Saturday, February 28, 2015

บทบาทของอเมริกา....

บทบาทของสหรัฐอเมริกา
ต่อการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในโลกจากอดีตถึงปัจจุบัน
สหรัฐอเมริกาเป็นประเทศที่เกิดใหม่    ประชาชนรุ่นแรกๆนั้นส่วนใหญ่เป็นชาวอังกฤษที่อพยหลบหนีพ จากความขัดแย้งและการกดขี่ไปยังในโลกใหม่    ที่ยอมรับกันอย่างเป็นทางการในหน้าปวศ. สหรัฐก็คือผู้อพยพส่วนใหญ่ได้แก่ผู้นับถือศาสนาคริสต์นิกายโปรแตสแต้นท์ ที่ เรียกตนเองว่าเป็นพวกพิวริแทน   มีทั้งนักการเมือง นักการศาสนา ปัญญาชนและครอบครัวเพื่อไปแสวงหาเสรีภาพยังดินแดนใหม่   โดยเรือเมย์ ฟลาวเวอร์ ได้ออกจากท่าเรือ   เซาท์แธมตันเมื่อปี 1622  มีชาวยุโรปอพยพตามไปอีกหลายระลอกจนกระทั่งก่อตั้งและขยายชุมชนออกไปเป็นหลายรัฐ      แต่ก็ยังมีสภาพเป็นพลเมืองในอาณานิคมของอังกฤษอยู่โดยต้องเสียภาษีให้แก่กษัตริย์อังกฤษ    เมื่อถูกกดขี่หนักขึ้นจึงดิ้นรนเพื่อเป็นอิสระ   ในที่สุดก็ทำสงครามประกาศอิสระภาพจากอังกฤษตั้งแต่ปี 1775 และได้รับชัยชนะเมื่อปี 1783  จากการช่วยเหลือของฝรั่งเศส   

หลังสงครามนโปเลียน (1808 - 1815)  มหาอำนาจยุโรปสมัยนั้นมี  ออสเตรีย  ปรัสเซีย  รัสเซีย  ได้มีการประชุมกันที่กรุงเวียนนาเพื่อจัดระเบียบยุโรปเสียใหม่   มีหลายประเทศที่เคยอยู่ใต้จักรวรรดิฝรั่งเศสได้ประกาศเอกราช มีการรื้อฟื้นระบอบกษัตริย์ขึ้นในยุโรปโดยสนับสนุนราชวงศ์บูร์บอง ให้เป็นผู้ปกครองเสปนและอาณานิคมของเสปน  เพราะก่อนหน้านั้น นโปเลียนได้แต่งตั้งน้องชายของตนเป็นกษัตริย์แห่งเสปน และอีกหลายๆแห่งในยุโรป

เจมส์ มอนโร (1817 -1825)...ประธานาธิบดีคนที่ 5 พรรคเดโมแครต-รีพับลิกัน   เกรงว่ามหาอำนาจยุโรปจะดำเนินการล่าอาณานิคมในทวีปอเมริกาต่อไปอีก   จึงได้ออกประกาศกฎบัตรที่เรียกว่า มอนโร ดอคทรีน  มีสาระสำคัญว่าอเมริกาไม่ต้องการให้มหาอำนาจยุโรปล่าอาณานิคมในทวีปอเมริกาเหนือและใต้อีกต่อไป    แต่ก็เคารพในสิทธิการครอบครองอาณานิคมเดิมของมหาอำนาจทั้งหลาย  อเมริกาจะไม่เข้าไปเกี่ยวข้องกับกรณีพิพาททั้งปวงของมหาอำนาจยุโรป

สหรัฐเป็นประเทศที่เกิดขึ้นในยุคทุนนิยมที่กำลังเฟื่องฟู ไม่เคยผ่านสังคมศักดินามาก่อนและเป็นประเทศที่ไม่มีอาณานิคม       นอกจากประกาศอิสระภาพและสงครามกลางเมืองในสมัย ป.ลินคอล์นแล้วก็ไม่เคยได้รับภัยพิบัติจากสงครามภายในอีกเลยดังนั้นการพัฒนาด้านต่างๆจึงไม่มีการหยุดชะงัก   เศรษฐกิจทุนนิยมจึงสามารถเจริญรุ่งเรืองขึ้นเหนือประเทศอื่นๆ

