บทบาทของสหรัฐอเมริกา
ต่อการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในโลกจากอดีตถึงปัจจุบัน
ต่อการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในโลกจากอดีตถึงปัจจุบัน
สหรัฐอเมริกาเป็นประเทศที่เกิดใหม่ ประชาชนรุ่นแรกๆนั้นส่วนใหญ่เป็นชาวอังกฤษที่อพยหลบหนีพ
จากความขัดแย้งและการกดขี่ไปยังในโลกใหม่ ที่ยอมรับกันอย่างเป็นทางการในหน้าปวศ. สหรัฐก็คือผู้อพยพส่วนใหญ่ได้แก่ผู้นับถือศาสนาคริสต์นิกายโปรแตสแต้นท์
ที่ เรียกตนเองว่าเป็นพวกพิวริแทน มีทั้งนักการเมือง นักการศาสนา
ปัญญาชนและครอบครัวเพื่อไปแสวงหาเสรีภาพยังดินแดนใหม่ โดยเรือเมย์ ฟลาวเวอร์ ได้ออกจากท่าเรือ เซาท์แธมตันเมื่อปี 1622 มีชาวยุโรปอพยพตามไปอีกหลายระลอกจนกระทั่งก่อตั้งและขยายชุมชนออกไปเป็นหลายรัฐ
แต่ก็ยังมีสภาพเป็นพลเมืองในอาณานิคมของอังกฤษอยู่โดยต้องเสียภาษีให้แก่กษัตริย์อังกฤษ
เมื่อถูกกดขี่หนักขึ้นจึงดิ้นรนเพื่อเป็นอิสระ ในที่สุดก็ทำสงครามประกาศอิสระภาพจากอังกฤษตั้งแต่ปี
1775 และได้รับชัยชนะเมื่อปี
1783
จากการช่วยเหลือของฝรั่งเศส
หลังสงครามนโปเลียน (1808 - 1815) มหาอำนาจยุโรปสมัยนั้นมี
ออสเตรีย ปรัสเซีย
รัสเซีย ได้มีการประชุมกันที่กรุงเวียนนาเพื่อจัดระเบียบยุโรปเสียใหม่
มีหลายประเทศที่เคยอยู่ใต้จักรวรรดิฝรั่งเศสได้ประกาศเอกราช มีการรื้อฟื้นระบอบกษัตริย์ขึ้นในยุโรปโดยสนับสนุนราชวงศ์บูร์บอง
ให้เป็นผู้ปกครองเสปนและอาณานิคมของเสปน
เพราะก่อนหน้านั้น นโปเลียนได้แต่งตั้งน้องชายของตนเป็นกษัตริย์แห่งเสปน และอีกหลายๆแห่งในยุโรป
เจมส์
มอนโร (1817 -1825)...ประธานาธิบดีคนที่
5 พรรคเดโมแครต-รีพับลิกัน เกรงว่ามหาอำนาจยุโรปจะดำเนินการล่าอาณานิคมในทวีปอเมริกาต่อไปอีก จึงได้ออกประกาศกฎบัตรที่เรียกว่า มอนโร
ดอคทรีน มีสาระสำคัญว่าอเมริกาไม่ต้องการให้มหาอำนาจยุโรปล่าอาณานิคมในทวีปอเมริกาเหนือและใต้อีกต่อไป
แต่ก็เคารพในสิทธิการครอบครองอาณานิคมเดิมของมหาอำนาจทั้งหลาย อเมริกาจะไม่เข้าไปเกี่ยวข้องกับกรณีพิพาททั้งปวงของมหาอำนาจยุโรป
สหรัฐเป็นประเทศที่เกิดขึ้นในยุคทุนนิยมที่กำลังเฟื่องฟู ไม่เคยผ่านสังคมศักดินามาก่อนและเป็นประเทศที่ไม่มีอาณานิคม นอกจากประกาศอิสระภาพและสงครามกลางเมืองในสมัย
ป.ลินคอล์นแล้วก็ไม่เคยได้รับภัยพิบัติจากสงครามภายในอีกเลยดังนั้นการพัฒนาด้านต่างๆจึงไม่มีการหยุดชะงัก เศรษฐกิจทุนนิยมจึงสามารถเจริญรุ่งเรืองขึ้นเหนือประเทศอื่นๆ
ด้วยกฎบัตรมอนโรอเมริกาได้ใช้นโยบายนี้เบียดขับเสปนมหาอำนาจเดิมซึ่งขณะนั้นอ่อนแอลงมากโดยเข้าแทรกแซงช่วยช่วยเหลือขบวนการกู้เอกราชคิวบาจนเกิดสงครามกัน(1895) เสปนแพ้ จำต้องยกคิวบา(ได้เอกราชเมื่อปี
1902) เปอร์โตริโก กวม ฟิลิปปินส์และเงินค่าชดใช้สงครามใอีก 20 ล้านเหรียญให้แก่สหรัฐอเมริกา ประกอบกับในช่วงปี 1865 ประเทศในทวีปอเมริกากลางและใต้ต่างหลุดพ้นจากการเป็นอาณานิคมของเสปนเกือบหมดสิ้นแล้วจึงเป็นโอกาสที่อเมริกาจะทำตัวเป็นพี่ใหญ่ มีการส่งทุนออกไปขูดรีดประเทศต่างๆในทวีปนี้ด้วยการลงทุนในหลายๆด้านไม่ว่าจะเป็นด้านเกษตรกรรม อุต สาหกรรมและการทำเหมืองแร่จากแรงงานราคาถูกมาก กอบโกยทรัพยากรที่อุดมสมบูรณ์จากประเทศเหล่านี้ไปป้อนอุตสาหกรรมของชนชั้นนายทุนในประเทศตน ประเทศใดมีทรัพยากรมากก็จะถูกขูดรีดมาก
