเฉพาะราคาน้ำมันที่สูง)
รัฐบาลตระหนักถึงวิธีการควบคุมระบบทุนนิยม   และนำภาษีจากน้ำมันมาใช้จ่ายทางด้านสังคมจนหมดสิ้น     สามารถกล่าวได้ว่าการจากไปของรัฐมนตรี จิโอดานี เมื่อเดือน มิถุนายน 2014 มันเป็นจุดพลิกผัน    การกำหนดนโยบายของรัฐบาลเปลี่ยนไป   ด้วยการอ่อนข้อให้นายทุนโดยยกเลิกการควบคุมรา คาสินค้าบางชนิดอย่างค่อยเป็นค่อยไปและการควบคุมการแลกเปลี่ยน      สิ่งเหล่านี้จะสามารถดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศด้วยการสร้างเขตเศรษฐกิจพิเศษ     เป็นความพยายามส่งเสริมให้เงินทุนที่ไหลออกของประเทศไหลกลับคืนมาอย่างที่ได้อธิบายไปแล้ว..นโยบายนี้ประสบความล้มเหลว    ใน ทางประวัติศาสตร์..โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ชนชั้นนายทุนเวเนซูเอลานั้นคือเหล่ากาฝากโดยธรรมชาติที่มีรายได้จากค่าเช่า   พวกเขาไม่มีความต้องการที่จะลงทุนด้วยเหตุผลหลายประการ
1.พวกเขาไม่เชื่อว่า จะได้รับผลตอบแทนที่ "เพียงพอ" ที่พวกเขารู้สึกว่ามันเป็นกำไร
2. พวกเขารู้สึกว่า ไม่มีความเชื่อมั่นในด้านกฎหมายการลงทุนว่าจะเป็นหลักประกันได้หรือไม่   ว่าจะไม่มีการปฏิวัติในเวเนซูเอลาอีก
แรงกระทบต่อจิตสำนึก
ปัจจัยต่างๆที่ได้อธิบายมาแล้ว เป็นผลกระทบที่สำคัญต่อจิตสำนึกของมวลชน   หลังจากที่ในปีต่อๆ มาชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนก็ได้รับการพัฒนาอย่าต่อเนื่อง     ถือได้ว่าเป็นผลสัมฤทธิ์ของการปฏิวัติอย่างชัดเจน  แต่สถานการณ์บางอย่างกลับถดถอยลง    แนวโน้มที่จะกลับไปสู่ความยากลำบากเพิ่มมากขึ้นจากความขาดแคลนและอัตราเงินเฟ้อซึ่งมากกว่าผลพวงที่ได้รับจากการปฏิวัติ   รวมทั้งอาชญากรรมที่เพิ่มสูงขึ้น..เนื่องมาจากปัจจัยหลายประการ..ที่สำคัญได้แก่
1. ความล้มเหลวในบรรดาเครื่องมือต่างๆของรัฐแบบเก่าของชนชั้นนายทุนที่ได้สูญเสียอำนาจของมันไป..แต่กลับไม่ได้รับการทดแทนโดยเครื่องมือแบบใหม่ที่เป็นไปตามกฎหมายของรัฐปฏิวัติในสายตาของมวลชน
2. อาชญากรรมทางด้านเศรษฐกิจมีส่วนเกี่ยวข้องและสัมพันธ์กับตลาดมืด
3. องค์กรอาชญากรรมมีเงื่อนไขในการเจาะเข้าไปได้ง่ายในตลาดมืด
4. สายสัมพันธ์ระหว่าง กลุ่มหัวรุนแรงที่ต่อต้านรัฐบาลที่มีความสัมพันธ์กับทางการทหารของโคลอม เบีย
5. ให้คำมั่นสัญญาที่โอนอ่อนมากเกินไปกับของนายจ้างและเจ้าที่ดิน   เป็นการจำกัดการขยายตัวของการปฏิวัติ
ส่วนปัจจัยอื่นๆที่จะนำมาพิจารณา..ที่มีความสัมพันธ์กับสิ่งที่มีอยู่ก่อนแล้ว..คือการคอร์รัปชั่นโดยเจ้า หน้าที่ของรัฐ    การใช้เครื่องมือที่ผิดกฎหมายของรัฐชนชั้นนายทุนมีบทบาทสำคัญต่อเรื่องนี้ด้วย  ชนชั้นขุนนางใหม่และ”นักการอาชีพ” มองเห็นโอกาสในความเป็นไปได้ในการหาประโยชน์ส่วนตัว   พวกเขาฝังตัวอยู่ในกลไกของรัฐทุกระดับ   การดำรงอยู่ของลัทธิขุนนางและคอร์รัปชั่นยิ่งเป็นการเพิ่มเงื่อน ไขของความผุพัง    เป็นการทำลายจิตใจที่ปฏิวัติของมวลชน