ด้วยกฎบัตรมอนโรอเมริกาได้ใช้นโยบายนี้เบียดขับเสปนมหาอำนาจเดิมซึ่งขณะนั้นอ่อนแอลงมากโดยเข้าแทรกแซงช่วยช่วยเหลือขบวนการกู้เอกราชคิวบาจนเกิดสงครามกัน(1895)   เสปนแพ้  จำต้องยกคิวบา(ได้เอกราชเมื่อปี 1902) เปอร์โตริโก  กวม ฟิลิปปินส์และเงินค่าชดใช้สงครามใอีก 20 ล้านเหรียญให้แก่สหรัฐอเมริกา    ประกอบกับในช่วงปี 1865 ประเทศในทวีปอเมริกากลางและใต้ต่างหลุดพ้นจากการเป็นอาณานิคมของเสปนเกือบหมดสิ้นแล้วจึงเป็นโอกาสที่อเมริกาจะทำตัวเป็นพี่ใหญ่     มีการส่งทุนออกไปขูดรีดประเทศต่างๆในทวีปนี้ด้วยการลงทุนในหลายๆด้านไม่ว่าจะเป็นด้านเกษตรกรรม  อุต สาหกรรมและการทำเหมืองแร่จากแรงงานราคาถูกมาก   กอบโกยทรัพยากรที่อุดมสมบูรณ์จากประเทศเหล่านี้ไปป้อนอุตสาหกรรมของชนชั้นนายทุนในประเทศตน   ประเทศใดมีทรัพยากรมากก็จะถูกขูดรีดมาก

หลังสงครามโลกครั้งที่สองอเมริกาในฐานะของผู้ชนะสงคราม  ในขณะเดียวกันมหาอำนาจในยุโรปก็อ่อนล้าลงจากภัยสงคราม   อเมริกาก็ยิ่งเข้าไปแทรกแซงประเทศต่างๆมากขึ้นทวีปอเมริกาใต้ เช่นชิลี ที่อุดมไปด้วยแร่ทองแดงและโพแตส  ไม่เพียงเท่านั้นยังสนับสนุนชนชั้นปกครองเผด็จการของประเทศต่างๆในทวีปนี้กดขี่ขูดรีดเข่นฆ่าประชาชนเช่น โซโมซ่าในนิคารากัว (จุดยุทธศาสตร์ทางทะเลควบคุมจุดยุทธศาสตร์เหนือคลองในปานามา   อาร์เจนตินา  โบลิเวีย  เปรู  กัวเตมาลา  โดยใช้นโยบายต่อต้านคอมมิวนิสต์มาบังหน้า    พยายามโค่นล้มการปฏิวัติคิวบา    สนับสนุนชนชั้นนายทุนปลุกปั่นประชาชน เวเนซูเอลลาให้โค่นล้มประธานาธิบดีชาเวชคนปัจจุบัน (เนื่องมาจากการสูญเสียอิทธพลและผลประโยชน์ประโยชน์อย่างมหาศาลโดยเฉพาะเรื่องน้ำมัน)