หลังสงครามโลกครั้งที่สองอเมริกาในฐานะของผู้ชนะสงคราม ในขณะเดียวกันมหาอำนาจในยุโรปก็อ่อนล้าลงจากภัยสงคราม อเมริกาก็ยิ่งเข้าไปแทรกแซงประเทศต่างๆมากขึ้นทวีปอเมริกาใต้
เช่นชิลี ที่อุดมไปด้วยแร่ทองแดงและโพแตส
ไม่เพียงเท่านั้นยังสนับสนุนชนชั้นปกครองเผด็จการของประเทศต่างๆในทวีปนี้กดขี่ขูดรีดเข่นฆ่าประชาชนเช่น โซโมซ่าในนิคารากัว (จุดยุทธศาสตร์ทางทะเล) ควบคุมจุดยุทธศาสตร์เหนือคลองในปานามา อาร์เจนตินา โบลิเวีย
เปรู กัวเตมาลา โดยใช้นโยบายต่อต้านคอมมิวนิสต์มาบังหน้า พยายามโค่นล้มการปฏิวัติคิวบา สนับสนุนชนชั้นนายทุนปลุกปั่นประชาชน
เวเนซูเอลลาให้โค่นล้มประธานาธิบดีชาเวชคนปัจจุบัน (เนื่องมาจากการสูญเสียอิทธพลและผลประโยชน์ประโยชน์อย่างมหาศาลโดยเฉพาะเรื่องน้ำมัน)
ในเอเชีย
อเมริกาได้แผ่อิทธิพลของตนเข้าครอบคลุมย่านเอเชียแปซิฟิคแทนญี่ปุ่นที่แพ้สงคราม
สหรัฐสนับสนุนอาวุธและเงินที่ปรึกษาทางทหารแก่กองทัพของเจียงไคเชคทำสงครามต่อต้านการปฏิวัติจีน หลังจาก พคจ.ปลดปล่อยประเทศจีนแล้ว นโยบายปิดล้อมจีนก็เกิดขึ้น แต่ถ้าจะมองให้ลึกๆก็คืออเมริกาต้องสูญเสียผลประโยชน์อย่างมหาศาลต่อการที่ต้องสูญเสียตลาดจีน
เพียงแค่ระบายสินค้าก็สามารถทำกำไรได้อย่างมากมายแล้ว สหรัฐฯได้ตั้งองค์กรร่วมมือกันทางทหารขึ้นในภูมิภาคเอเซียตะวันออกเฉียงใต้คือ องค์กรซีโต้ขึ้นโดยนัยเพื่อสกัดกั้นการขยายตัวของลัทธิคอมมิวนิสต์
ซึ่งอเมริกาเห็นว่าเป็นศัตรูต่อระบอบขูดรีดของตน สนับสนุนรัฐบาลที่มาจากการรัฐประหารหรือรัฐบาลที่เป็นเผด็จการของประเทศต่างๆโดยเฉพาะในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ซึ่งในระยะนี้เป็นนโยบายทางการทหารเสียเป็นส่วนใหญ่ หนุนช่วยรัฐบาลหุ่นเกาหลีใต้ เข้ามามีอิทธิพลแทนฝรั่งเศสในเวียดนาม อันเป็นชนวนของสงครามเวียดนามและก็ต้องพ่ายแพ้ในที่สุด
สหรัฐใช้นโยบาย ”ดุลแห่งความมั่นคง” ตลอดเวลา ต่อประเทศที่การเมืองภาคประชาชนเข้มแข็งจะใช้นโยบายประชาธิปไตย สิทธิมนุษยชนนำหน้า ประเทศที่ภาคประชาชนอ่อนแอ
แตกแยกกันเนื่อง มาจากประชาชนประกอบไปด้วยลัทธิศาสนาและกลุ่มชาติพันธ์ต่างๆ
ก็จะใช้วิธีหนุนฝ่ายหนึ่งสู้รบกับอีกฝ่ายหนึ่งโดยอ้างเรื่องที่อ่อนไหวในสังคมนั้นๆมาเป็นข้ออ้างเช่นนิกายศาสนา ลัทธิชาตินิยม สิทธิมนุษยชนกับการกดขี่ชนชาติส่วนน้อย โค่นล้มรัฐบาลอิรักหลังจากอ่อนเปลี้ยจากการทำสงครามกับอิหร่าน การแซงชั่นอิหร่าน
เพราะประชาชนอิหร่านทำการปฏิวัติโค่นล้มพระเจ้าชาห์ที่เป็นพันธมิตรของตนลงไป กล่าวหาใส่ร้าย ซัดดัม ฮุสเซน (เพราะใช้สอยประโยชน์อะไรไม่ได้แล้ว) การพยายามจะโค่นล้มรัฐบาล อัดซาด
ของซีเรีย สนับสนุนอิสราเอลยึดครองดินแดนปาเลสไตน์ ที่ราบสูงโกลันของซีเรีย
(ขณะนี้อิสราเอลเริ่มขุดเจาะน้ำมันแล้ว)
การยึดครองฝั่งตะวันตกของแม่น้ำจอร์แดน อเมริกาใช้นโยบายนี้ก็เพราะต้องการสร้างอิทธิพลขึ้นในภูมิภาคต่างๆเพื่อรักษาผลประโยชน์ของตน
สงครามเย็นรอบแรกจบลงที่การล่มสลายของสหภาพโซเวียต
สงครามเย็นรอบใหม่ได้เริ่มต้นขึ้นแล้วซึ่งจะเน้นหนักไปในด้านพลังงานและเศรษฐกิจการเงิน ในที่นี้จะขอกล่าวถึงสงครามด้านพลังงานก่อน
ซึ่งถือว่าเป็นทรัพยากรที่เป็นยุทธปัจจัยสำคัญที่สุดของประเทศอุตสาหกรรมโดยเฉพาะอย่างยิ่งน้ำมันและแก๊ส สงครามในอิรักและซีเรียนั้นไม่ใช่เรื่องของการโค่นล้มเผด็จการเพื่อประชาธิปไตย หรือเพื่อสิทธิมนุษยชนตามที่สหรัฐและสื่อตะวันตกใช้กล่าวอ้าง หากแต่เป็นการต่อสู้กันเพื่อแย่งชิงแหล่งพลังงาน