ไม่ใช่เพียงแต่การดำรงชีวิตทางด้านวัตถุเท่านั้นที่เลวลง    แต่ในด้านความรู้สึก ซึ่งสัมผัสได้ว่ารัฐบาลไม่ได้มีแผนที่ชัดเจนหรือมีประสิทธิภาพในการต่อสู้กับปัญหาเหล่านี้...นอกเหนือจากนี้ความรับผิดชอบของรัฐบาลก็เป็นแค่ตำรวจที่มีลักษณะขุนนาง.. บัญชาจากบนสู่ล่างโดยไม่ได้มีความจริงจังในการใช้อำนาจปฏิวัติและองค์กรจัดตั้งของมวลชน     ดังนั้น..อย่างที่เราเห็น..ตัวอย่างเช่น..การปิดพรมแดน..การเลิกองค์กรปฏิบัติการเพื่อการปกป้องและการปลดปล่อยประชาชน.. การต่อสู้กับการกักตุนสินค้า ฯลฯ
เรื่องเช่นนี้..ไม่ได้หมายความว่าจิตสำนึกปฏิวัติของมวลชน ชาวิสต้า (มวลชนที่สนับสนุน ปธน.ชาเวซ)จะเหือดหายไป    ระหว่างเหตุการณ์ ”กัวริมบาส”  [Guarimbas / การก่อจลาจลปิดถนนโดยกลุ่มต่อ ต้านการปฏิวัติ]  เมื่อปี 2013 / 2014 และการยุยงปลุกปั่นของจักรวรรดิ์นิยมที่เริ่มขึ้นเมื่อปี 2015...ทำให้เราได้เห็นคลื่นลูกใหม่ของการปฏิวัติที่มีความเร่าร้อนของมวลชน..ที่เคลื่อนไหวและจัดตั้งกันขึ้นมาเพื่อปก ป้องการปฏิวัติ      พลังในการเคลื่อนไหวปฏิวัติของมวลชนเป็นรูปแบบพิเศษที่มีความสำคัญอย่างหนึ่งของการปฏิวัติโบลิวาเรียน   แต่ทุกอย่างย่อมมีข้อจำกัดของมัน 
รัฐบาลเองก็มีทัศนะแบบขุนนางต่อการเคลื่อนไหวของมวลชนแบบก๊อกน้ำที่จะเปิดจะปิดเมื่อไหร่ก็ได้  ยามต้องการ     และยังถูกคุกคามด้วยการแบ่งขั้ว ..แต่ก็ยังไม่ได้ดำเนินการ  มีการเรียกร้องให้ตั้งกองกำลังของประชาชนและกรรมกรขึ้นแต่ก็ถูกยกเลิกไปกลางคัน    ลัทธิขุนนางคือองค์ประกอบที่เลวร้ายที่สุดบนเส้นทางการเคลื่อนไหวปฏิวัติของมวลชน..พวกเขาไม่ต้องการมัน
การเลือกตั้งสมัชชาแห่งชาติ
ผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีครั้งล่าสุดเมื่อปี 2013 ซึ่งมีความกระชั้นมาก นิโคลาส์  มาดูโร ชนะเพียงเฉียดฉิว (แค่ 1% ด้วยคะแนนที่ต่างกันเพียง 120,000 เสียง)   การเลือกตั้งเกิดขึ้นหลังการอสัญกรรม  ของประธานาธิบดี ฮูโก ชาเวซ เพียงไม่กี่วันซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่มีความหมายมาก    การเลือกตั้งสมัชชาเมื่อปี 2010 ในขณะที่ ชาเวซ ยังมีชีวิตอยู่ก็มีผลต่างกันเพียงเล็กน้อย(ต่างกันไม่ถึง1%)
การเลือกตั้งเดือนธันวาคม 2015 มีปัจจัยเพิ่มขึ้นอีกจำนวนหนึ่งได้แก่
1. พลังอำนาจของการปฏิวัติของ นิโคลาส์ มาดูโร  มีไม่เท่ากับที่ ชาเวซ มี
2. ในการเลือกตั้งสมัชชาแห่งชาติ   ไม่ใช่การลงคะแนนเสียงให้แก่ มาดูโร หากแต่เป็นสมาชิกสมัชชา ซึ่งมีอำนาจทางการเมืองน้อยมาก     เนื่องจากหลายๆคนในบรรดาพวกเขาถูกมองว่าเป็นพวกขุนนาง  คอร์รัปชั่น และ นักการอาชีพ