ในเอเชีย
อเมริกาได้แผ่อิทธิพลของตนเข้าครอบคลุมย่านเอเชียแปซิฟิคแทนญี่ปุ่นที่แพ้สงคราม   สหรัฐสนับสนุนอาวุธและเงินที่ปรึกษาทางทหารแก่กองทัพของเจียงไคเชคทำสงครามต่อต้านการปฏิวัติจีน     หลังจาก พคจ.ปลดปล่อยประเทศจีนแล้ว     นโยบายปิดล้อมจีนก็เกิดขึ้น   แต่ถ้าจะมองให้ลึกๆก็คืออเมริกาต้องสูญเสียผลประโยชน์อย่างมหาศาลต่อการที่ต้องสูญเสียตลาดจีน เพียงแค่ระบายสินค้าก็สามารถทำกำไรได้อย่างมากมายแล้ว     สหรัฐฯได้ตั้งองค์กรร่วมมือกันทางทหารขึ้นในภูมิภาคเอเซียตะวันออกเฉียงใต้คือ องค์กรซีโต้ขึ้นโดยนัยเพื่อสกัดกั้นการขยายตัวของลัทธิคอมมิวนิสต์    ซึ่งอเมริกาเห็นว่าเป็นศัตรูต่อระบอบขูดรีดของตน   สนับสนุนรัฐบาลที่มาจากการรัฐประหารหรือรัฐบาลที่เป็นเผด็จการของประเทศต่างๆโดยเฉพาะในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ซึ่งในระยะนี้เป็นนโยบายทางการทหารเสียเป็นส่วนใหญ่    หนุนช่วยรัฐบาลหุ่นเกาหลีใต้   เข้ามามีอิทธิพลแทนฝรั่งเศสในเวียดนาม   อันเป็นชนวนของสงครามเวียดนามและก็ต้องพ่ายแพ้ในที่สุด 

สหรัฐใช้นโยบาย  ดุลแห่งความมั่นคง” ตลอดเวลา   ต่อประเทศที่การเมืองภาคประชาชนเข้มแข็งจะใช้นโยบายประชาธิปไตย  สิทธิมนุษยชนนำหน้า    ประเทศที่ภาคประชาชนอ่อนแอ แตกแยกกันเนื่อง  มาจากประชาชนประกอบไปด้วยลัทธิศาสนาและกลุ่มชาติพันธ์ต่างๆ    ก็จะใช้วิธีหนุนฝ่ายหนึ่งสู้รบกับอีกฝ่ายหนึ่งโดยอ้างเรื่องที่อ่อนไหวในสังคมนั้นๆมาเป็นข้ออ้างเช่นนิกายศาสนา  ลัทธิชาตินิยม   สิทธิมนุษยชนกับการกดขี่ชนชาติส่วนน้อย      โค่นล้มรัฐบาลอิรักหลังจากอ่อนเปลี้ยจากการทำสงครามกับอิหร่าน     การแซงชั่นอิหร่าน เพราะประชาชนอิหร่านทำการปฏิวัติโค่นล้มพระเจ้าชาห์ที่เป็นพันธมิตรของตนลงไป    กล่าวหาใส่ร้าย ซัดดัม ฮุสเซน (เพราะใช้สอยประโยชน์อะไรไม่ได้แล้ว)   การพยายามจะโค่นล้มรัฐบาล อัดซาด ของซีเรีย     สนับสนุนอิสราเอลยึดครองดินแดนปาเลสไตน์   ที่ราบสูงโกลันของซีเรีย (ขณะนี้อิสราเอลเริ่มขุดเจาะน้ำมันแล้ว)    การยึดครองฝั่งตะวันตกของแม่น้ำจอร์แดน     อเมริกาใช้นโยบายนี้ก็เพราะต้องการสร้างอิทธิพลขึ้นในภูมิภาคต่างๆเพื่อรักษาผลประโยชน์ของตน   สงครามเย็นรอบแรกจบลงที่การล่มสลายของสหภาพโซเวียต         