ค่ายตะวันตกโดยเฉพาะที่มีอเมริกาเป็นหัวโจกนั้นพยายามรุกเรื่องนี้มานานแล้ว
เพราะตะวันออกกลางนั้นเป็นพื้นที่ๆอุดมสมบูรณ์ไปด้วยน้ำมันและแก๊สธรรมชาติ การเข้าไปมีอิทธิพลในย่านนี้ถือว่าเป็นยุทธศาสตร์ของสหรัฐเลยทีเดียว พันธมิตรที่ไว้ใจได้ของสหรัฐก็คือซาอุดิอาระเบียและประเทศ(กลุ่มอ่าว/การ์ตา
บาห์เรน สหรัฐอาหรับอิมิเรตส์)ในแถบนั้น
เรื่องใดที่ขัดต่อผลประโยชน์ของตน หรือเป็นผลประโยชน์ของคู่แข่งขันสหรัฐจะต้องหาทางขัดขวางทำลาย อย่างเช่นกรณีโครงการท่อแก๊สอาหรับ(Arab Gas Pipeline)
ที่วางแนวผ่านเมือง อเลโป ภาคเหนือของซีเรีย ไปยังเมืองฮอมส์(ซีเรีย) แล้วแยกไปยังเมืองทริโปลีชายฝั่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียนของเลบานอน
สู่ดามัสกัส(ซีเรีย) อัลริฮาบ(จอร์แดน) อัมมาน(จอร์แดน) อากาบา(จอร์แดน) ข้ามอ่าวอากาบาไปยังเมืองทาบาของอียิปห์แล้วไปออกทะเลเมดิเตอร์เรเนียนที่เมืองอาริชในฉนวนฉนวนกาซาโดยไม่ผ่านดินแดนอิสราเอล
ถ้าโครงการนี้สำเร็จลุล่วงไปจะสร้างความเข้มแข็งให้แก่ชาติอาหรับที่เป็นพันธมิตรกับรัสเซียโดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศซีเรีย โดยรวมแล้วรัสเซียจะมีความมั่นคงในภูมิภาคนี้มากยิ่งขึ้น ดังนั้นการทำสงครามโค่นล้มประธานาธิบดี อัล
อัดซาด ของซีเรียจึงเป็นหนทางเดียวเท่านั้นที่จะหยุดโครงการนี้ลงได้เพราะท่อแก๊สจะทอดผ่านซีเรียยาวถึง
1200 กม เป็นการทำลายพันธมิตรของรัสเซียไปในตัว สาเหตุที่แท้จริงของสงครามคือต้องการทำลายอิทธิพลของรัสเซียในภูมิภาคนี้
การโค่นล้มเผด็จการอัดซาดนั้นเพราะต้องการให้พันธมิตรของตนได้ครองอำนาจแทนเพื่อควบคุมได้ง่ายขึ้น
(เช่นเดียวกันกับกรณียูเครน) และใช้ความขัดแย้งในนิกายศาสนาเป็นข้ออ้าง ซึ่งก็ตรงกับความต้องการของทหารซีเรียกลุ่มหนึ่งที่นับถือนิกายสุหนี่ อัดซาดเองนั้นนับถือนิกาย
อัลลาไวท์ ซึ่งเป็นนิกายชิอะห์สาขาหนึ่ง ทหารกลุ่มนี้อ้างว่าอัดซาดสั่งให้สังหารประชา ชนที่เดินขบวนประท้วงรัฐบาล แต่พวกตนไม่ส่ามารถทำเช่นนั้นและไม่สามารถกลับไปได้จึงต้องหลบหนีมาตั้งกองกำลังต่อสู้กับกลุ่มอัดซาด
ในขบวนต่อต้านประธานาธิบดีอัดซาด
มีนักรบหลายกลุ่มเข้าร่วมด้วยทั้งอัล กออิดะห์(สาขา)หรือกลุ่มไอซิส กลุ่ม อัล นุสรา ฯลฯ แต่ละกลุ่มต่างไม่ยอมรับการนำของผู้อื่น การต่อสู้จึงมีลักษณะเป็นอนาธิปไตย ไม่มีวินัย
บางครั้งขัดแย้งกันถึงกับรบกันเอง
สงครามได้ทำลายทั้งเมืองอเลโป ฮอมส์ และดามัสกัสรอบนอก
พินาศย่อยยับไปแล้ว
ประชาชนอิรักต้องกลายเป็นผู้ลี้ภัยนับล้านคน
ขณะนี้กลุ่มที่มีอำนาจและบทบาทมากที่สุดก็คือกลุ่ม ไอซิส ที่เป็นกลุ่มอนุรักษ์นิยมสุดขั้วที่ได้รับการสนับสนุนทั้งเงินและอาวุธจากซาอุดิอาระเบีย
บาร์เรน กาตาร์ แม้จะยังโค่นอัดซาดไม่สำเร็จแต่โครงการท่อส่งแก๊สนี้ก็ไม่สามารถดำเนินการต่อไปได้จนกว่าจะเกิดสันติภาพซึ่งจะเป็นเมื่อไหร่ก็ไม่มีใครรู้ เท่านั้นยังไม่พอหากเผด็จศึกได้แล้วอาจมีรัฐใหม่เกิดขึ้นในอิรักและซีเรีย การทิ้งระเบิดกลุ่ม ISIS ที่เป็นข่าว ...เป้าหมายที่แท้จริงก็คือการทำลายโครงสร้างพื้นฐานของซีเรีย ไม่ว่าสงครามจบลงแบบใด กว่จะกู้สภาพประเทศให้กลับมาได้คงใช้เวลาไม่ต่ำกว่า
20 ปี ผู้ที่ได้รับเคราะห์กรรมหนักที่สุดเห็นจะเป็นประชาชนชาวซีเรียโดยเฉพาะสตรีและเด็กๆ เป็นการสูญเสียอย่างประเมินค่าไม่ได้