เป็นความชัดเจนที่รัฐบาลพยายามจะรุกเพื่อให้ได้รับชัยชนะในการเลือกตั้ง เป็นตัวชี้ขาดต่อความอยู่รอดของตนเอง   ปัญหาเกี่ยวกับองค์กร ปฏิบัติการเพื่อการปกป้องและการปลดปล่อยประชาชน/ OPL และกรณีพิพาทพรมแดนกำลังมีความพยายามแก้ไขอยู่  ประกอบกับการทำให้ปัญหาทางอาชญากรรมลดน้อยลง..และปัญหาพรรค   ปัญหาของความขาดแคลน    มีความเป็นไปได้ว่าในอีกไม่กี่เดือนข้าง หน้า  การนำเข้าด้านหลักจะเป็นเรื่องเกี่ยวกับ ภารกิจเพื่อสังคม(นโยบายด้านสังคม)  และเงินสำรองระหว่างประเทศจะถูกใช้อย่างครอบคลุมในการนำเข้าสินค้าสามัญที่มีหลักประกันการจัดส่ง
กระนั้นก็ตาม..อย่างที่เราได้เห็นมาแล้วในเบื้องต้น..การเคลื่อนไหวของการวางแผนทางเศรษฐกิจมี ข้อจำกัดมาก...แม้มาตรการเหล่านี้ควรต้องทำในขณะนี้..แต่จะใช้จ่ายได้ก็ต่อเมื่อหลังการเลือกตั้ง  ยิ่งทำให้วิกฤติยังคงเลวร้ายต่อไปอีก
รัฐบาลจะต้องมีขั้นตอนในการเปิดโปงกลุ่มที่จ้องจะทำการรัฐประหารหรือผู้ที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์นี้ของฝ่ายตรงกันข้าม(เพื่อให้การทำรัฐประหารกระทำได้ยากขึ้น)..ด้วยการจับกุมบรรดาผู้นำคนสำคัญ..แทนการป้องปากตระโกน...เพื่อไม่ให้ชนชั้นนายทุนสามารถทำการเคลื่อนไหวได้โดยพื้นฐาน..โดยต้องรอให้ถึงกับระดับพวก ”กัวริมบาส” [ กลุ่มต่อต้านการปฏิวัติ]  เมื่อปี 2014   ที่ประสบกับความพ่ายแพ้ครั้งนั้นและสิ้นหวัง
ฝ่ายต่อต้านการปฏิวัติๆได้แตกออกเป็นหลายส่วนในกรณีพิพาทนี้ทำให้เกิดความสิ้นหวังและอ่อนตัวลงจะอย่างไรก็ตาม..  การเลือกตั้งนี้ก็มีลักษณะชี้ขาดสำหรับบรรดานายทุนด้วย    ด้วยชัยชนะเสียงข้างมากในสมัชชาทำให้พวกเขาเริ่มต้นเรียกร้องให้ทำประชามติเพื่อสกัดร่างกฎหมายต่างๆของรัฐบาล เป็นที่แน่ชัดว่าพวกเขาพยายามเรียกพื้นที่คืน..ด้วยการรวมพลังทั้งมวลของพวกเขา..เพื่อตระเตรียมปัจจัยที่จำเป็นในการต่อสู้
ผลของมันขึ้นอยู่กับความสัมพันธ์ระหว่างระดับของการสนับสนุนในมวลหมู่ ชาวิสต้า และระดับการสนับสนุนของบรรดาพวกปฏิปักษ์ปฏิวัติ    ซึ่งไม่สามารถบอกได้อย่างชัดเจนว่า  ผู้คัดค้านรัฐบาลจะเอาชนะได้ในโอกาสเช่นนี้..หรืออย่างน้อยในขณะที่ ชาวิสต้า ส่วนข้างมากในสมัชชาจะลดจำนวนลง   ฝ่ายตรงกันข้ามได้จัดให้มีการเคลื่อนไหวขึ้น..ซึ่งดูเหมือนว่าจำนวนคะแนนเสียงในปี 2013   ชาวิสต้าสูญเสียคะแนนเสียงไป 1.5 %  จากการไม่ไปใช้สิทธิ์ ซึ่งทำให้พ่ายแพ้
ทิศทางของวิธีการลงคะแนนเสียงมีการจัดระเบียบที่แตกต่างกันไปในแต่ละท้องถิ่นซึ่งก็น่าจะส่งผลให้เกิดสภาพการณ์ที่ฝ่ายตรงกันข้ามสามารถครองคะแนนเสียงส่วนใหญ่ไว้ได้    แต่ไม่สามารถได้เสียง ข้างมากในสมัชชาแห่งชาติ      ภาพการณ์ภายหน้า..น่าจะมีการยกระดับและเตรียมพื้นฐานไว้สำหรับการรุกครั้งต่อไปซึ่งก็คือ  เรียกร้องให้มีการทำประชามติในการเลือกตั้งประธานาธิบดี   