สงครามเย็นรอบใหม่ได้เริ่มต้นขึ้นแล้วซึ่งจะเน้นหนักไปในด้านพลังงานและเศรษฐกิจการเงิน     ในที่นี้จะขอกล่าวถึงสงครามด้านพลังงานก่อน   ซึ่งถือว่าเป็นทรัพยากรที่เป็นยุทธปัจจัยสำคัญที่สุดของประเทศอุตสาหกรรมโดยเฉพาะอย่างยิ่งน้ำมันและแก๊ส    สงครามในอิรักและซีเรียนั้นไม่ใช่เรื่องของการโค่นล้มเผด็จการเพื่อประชาธิปไตย หรือเพื่อสิทธิมนุษยชนตามที่สหรัฐและสื่อตะวันตกใช้กล่าวอ้าง   หากแต่เป็นการต่อสู้กันเพื่อแย่งชิงแหล่งพลังงาน    ค่ายตะวันตกโดยเฉพาะที่มีอเมริกาเป็นหัวโจกนั้นพยายามรุกเรื่องนี้มานานแล้ว     เพราะตะวันออกกลางนั้นเป็นพื้นที่ๆอุดมสมบูรณ์ไปด้วยน้ำมันและแก๊สธรรมชาติ    การเข้าไปมีอิทธิพลในย่านนี้ถือว่าเป็นยุทธศาสตร์ของสหรัฐเลยทีเดียว  พันธมิตรที่ไว้ใจได้ของสหรัฐก็คือซาอุดิอาระเบียและประเทศ(กลุ่มอ่าว/การ์ตา บาห์เรน สหรัฐอาหรับอิมิเรตส์)ในแถบนั้น

เรื่องใดที่ขัดต่อผลประโยชน์ของตน     หรือเป็นผลประโยชน์ของคู่แข่งขันสหรัฐจะต้องหาทางขัดขวางทำลาย      อย่างเช่นกรณีโครงการท่อแก๊สอาหรับ(Arab Gas Pipeline)  ที่วางแนวผ่านเมือง อเลโป ภาคเหนือของซีเรีย  ไปยังเมืองฮอมส์(ซีเรียแล้วแยกไปยังเมืองทริโปลีชายฝั่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียนของเลบานอน สู่ดามัสกัส(ซีเรียอัลริฮาบ(จอร์แดนอัมมาน(จอร์แดน) อากาบา(จอร์แดนข้ามอ่าวอากาบาไปยังเมืองทาบาของอียิปห์แล้วไปออกทะเลเมดิเตอร์เรเนียนที่เมืองอาริชในฉนวนฉนวนกาซาโดยไม่ผ่านดินแดนอิสราเอล      ถ้าโครงการนี้สำเร็จลุล่วงไปจะสร้างความเข้มแข็งให้แก่ชาติอาหรับที่เป็นพันธมิตรกับรัสเซียโดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศซีเรีย    โดยรวมแล้วรัสเซียจะมีความมั่นคงในภูมิภาคนี้มากยิ่งขึ้น   ดังนั้นการทำสงครามโค่นล้มประธานาธิบดี อัล อัดซาด ของซีเรียจึงเป็นหนทางเดียวเท่านั้นที่จะหยุดโครงการนี้ลงได้เพราะท่อแก๊สจะทอดผ่านซีเรียยาวถึง 1200 กม     เป็นการทำลายพันธมิตรของรัสเซียไปในตัว     สาเหตุที่แท้จริงของสงครามคือต้องการทำลายอิทธิพลของรัสเซียในภูมิภาคนี้   การโค่นล้มเผด็จการอัดซาดนั้นเพราะต้องการให้พันธมิตรของตนได้ครองอำนาจแทนเพื่อควบคุมได้ง่ายขึ้น (เช่นเดียวกันกับกรณียูเครน และใช้ความขัดแย้งในนิกายศาสนาเป็นข้ออ้าง   ซึ่งก็ตรงกับความต้องการของทหารซีเรียกลุ่มหนึ่งที่นับถือนิกายสุหนี่    อัดซาดเองนั้นนับถือนิกาย อัลลาไวท์ ซึ่งเป็นนิกายชิอะห์สาขาหนึ่ง    ทหารกลุ่มนี้อ้างว่าอัดซาดสั่งให้สังหารประชา ชนที่เดินขบวนประท้วงรัฐบาล   แต่พวกตนไม่ส่ามารถทำเช่นนั้นและไม่สามารถกลับไปได้จึงต้องหลบหนีมาตั้งกองกำลังต่อสู้กับกลุ่มอัดซาด     