อีกโครงการหนึ่งก็คือโครงการท่อส่งน้ำมันและแก๊ส TAPI เริ่มต้นทางที่ เติร์กเมนนิสถาน เข้าสู่ อัฟกานิสถาน ปากีสถาน อินเดีย เติร์กเมนนิสถานนั้นเป็นประเทศอดีตสหภาพโซเวียตที่อุดมสมบูรณ์ไปด้วยแก๊สธรรมชาติ เมื่อสหภาพโซเวียตล่มสลายลงจึงเป็นโอกาสที่อเมริกาจะเข้าไปแทรกแซงได้สะดวกยิ่งขึ้น ในอัฟกานิสถานก็ได้สนับสนุนกลุ่มอนุรักษ์นิยม
ตาลีบาน ทำสงครามกับสหภาพโซเวียตที่เข้ามาช่วยเหลือสนับสนุนรัฐบาลมาร์กซิส อัฟกานิสถานของ
ป.นาจิบุลเลาะห์ ส่วนปากีสถานนั้นเป็นพันธมิตรกับสหรัฐมาแต่เดิมอยู่แล้ว แม้จะไม่ได้ผลประโยชน์โดยตรงแต่ถ้าสามารถดึงเติร์กเมนนิสถานออกมาจากอิทธิพลของรัสเซียได้นั้น ถือว่าเป็นผลประโยชน์สูงสุดทีเดียว
เป็นที่ทราบกันโดยทั่วไปและมีหลักฐานยืนยันว่า ตาลีบันและอัล กออิดะห์นั้น หน่วยงานบางหน่วยของสหรัฐอเมริกาให้การสนับสนุนอยู่
รัสเซียเองก็พยายามจะรักษาแหล่งพลังงานของตนที่เคยมีเอาไว้ เพรารู้ดีว่าในภูมิภาคนี้ทั้งที่ยังเป็นดินแดนของรัสเซียและประเทศอดีตสหภาพโซเวียตเป็นแหล่งผลิตน้ำมันและแก๊สขนาดมหึมาพอๆกับแหล่งไซบีเรียและมีมีตลาดในยุโรปรองรับอยู่ เป็นแหล่งรายที่จะมาช่วยพยุงเศรษฐกิจรัสเซียที่กำ ลังประสบกับภาวะถดถอยให้กระเตื้องขึ้นได้ และถือได้ว่าเป็นอำนาจต่อรองที่สำคัญมากของรัสเซีย
เพราะกลุ่มประเทศยุโรปต่างใช้แก๊สจากรัสเซียแทบทั้งสิ้น บางประเทศอาศัยทั้ง 100% สรุปก็คือความไม่่สงบใน
แถบภูมิภาคนี้มีสาเหตุมาจากการแย่งชิงทรัพยากรกันระหว่างมหาอำนาจนั่นเอง
สำหรับจีนที่ผงาดขึ้นมาเป็นมหาอำนาจในขณะนี้อเมริกาถือว่าเป็นคู่แข่งหมายเลขหนึ่งของตนเท่าๆกับ รัสเซียเช่นกัน อเมริกาจึงอ้างว่ามีความจำเป็นในการเข้ามาจัดสมดุลในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิค โดย นัยว่าเพื่อปกป้องพันธมิตรของตนที่หวาดกลัวการเติบใหญ่ของจีน เราเคยได้ยินมาตลอดระยะเวลากว่า
20 ปีว่าอเมริกาใช้นโยบายปิดล้อมจีน แต่เราไม่ค่อยจะได้คิดว่า..ทำไม จริงๆแล้วอเมริกาใช้มาตรการทั้งปิดล้อมและแทรกแซงจีนมาตลอด อเมริกามีส่วนเกี่ยวข้องในหลายๆเหตุการณ์
ไม่ว่าจะเป็นกรณีเทียนอันเหมิน ลัทธิฟาหลุนกง กรณีพิพาทดินแดนกับประเทศอื่นๆในทะเลจีนใต้ก็ดี ล่าสุดก็คือการเรียกร้องให้มีการเลือกตั้งโดยเสรีในฮ่องกง
กรณีพิพาทเกาะเตียวหยู/เซ็นกากุ
เมื่อเศรษฐกืจของจีนดีขึ้นเส้นทางการเดินเรือในทะเลจีนใต้ก็ขยายตัวเพิ่มขึ้น มีความหนาแน่นประมาณ
40 % ของเส้นทางการเดินเรือของโลก
ใครครอบครองเกาะเตียวหยู/เซนกากุได้ถือว่าควบคุมเส้นทางเดินเรือพาณิชย์และเส้นทางยุทธศาสตร์ในทะเลจีนใต้ได้ทั้งหมด จีนเองก็ไม่มีศักยภาพเพียงพอที่จะต่อกรกับสหรัฐและพันธมิตรในย่านนี้ได้ และในปัจจุบันจีนเป็นลูกค้าพลังงานรายใหญ่ของโลกประเทศหนึ่ง เพื่อประกันผลประโยชน์ของตนในเรื่องพลังงานจึงอาศัยความขัดแย้งระหว่างอเมริกากับอิหร่านมาใช้ให้เป็นประโยชน์ เมื่อสหรัฐบอยคอตอิหร่านจีนจึงสามารถซื้อน้ำมันจากอิหร่านได้ในราคาถูกกว่าในท้องตลาด ซึ่งจีนเองก็รู้ว่าเส้นทางลำเลียงน้ำมันของตนจากอิหร่านและตะวันออกกลางตนกำลังถูกคุกคาม
เพื่อแก้ปัญหาเรื่องนี้จึงได้เจรจาร่วมมือกับรัสเซียในด้านพลังงานอีกทางหนึ่ง
ในการแก้ไขข้อพิพาทดินแดนในทะเลจีนใต้ จีนยืนยันในการเจรจาข้อพิพาทในลักษณะทวิภาคีกับแต่ละประเทศเท่านั้น ไม่ยอมเจรจากับประเทศกลุ่มประเทศอาเซียนเพราะรู้ว่าประเทศเหล่านี้