ความพ่ายแพ้บางส่วนหรือทั้งหมดในการเลือกตั้งสำหรับ กลุ่มชาวิสต้า   จะเป็นการเปิดประตูไปสู่การการเคลื่อนไหวในทุกๆส่วนงาน     ที่สำคัญที่สุดน่าจะเป็นส่วนของพวกขุนนางข้ารัฐการทั้งหลายจะถีบหัวเรือหนี..ไปหาฝ่ายตรงกันข้ามรัฐบาลในไม่ช้า  เมื่อพวกเขาเห็นว่าผลประโยชน์ในภายภาคหน้าของตนถูกคุกคาม..การแพ้การเลือกตั้งจะมีผลกระทบต่อความเข้มแข็งของ ชาวิสต้า ซึ่งจะเป็นการคัดสรร บรรดา  ชาวิสต้า ทั้งมวลให้หลุดออกจากพวก”นักการอาชีพ”*(ผู้ที่ให้ความสำคัญในอาชีพเหนือสิ่งอื่นใด)ทั้งหลาย     จะเป็นการเผยให้เห็นการแตกหักอย่างรุนแรงในกลไกของรัฐ     ผู้บัญชาการเหล่าทัพที่ส่วนมากมีความภักดีนั้นก็จะเริ่มรักษาฐานกำลัง  ตำแหน่งที่มีสิทธิพิเศษ  และผลประโยชน์ส่วนตัวของตนเองเอาไว้
ท่ามกลางมวลชนของ ชาวิสต้า ความพ่ายแพ้จะมีผลให้สูญเสียกำลังใจมากขึ้นไปอีก  เนื่องจากความจริงที่ว่ามันจะเกิดขึ้นในบริบทของความยากลำบากทางเศรษฐกิจ ฯลฯ   อย่างไรก็ดี..  เนื่องจากเป็นฝ่ายที่เคยมีเปรียบ.. อาจมีผลให้เกิดความรุนแรงจากความต้องการลงโทษนักปฏิรูปและข้ารัฐการขุนนาง    อาจจะเกิดอะไรขึ้น..ตัวอย่างเช่น..การปฏิวัติในเสปนที่รัฐบาลผสมพรรคสาธรณรัฐนิยมและสัง คมนิยมแพ้เลือกตั้ง  ตามมาด้วยความพ่ายแพ้ของการลุกขึ้นสู้ในเดือนธันวาคม 1934  ความพ่ายแพ้ครั้งนี้ได้สร้างผลสะเทือนต่อมวลชนหัวรุนแรงในองค์กรจัดตั้งของชาวสังคมนิยมเป็นอย่างมาก โดย เฉพาะอย่างยิ่งต่อกลุ่มเยาวชน..ซึ่งต่อมาได้เตรียมขยายการปฏิวัติขึ้นอีกในปี 1936
ความพยายามที่จะทำลายผลพวงการปฏิวัติด้วยความเกลียดชังของพวกอภิสิทธิ์ชนนั้นรุนแรงมาก .. ชัยชนะเพียงเล็กน้อยในการเลือกตั้งสมัชชาของ ชาวิสต้า เป็นเพียงการยืดเวลาออกไปเพียงเล็กน้อยเท่านั้น     หัวใจสำคัญทางด้านเศรษฐกิจอย่างที่ได้กล่าวมาแล้วนั้นจำต้องได้รับการพัฒนาต่อไป..เตรียมพื้นที่ไว้   สำหรับการพ่ายแพ้การเลือกตั้งไม่ว่าจะเร็วหรือช้า

จะทำอะไรดี

สถานการณ์คับขันอย่างยิ่ง   การใช้มาตรการแบบครึ่งๆกลางๆก็ดี   การคอร์รัปชั่น  ระบอบขุนนาง  และลัทธิปฏิรูปก็ดี  ล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งที่ทำลายการปฏิวัติ      สิ่งเหล่านี้เป็นความรู้สึกที่แย่มากในหมู่ชนชั้นก้าวหน้า    พวกเขารับไม่ได้กับพวกขุนนางและนักปฏิรูปที่เป็นผู้รับผิดชอบต่อสถานการณ์เช่นนี้อย่างแท้จริง
การปฏิวัติจะสำเร็จได้ก็ด้วยการทำให้ปัจจัยการผลิตเป็นของชาติภายใต้การควบคุมของกรรมกร  และโดยการทำลายรัฐของชนชั้นนายทุนลงไปแล้วแทนที่ด้วยรัฐของชนชั้นกรรมกร    อุปสรรคที่สำคัญที่ต้องทำต่อไปไม่ได้อยู่ที่จิตสำนึกที่ก้าวหน้าของมวลชน   แต่อยู่ที่นโยบายที่ไม่ถูกต้องของผู้นำของเรา
                  .......................................................................




No comments:

Post a Comment