ในขบวนต่อต้านประธานาธิบดีอัดซาด มีนักรบหลายกลุ่มเข้าร่วมด้วยทั้งอัล กออิดะห์(สาขา)หรือกลุ่มไอซิส  กลุ่ม อัล นุสรา ฯลฯ  แต่ละกลุ่มต่างไม่ยอมรับการนำของผู้อื่น  การต่อสู้จึงมีลักษณะเป็นอนาธิปไตย   ไม่มีวินัย   บางครั้งขัดแย้งกันถึงกับรบกันเอง  สงครามได้ทำลายทั้งเมืองอเลโป ฮอมส์ และดามัสกัสรอบนอก พินาศย่อยยับไปแล้ว  ประชาชนอิรักต้องกลายเป็นผู้ลี้ภัยนับล้านคน  ขณะนี้กลุ่มที่มีอำนาจและบทบาทมากที่สุดก็คือกลุ่ม ไอซิส ที่เป็นกลุ่มอนุรักษ์นิยมสุดขั้วที่ได้รับการสนับสนุนทั้งเงินและอาวุธจากซาอุดิอาระเบีย บาร์เรน กาตาร์   แม้จะยังโค่นอัดซาดไม่สำเร็จแต่โครงการท่อส่งแก๊สนี้ก็ไม่สามารถดำเนินการต่อไปได้จนกว่าจะเกิดสันติภาพซึ่งจะเป็นเมื่อไหร่ก็ไม่มีใครรู้     เท่านั้นยังไม่พอหากเผด็จศึกได้แล้วอาจมีรัฐใหม่เกิดขึ้นในอิรักและซีเรีย   การทิ้งระเบิดกลุ่ม ISIS ที่เป็นข่าว  ...เป้าหมายที่แท้จริงก็คือการทำลายโครงสร้างพื้นฐานของซีเรีย     ไม่ว่าสงครามจบลงแบบใด  กว่จะกู้สภาพประเทศให้กลับมาได้คงใช้เวลาไม่ต่ำกว่า 20 ปี    ผู้ที่ได้รับเคราะห์กรรมหนักที่สุดเห็นจะเป็นประชาชนชาวซีเรียโดยเฉพาะสตรีและเด็กๆ  เป็นการสูญเสียอย่างประเมินค่าไม่ได้

อีกโครงการหนึ่งก็คือโครงการท่อส่งน้ำมันและแก๊ส  TAPI  เริ่มต้นทางที่  เติร์กเมนนิสถาน  เข้าสู่ อัฟกานิสถาน   ปากีสถาน   อินเดีย  เติร์กเมนนิสถานนั้นเป็นประเทศอดีตสหภาพโซเวียตที่อุดมสมบูรณ์ไปด้วยแก๊สธรรมชาติ เมื่อสหภาพโซเวียตล่มสลายลงจึงเป็นโอกาสที่อเมริกาจะเข้าไปแทรกแซงได้สะดวกยิ่งขึ้น    ในอัฟกานิสถานก็ได้สนับสนุนกลุ่มอนุรักษ์นิยม ตาลีบาน ทำสงครามกับสหภาพโซเวียตที่เข้ามาช่วยเหลือสนับสนุนรัฐบาลมาร์กซิส อัฟกานิสถานของ  ป.นาจิบุลเลาะห์       ส่วนปากีสถานนั้นเป็นพันธมิตรกับสหรัฐมาแต่เดิมอยู่แล้ว       แม้จะไม่ได้ผลประโยชน์โดยตรงแต่ถ้าสามารถดึงเติร์กเมนนิสถานออกมาจากอิทธิพลของรัสเซียได้นั้น  ถือว่าเป็นผลประโยชน์สูงสุดทีเดียว     เป็นที่ทราบกันโดยทั่วไปและมีหลักฐานยืนยันว่า  ตาลีบันและอัล กออิดะห์นั้น   หน่วยงานบางหน่วยของสหรัฐอเมริกาให้การสนับสนุนอยู่ 