สหรัฐมีอิทธิพลของครอบงำอยู่ อีกด้านหนึ่งก็ใช้นโยบายลงใต้โดยผ่าน ลาว ไทย
พม่า ขณะนี้บางโครงการในพม่าได้หยุดชะงักลง การสู้รบระหว่างพม่ากับชนชาติส่วนน้อยที่สงบมานานกลับประทุขึ้นอีก แม้จะไม่ใช่เรื่องที่ใหญ่โตเป็นข่าวคึกโครมในระดับภูมิภาค แต่ก็เป็นเรื่องที่น่าสังเกตุว่าทำไมเขตปกครองตนเองของชนชาติส่วนน้อยโกก้างที่มีกำลังทหารเพียงสองพันคน จึงอาจหาญสู้รบกับพม่าจึงเป็นสิ่งที่ควรติดตามต่อไป
การที่จีนจะลงทุนรถไฟความเร็วสูงสาย
ปักกิ่ง-มอสโคว์ นั้นก็เป็นทางเลือกหนึ่งในการเชื่อมยุโรปและเอเซียเข้าด้วยกัน เป็นการเสริมนโยบายเรื่อง EEU ด้วย EEU คือองค์กรร่วมมือกันทางเศรษฐกิจ ย่อมาจาก
Eurasian Economic Union ก่อตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 29,พฤษภาคม 2014 มีประเทศรัสเซีย เบลารุส และคาซัคสถาน เป็นสมาชิกก่อตั้ง
ประเทศอาร์มีเนีย(อดีตสาธารณรัฐโซเวียต)เข้าร่วมในเดือนตุลาคม
และคีร์กิสสถาน(อดีตสาธารณรัฐโซเวียต)เข้าร่วมในเดือนธันวาคม มีพลเมืองรวมกันแล้ว 170 ล้านคนและได้เริ่มดำเนินการไปแล้วตั้งแต่เดือน
มกราคม 2015 และในอนาคตคาดว่าจีนจะเข้าร่วมเป็นสมาชิกด้วย ถ้าเป็นเช่นนั้น EEU
ก็จะถือว่าเป็นเขตเศรษฐกิจใหม่ที่ใหญ่มากแห่งหนึ่งของโลกและจะเป็นการบั่นทอนพลังอำนาจทางเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกาอย่างมาก
จึงถูกกล่าวหาจากสหรัฐฯและกลุ่มนาโต้ว่าเป็นการรื้อฟื้นสหภาพโซเวียตขึ้นมาใหม่
สงครามการเงิน
สืบเนื่องมาจากเศรษฐกิจที่ย่ำแย่ที่บุชได้ทิ้งปัญหาไว้เนื่องจากใช้จ่ายดำเนินการทางทหารมากเกินไป ตั้งแต่ในอิรัก อัฟกานิสถาน และที่อื่นๆ เพราะสหรัฐมีฐานทัพอยู่มากมายทั่วโลกทำให้เศรษฐกิจย่ำแย่ลงมาก ต้องใช้มาตรการทางการเงิน(Q E/Quantitative Easing) มาแก้ไขปัญหาเพื่อให้เกิดความสมดุลในสภาวะที่เศรษฐกิจถดถอย
เช่นการออกพันธบัตร พิมพ์ธนบัตร ฯลฯ
หลังสงครามโลกครั้งที่สองสหรัฐฯเป็นประเทศที่มีอิทธิพลต่อโลกอย่างมากทั้งด้านการเมือง
เศรษฐกิจ และการทหาร มีอิทธิพลในธนาคารโลก กองทุนระหว่างประเทศ IMF การซื้อขายสินค้าทั่วไปจะอิงเงินสกุลดอลล่าร์เสียเป็นส่วนใหญ่ เศรษฐกิจทุนนิยมในปัจจุบันพัฒนาจากการส่งออกทุนมาเป็นการส่งออกเทคโนยีและเงินตราอีกด้วย เป็นการปล้นชิงแบบใหม่คือการเก็งกำไร พร้อมกับความพยายามที่จะทำให้เศรษฐกิจโลกเป็นระบอบทุนนิยมทั้งหมดโดยสร้างคำว่าโลกาภิวัฒน์หรือ
Globallization มาบังหน้า ใครก็ตามที่จะเข้ามาตัดทอนมาตรการทางการเงิน
หรือสร้างอุปสรรคให้แก่ทุนการเงินของสหรัฐมักจะถูกโค่นล้มอยู่เสมอๆดังเช่นกรณีของ กัดดาฟี เมื่อประเทศลิเบียร่ำรวยขึ้นก็มีโครงการทางการเงินโดยชักชวนประเทศในอัฟริกาเหนือให้เข้าร่วมมือกันทางด้านเศรษฐกิจ
โดยใช้สกุลเงินของตนคือ ดีนาร์ ทองคำ
เป็นหลักประกันร่วมกัน
กัดดาฟีจึงถูกสร้างให้เป็นผู้ก่อการร้ายระดับโลกไปในที่สุด
ผู้นำอย่างกัดดาฟี
ที่ทำให้ลิเบียภายใต้การปกครองของเขาเจริญรุ่งเรืองประชาชนมีชีวิตที่ดีขึ้น ด้วย นโยบายเร่งด่วนของเขาก็คือทำให้ประชาชนทุกครอบครัวต้องมีบ้านอยู่อาศัยเพราะถือว่าเป็นเรื่องธรรม ชาติที่พื้นฐานที่สุดในการดำรงชีวิต ประชาชนได้รับการศึกษา การรักษาพยาบาล ไฟฟ้าฟรี
ใช้น้ำมันราคาถูก ยกระดับการรู้หนังสือของประชาชนจาก