รัสเซียเองก็พยายามจะรักษาแหล่งพลังงานของตนที่เคยมีเอาไว้  เพรารู้ดีว่าในภูมิภาคนี้ทั้งที่ยังเป็นดินแดนของรัสเซียและประเทศอดีตสหภาพโซเวียตเป็นแหล่งผลิตน้ำมันและแก๊สขนาดมหึมาพอๆกับแหล่งไซบีเรียและมีมีตลาดในยุโรปรองรับอยู่    เป็นแหล่งรายที่จะมาช่วยพยุงเศรษฐกิจรัสเซียที่กำ ลังประสบกับภาวะถดถอยให้กระเตื้องขึ้นได้   และถือได้ว่าเป็นอำนาจต่อรองที่สำคัญมากของรัสเซีย   เพราะกลุ่มประเทศยุโรปต่างใช้แก๊สจากรัสเซียแทบทั้งสิ้น    บางประเทศอาศัยทั้ง 100% สรุปก็คือความไม่่สงบใน
 แถบภูมิภาคนี้มีสาเหตุมาจากการแย่งชิงทรัพยากรกันระหว่างมหาอำนาจนั่นเอง

สำหรับจีนที่ผงาดขึ้นมาเป็นมหาอำนาจในขณะนี้อเมริกาถือว่าเป็นคู่แข่งหมายเลขหนึ่งของตนเท่าๆกับ  รัสเซียเช่นกัน    อเมริกาจึงอ้างว่ามีความจำเป็นในการเข้ามาจัดสมดุลในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิค  โดย นัยว่าเพื่อปกป้องพันธมิตรของตนที่หวาดกลัวการเติบใหญ่ของจีน   เราเคยได้ยินมาตลอดระยะเวลากว่า 20 ปีว่าอเมริกาใช้นโยบายปิดล้อมจีน    แต่เราไม่ค่อยจะได้คิดว่า..ทำไม  จริงๆแล้วอเมริกาใช้มาตรการทั้งปิดล้อมและแทรกแซงจีนมาตลอด      อเมริกามีส่วนเกี่ยวข้องในหลายๆเหตุการณ์ ไม่ว่าจะเป็นกรณีเทียนอันเหมิน   ลัทธิฟาหลุนกง  กรณีพิพาทดินแดนกับประเทศอื่นๆในทะเลจีนใต้ก็ดี  ล่าสุดก็คือการเรียกร้องให้มีการเลือกตั้งโดยเสรีในฮ่องกง      

กรณีพิพาทเกาะเตียวหยู/เซ็นกากุ      
เมื่อเศรษฐกืจของจีนดีขึ้นเส้นทางการเดินเรือในทะเลจีนใต้ก็ขยายตัวเพิ่มขึ้น   มีความหนาแน่นประมาณ 40 % ของเส้นทางการเดินเรือของโลก ใครครอบครองเกาะเตียวหยู/เซนกากุได้ถือว่าควบคุมเส้นทางเดินเรือพาณิชย์และเส้นทางยุทธศาสตร์ในทะเลจีนใต้ได้ทั้งหมด      จีนเองก็ไม่มีศักยภาพเพียงพอที่จะต่อกรกับสหรัฐและพันธมิตรในย่านนี้ได้    และในปัจจุบันจีนเป็นลูกค้าพลังงานรายใหญ่ของโลกประเทศหนึ่ง     เพื่อประกันผลประโยชน์ของตนในเรื่องพลังงานจึงอาศัยความขัดแย้งระหว่างอเมริกากับอิหร่านมาใช้ให้เป็นประโยชน์    เมื่อสหรัฐบอยคอตอิหร่านจีนจึงสามารถซื้อน้ำมันจากอิหร่านได้ในราคาถูกกว่าในท้องตลาด  ซึ่งจีนเองก็รู้ว่าเส้นทางลำเลียงน้ำมันของตนจากอิหร่านและตะวันออกกลางตนกำลังถูกคุกคาม      เพื่อแก้ปัญหาเรื่องนี้จึงได้เจรจาร่วมมือกับรัสเซียในด้านพลังงานอีกทางหนึ่ง

ในการแก้ไขข้อพิพาทดินแดนในทะเลจีนใต้  จีนยืนยันในการเจรจาข้อพิพาทในลักษณะทวิภาคีกับแต่ละประเทศเท่านั้น   ไม่ยอมเจรจากับประเทศกลุ่มประเทศอาเซียนเพราะรู้ว่าประเทศเหล่านี้ สหรัฐมีอิทธิพลของครอบงำอยู่     อีกด้านหนึ่งก็ใช้นโยบายลงใต้โดยผ่าน   ลาว  ไทย  พม่า   ขณะนี้บางโครงการในพม่าได้หยุดชะงักลง        การสู้รบระหว่างพม่ากับชนชาติส่วนน้อยที่สงบมานานกลับประทุขึ้นอีก   แม้จะไม่ใช่เรื่องที่ใหญ่โตเป็นข่าวคึกโครมในระดับภูมิภาค    แต่ก็เป็นเรื่องที่น่าสังเกตุว่าทำไมเขตปกครองตนเองของชนชาติส่วนน้อยโกก้างที่มีกำลังทหารเพียงสองพันคน  จึงอาจหาญสู้รบกับพม่าจึงเป็นสิ่งที่ควรติดตามต่อไป

การที่จีนจะลงทุนรถไฟความเร็วสูงสาย ปักกิ่ง-มอสโคว์ นั้นก็เป็นทางเลือกหนึ่งในการเชื่อมยุโรปและเอเซียเข้าด้วยกัน  เป็นการเสริมนโยบายเรื่อง EEU ด้วย   EEU  คือองค์กรร่วมมือกันทางเศรษฐกิจ ย่อมาจาก Eurasian Economic  Union     ก่อตั้งขึ้นเมื่อวันที่  29,พฤษภาคม 2014   มีประเทศรัสเซีย  เบลารุส และคาซัคสถาน  เป็นสมาชิกก่อตั้ง   ประเทศอาร์มีเนีย(อดีตสาธารณรัฐโซเวียต)เข้าร่วมในเดือนตุลาคม  และคีร์กิสสถาน(อดีตสาธารณรัฐโซเวียต)เข้าร่วมในเดือนธันวาคม   มีพลเมืองรวมกันแล้ว 170 ล้านคนและได้เริ่มดำเนินการไปแล้วตั้งแต่เดือน มกราคม 2015   และในอนาคตคาดว่าจีนจะเข้าร่วมเป็นสมาชิกด้วย    ถ้าเป็นเช่นนั้น EEU ก็จะถือว่าเป็นเขตเศรษฐกิจใหม่ที่ใหญ่มากแห่งหนึ่งของโลกและจะเป็นการบั่นทอนพลังอำนาจทางเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกาอย่างมาก      จึงถูกกล่าวหาจากสหรัฐฯและกลุ่มนาโต้ว่าเป็นการรื้อฟื้นสหภาพโซเวียตขึ้นมาใหม่  

สงครามการเงิน
สืบเนื่องมาจากเศรษฐกิจที่ย่ำแย่ที่บุชได้ทิ้งปัญหาไว้เนื่องจากใช้จ่ายดำเนินการทางทหารมากเกินไป  ตั้งแต่ในอิรัก  อัฟกานิสถาน และที่อื่นๆ    เพราะสหรัฐมีฐานทัพอยู่มากมายทั่วโลกทำให้เศรษฐกิจย่ำแย่ลงมาก   ต้องใช้มาตรการทางการเงิน(Q E/Quantitative  Easing) มาแก้ไขปัญหาเพื่อให้เกิดความสมดุลในสภาวะที่เศรษฐกิจถดถอย เช่นการออกพันธบัตร  พิมพ์ธนบัตร ฯลฯ   