27 % ขึ้นเป็น
87 %
คนเช่นนี้กลับถูกมองว่าเป็นผู้ก่อการร้ายและถูกกล่าวหาใส่ร้ายนานาประการ อย่างน้อยที่สุดเราควรจะประเมินตัวบุคคลทั้งด้านจริย ธรรมและผลงานของเขาที่ทำให้ประชาชนลิเบียควบคู่กันไป จึงมีคำถามว่าเมื่อล้มกัดดาฟีลงไปแล้วลิเบียมีความสงบสุขหรือไม่? เช่นเดียวกับแนวคิด เอเชีย บอนด์
ของคุณทักษิณก็จะเป็นสาเหตุหนึ่งที่ถูกโค่นล้มหรือเปล่าเรื่องนี้ยังเป็นที่สงสัยอยู่เหมือนกัน
อย่างที่กล่าวมาแล้วว่าระบอบเศรษฐกิจแบบทุนนิยมในปัจจุบันมีลักษณะเก็งกำไรกันสูงมาก และแน่นอนความความเสี่ยงก็สูงเช่นเดียวกัน ราคาทองคำขณะนี้เป็นราคาจริงหรือไม่ โดยหลักๆแล้วทองคำทำหน้าที่เป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยน เป็นตัวค้ำประกันราคาของเงินตรา(กระดาษ) และใช้เป็นทุนสำรอง
แต่มีคนคิดว่ามันไม่เป็นธรรมประเทศที่มีทองคำมากก็จะได้เปรียบจึงจำเป็นต้องลดความสำคัญของทองคำลง สิ่งที่ระบอบทุนนิยมทำก็คือสร้างตลาดใหม่ขึ้นมาโดยมีการซื้อขายทองอย่างไม่จำกัดนั่นคือการซื้อขายล่วงหน้านั่นเอง ตลาดน้ำมันก็ทำแบบนี้มีการซื้อขายแบบเดียวกัน ทำให้ทองกระดาษมีมากมายท่วมท้นมีขายไม่อั้น ราคาทองที่แท้จริงจึงถูกตรึงไว้ที่ราคาเทียม(ราคาจริงสูงกว่า) ตลาดจะตรึงราคาไว้ที่ประมาณ 1200-1400 เหรียญต่อ 1 ออนซ์ ผู้ที่รู้เท่าทันอย่างรัสเซีย จีน ญี่ปุ่น ฯลฯ ก็แอบซื้อทองจริงเก็บไว้อย่างเงียบๆมาหลายปีแล้ว เยอรมัน ฝรั่งเศส เนเธอร์แลนด์ ฯลฯ ก็เรียกทอง(แท้)คืนจากอเมริกา เหตุผลก็คือในช่วงหลายปีที่ผ่านมาเศรษฐกิจของอเมริกาแย่ลงเรื่อยๆมีหนี้สินมากมายมหาศาล
และหนี้ส่วนมากก็เป็นหนี้จีน ญี่ปุ่น และตะวันออกกลาง ค่าเงินสกุล dollar
ก็ยิ่งจะด้อยมูลค่าลงไปทุกวัน รัสเซียกับจีนก็จับมือกันด้วยการซื้อขายสินค้าด้วยสกุลเงินของตนไม่อิงดอลลาร์ดูเหมือนว่ามีหลายประเทศเห็นดีและเข้าร่วมด้วยเรื่องนี้ย่อมเป็นผลลบต่อเศรษฐกิจอเมริกา
ยุโรปและเอเซียกลาง
หลังจาก การสลายตัวของสหภาพโซเวียต อเมริกาได้โอกาสที่จะเข้ามาแทรกแซงยุโรปอย่างจริงจังโดยอาศัยนาโต้เป็นหัวหอก โปแลนด์
ยูเครน ลิทัวเนีย ฯลฯเป็นกองหน้า มีการดึงประเทศอดีตค่ายตะวันออกเกือบจะทั้งหมดเข้าเป็นสมาชิก
นาโต้ และ อียู การที่สหรัฐจะดำรงความยิ่งใหญ่ของตนไว้ได้มีหนทางเดียวคือบ่อนทำลายคู่แข่งของตนให้อ่อนแอลง นั่นก็คือใช้วิธีสร้างความปั่นป่วนวุ่นวายขึ้นในสาธารรัฐต่างๆที่มีพรมแดนติดกับรัสเซียโดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศที่เคยเป็นสาธารณรัฐในอดีตสหภาพโซเวียตมาก่อน นั่นจึงเป็นคำตอบที่ว่า...ทำไมรัสเซียจึงต้องเข้าไปเกี่ยวข้องด้วยในความขัดแย้งนั้นๆ
ในการบ่อนเซาะรัสเซียสหรัฐได้เปิดแนวรบในทางยุทธศาสตร์ไว้ 3 แนว แนวแรก ได้เกิดขึ้นแล้วคือความวุ่นวายและสงครามในประเทศยูเครน แนวทีสอง คือความขัดแย้งในข้อพิพาทดินแดนแคว้น นาโกโน-คาราบัค ระหว่างอาร์เมเนีย กับ อาเซอร์ไบจาน ปัญหานี้หากรัสเซียจัดการไม่ดี..ไม่เป็น กลาง จะเป็นการบ่อนเซาะนโยบายต่างประเทศของรัสเซียที่มีต่อประเทศในแถบคอเคซัสให้หมดความเชื่อถือลงไปได้ เพราะทั้งสองประเทศต่างก็เคยเป็นประเทศในอดีตสหภาพโซวียตมาก่อน แนวที่สาม กำลังเปิดฉากขึ้นที่เอเซียกลางที่อุดมไปด้วยน้ำมันและแก๊สธรรมชาติจุดที่อ่อนอ่อนไหวที่สุดก็คือ ประเทศอัฟกานิสถาน เติร์กเมนิสสถาน อุซเบค คิซสถาน รวมไปถึง ซินเกียง-อุยรกูร์ ของจีนด้วย
ในการบ่อนเซาะรัสเซียสหรัฐได้เปิดแนวรบในทางยุทธศาสตร์ไว้ 3 แนว แนวแรก ได้เกิดขึ้นแล้วคือความวุ่นวายและสงครามในประเทศยูเครน แนวทีสอง คือความขัดแย้งในข้อพิพาทดินแดนแคว้น นาโกโน-คาราบัค ระหว่างอาร์เมเนีย กับ อาเซอร์ไบจาน ปัญหานี้หากรัสเซียจัดการไม่ดี..ไม่เป็น กลาง จะเป็นการบ่อนเซาะนโยบายต่างประเทศของรัสเซียที่มีต่อประเทศในแถบคอเคซัสให้หมดความเชื่อถือลงไปได้ เพราะทั้งสองประเทศต่างก็เคยเป็นประเทศในอดีตสหภาพโซวียตมาก่อน แนวที่สาม กำลังเปิดฉากขึ้นที่เอเซียกลางที่อุดมไปด้วยน้ำมันและแก๊สธรรมชาติจุดที่อ่อนอ่อนไหวที่สุดก็คือ ประเทศอัฟกานิสถาน เติร์กเมนิสสถาน อุซเบค คิซสถาน รวมไปถึง ซินเกียง-อุยรกูร์ ของจีนด้วย
ทางด้านเศรษฐกิจรัสเซีย ได้ก่อตั้งองค์กรร่วมมือกันทางเศรษฐกิจคือ Eurasian Economic
Union หรือ EEU.
ขึ้นเพื่อเป็นการถ่วงดุลกับสหภาพยุโรป EU ขึ้นเมื่อวันที่ 29,พฤษภาคม 2014 โดยมีประเทศรัสเซีย เบลารุส และคาซัคสถาน เป็นสมาชิกก่อตั้ง ประเทศอาร์มีเนีย(อดีตสาธารณรัฐโซเวียต)
และคีร์กิสสถาน(อดีตสาธารณรัฐโซเวียต)เข้าร่วมในเดือนตุลาคมและเดือนธันวาคม
ตามลำดับ มีพลเมืองรวมกันประมาณ 170 ล้านคนและได้เริ่มดำเนินการไปตั้งแต่ มกราคม 2015
ในอนาคตคาดว่าจีนจะเข้าร่วมเป็นสมาชิกด้วย ถ้าเป็นเช่นนั้น EEU
ก็จะถือว่าเป็นเขตเศรษฐกิจใหม่ที่ใหญ่มากแห่งหนึ่งของโลกและจะเป็นการบั่นทอนพลังอำนาจทางเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกาลงอย่างมาก
จึงถูกกล่าวหาจากสหรัฐฯและกลุ่มนาโต้ว่าเป็นการรื้อฟื้นสหภาพโซเวียตขึ้นมาใหม่
เอเซียตะวันออกเฉียงใต้
การแข่งขันช่วงชิงกันทั้งทางด้านการทหารและ เศรษฐกิจการลงทุน การเมืองระหว่างสองมหาอำนาจ
ไม่เพียงแต่จะมีผลกระทบต่อประเทศไทยเท่านั้น หากแต่ยังส่งผลกระทบถึงชาติต่างๆในสมาคมอาเซียนทั้งหมดด้วย นางซูซาน ไร้ซ ที่ปรึกษาความมั่นคงแห่งชาติได้กล่าวไว้ว่า “ชาติต่างๆในเอเซียตะวันออกเฉียงใต้นั้นยังคงและจะเป็นที่สนใจของอเมริกาในการสร้างความสมดุลขึ้นใหม่” ซึ่งฟังดูรู้สึกว่าดี
แต่ในความเป็นจริงนั้นก็คือการแข่งขันกันในด้านการทหาร เศรษฐกิจ
และการลงทุนของสหรัฐกับจีน
โดยเฉพาะอย่างยิ่งการช่วงชิงกันในการเป็นอภิมหาอำนาจทางเศรษฐกิจ เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่มีประชากร 625 ล้านคน มีมูลค่าทางเศรษฐกิจรวมกันตั้งสองแสนห้าหมื่นล้าสนเหรียญ
เป็นเรื่องที่มหาอำนาจอย่างสหรัฐฯไม่อาจมองข้ามไปได้
เมื่อสามปีมาแล้วรัฐมนตรีกลาโหมของสหรัฐได้ประกาศว่า ภายในปี 2020 กองเรือสหรัฐในย่านเอเชีย-แปซิฟิคจะเพิ่มจำนวนขึ้นเท่าๆกับกองเรือในแอตแลนติค
นั่นแสดงให้เห็นว่าอเมริกามีความกังวลมากที่จะต้องสูญเสียความเป็นอภิมหาอำนาจของตนลงไปต่อการเติบโตของจีน ตัวอย่างนโยบายต่างประ
เทศที่ก้าวร้าวของอเมริกาเช่น การสร้างฐานทัพในเอเซีย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเอเซียตะวันออกเฉียงใต้
ในขณะที่จีนกำลังติดอยู่กับกรณีพิพาทในทะเลจีนใต้กับเวียดนามและฟิลิปปินส์ ในปัจจุบันนี้ สหรัฐมีฐานทัพอยู่ในสิงคโปร์ ฟิลิปปินส์ มีการซ้อมรบร่วมกันเป็นประจำในประเทศไทย และมีกองเรือของตนอยู่ในทะเลจีนใต้ เมื่อปีที่แล้วประธานาธิบดี โอบามา
ได้มาเยือนมาเลเซีย
มีความพยายามเจรจาก็พยายามเสริมกำลังของตนโดยขอตั้งฐานทัพในมาเลเซีย ในขณะเดียวกันก็ยกเลิกมาตรการห้ามขายอาวุธให้แก่เวียตนาม ทางด้านการทหารนอกจากจะมีฐานทัพในเอเชียอาคเนย์แล้ว
สหรัฐฯยังมี กำลังทหารติดอาวุธใน ออสเตรเลีย กวม เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น แล้วยังมียุทธศาสตร์สำรองใน
ตะวันออกกลางและมหาสมุทรอินเดีย ทำให้สามารถคุยได้ว่าตนมีศักยภาพทางการทหารเหนือกว่าคู่แข่งอีกด้วย ในปี
2014 สถาบันศึกษายุทธศาสตร์ระหว่างประเทศได้ร่ายงานว่า งบประมาณประจำปีทางการทหารของสหรัฐ มากกว่าจีนถึง 6 เท่า
สงครามการค้า
เมื่อปีที่ผ่านมาทั้งสองมหาอำนาจต่างเพิ่มการลงทุนและสนับสนุนการค้าในเอเซียตะวันออกเฉียงใต้
อเมริกาเป็นคู่ค้ากับแต่ละประเทศในแถบนี้เพิ่มขึ้นถึง
71 % ตั้งแต่ปี
2001
ตามรายงานของธนาคาร โลก จากหนึ่งแสนสามหมื่นเจ็ดพันล้านเหรียญ
เป็นสองแสนสามหมื่นสี่พันล้านเหรียญในปี 2013 ในขณะที่การค้าระหว่างจีนกับอาเซียนเมื่อปี
2013 เป็นจำนวนสามแสนห้าหมื่นล้านเหรียญ ปัจจุบันนี้สหรัฐฯเป็นผู้ลงทุนอันดับหนึ่งในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ส่วนจีนยังคงเป็นประเทศคู่ค้าอันดับหนึ่ง
ถ้าจะกล่าวถึงการลงทุนทั้งจีนและสหรัฐต่างพายามจะขยายเครือข่ายของตนขึ้นมาทั้งทางการค้าและการลงทุน
แต่ละประเทศต่างก็เลือกที่จะทำสัญญากับประเทศในอาเซียนแบบทวิภาคีมากกว่าที่จะทำร่วมกันทั้งหมดในนามอาเซียน จีนเป็นหัวหอกในการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานในแถบนี้ซึงถือว่าเป็น
ผงในตาของธนาคารโลกที่มีสำนักงานใหญ่อยู่ที่สหรัฐ(ในการขูดรีด) สหรัฐยังรุกหน้าต่อไปทางด้านเศรษฐกิจ โดยเสนอแผนการก่อตั้งองค์กรค้าเสรีระหว่างประเทศที่เรียกว่าTrans-Pacific
Partnership (TPP).ขึ้น แม้ว่าจะยังไม่สามารถตกลงกัน แต่ถ้าสำเร็จก็จะเป็นเขตการค้าเสรีที่ใหญ่ที่สุดในโลก และมี 12
ประเทศใลงนามให้ความร่วมมือ
เช่น ออสเตรเลีย
แคนาดา ชิลี ญี่ปุ่น
เม๊กซิโก เปรู และสหรัฐอเมริกา รวมไปถึง บรูไน
มาเลเซีย สิงคโปร์ และเวียตนาม จากเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ด้วย
การแข่งขันช่วงชิงกันเพื่อความเป็นอภิมหาอำนาจนั้น มีความหมายเป็นอย่างยิ่งสำหรับประชาชนในเอ เซียอาคเนย์ ซึ่งได้รับความเจ็บปวดมานานนับศตวรรษภายใต้จักรวรรดิทั้งเก่าและใหม่ ที่ประชาชนนับล้านๆคนต้องสังเวยชีวิตให้แก่รัฐต่างชาติ ในสายตาของผู้สันทัดกรณีบางคนให้ความเห็นว่า ประเทศทั้งหลายในอาเซียน ย่อมไม่มีใครที่จะเลือกฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งอย่างแน่นอน
ต่างก็จะใช้โอกาสในการสร้างกำไรจากการแข่งขันนี้ (มองจากจุดยืนเสรีนิยม) นักวิชาการจาก ม. วิคตอเรีย ออสเตรเลีย ให้ความเห็นว่าองค์กรการค้าเสรี ที พี พี
จะสร้างกำไรให้แก่คนส่วนหนึ่งเท่านั้น คนรวยจะยิ่งรวยขึ้น คนจนจะยิ่งจนลง ที่น่าเศร้าคือไม่เพียงแต่เป็นการเก็งกำไรเท่านั้นหากแต่ตลาดขนาดใหญ่จะเกิดขึ้นในประเทศที่มีทุนน้อยซึ่งเข้าร่วมการค้าเสรีกับประเทศอย่างอเมริกา ผู้ที่พ่ายแพ้ในเกมส์การแข่งขันระหว่างสองมหาอำนาจเห็นจะได้แก่คนจนทั้งมวล
มันเป็นสงครามเย็นรอบใหม่ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งในที่สุดประเทศเหล่านี้จำต้องเลือกว่าจะเอาหยวนหรือดอลล่าร์?
จะเลือกจักรวรรดิใหม่หรือจักรวรรดิที่กำลังจะล่มสลาย
?
No comments:
Post a Comment