หลังสงครามโลกครั้งที่สองสหรัฐฯเป็นประเทศที่มีอิทธิพลต่อโลกอย่างมากทั้งด้านการเมือง เศรษฐกิจ และการทหาร   มีอิทธิพลในธนาคารโลก    กองทุนระหว่างประเทศ IMF   การซื้อขายสินค้าทั่วไปจะอิงเงินสกุลดอลล่าร์เสียเป็นส่วนใหญ่       เศรษฐกิจทุนนิยมในปัจจุบันพัฒนาจากการส่งออกทุนมาเป็นการส่งออกเทคโนยีและเงินตราอีกด้วย      เป็นการปล้นชิงแบบใหม่คือการเก็งกำไร พร้อมกับความพยายามที่จะทำให้เศรษฐกิจโลกเป็นระบอบทุนนิยมทั้งหมดโดยสร้างคำว่าโลกาภิวัฒน์หรือ Globallization  มาบังหน้า ใครก็ตามที่จะเข้ามาตัดทอนมาตรการทางการเงิน  หรือสร้างอุปสรรคให้แก่ทุนการเงินของสหรัฐมักจะถูกโค่นล้มอยู่เสมอๆดังเช่นกรณีของ กัดดาฟี เมื่อประเทศลิเบียร่ำรวยขึ้นก็มีโครงการทางการเงินโดยชักชวนประเทศในอัฟริกาเหนือให้เข้าร่วมมือกันทางด้านเศรษฐกิจ  โดยใช้สกุลเงินของตนคือ ดีนาร์ ทองคำ เป็นหลักประกันร่วมกัน   กัดดาฟีจึงถูกสร้างให้เป็นผู้ก่อการร้ายระดับโลกไปในที่สุด

ผู้นำอย่างกัดดาฟี  ที่ทำให้ลิเบียภายใต้การปกครองของเขาเจริญรุ่งเรืองประชาชนมีชีวิตที่ดีขึ้น    ด้วย นโยบายเร่งด่วนของเขาก็คือทำให้ประชาชนทุกครอบครัวต้องมีบ้านอยู่อาศัยเพราะถือว่าเป็นเรื่องธรรม ชาติที่พื้นฐานที่สุดในการดำรงชีวิต    ประชาชนได้รับการศึกษา การรักษาพยาบาล  ไฟฟ้าฟรี   ใช้น้ำมันราคาถูก     ยกระดับการรู้หนังสือของประชาชนจาก 27 % ขึ้นเป็น 87 %  คนเช่นนี้กลับถูกมองว่าเป็นผู้ก่อการร้ายและถูกกล่าวหาใส่ร้ายนานาประการ อย่างน้อยที่สุดเราควรจะประเมินตัวบุคคลทั้งด้านจริย ธรรมและผลงานของเขาที่ทำให้ประชาชนลิเบียควบคู่กันไป จึงมีคำถามว่าเมื่อล้มกัดดาฟีลงไปแล้วลิเบียมีความสงบสุขหรือไม่?     เช่นเดียวกับแนวคิด  เอเชีย บอนด์  ของคุณทักษิณก็จะเป็นสาเหตุหนึ่งที่ถูกโค่นล้มหรือเปล่าเรื่องนี้ยังเป็นที่สงสัยอยู่เหมือนกัน    

อย่างที่กล่าวมาแล้วว่าระบอบเศรษฐกิจแบบทุนนิยมในปัจจุบันมีลักษณะเก็งกำไรกันสูงมาก และแน่นอนความความเสี่ยงก็สูงเช่นเดียวกัน       ราคาทองคำขณะนี้เป็นราคาจริงหรือไม่     โดยหลักๆแล้วทองคำทำหน้าที่เป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยน  เป็นตัวค้ำประกันราคาของเงินตรา(กระดาษ)   และใช้เป็นทุนสำรอง   แต่มีคนคิดว่ามันไม่เป็นธรรมประเทศที่มีทองคำมากก็จะได้เปรียบจึงจำเป็นต้องลดความสำคัญของทองคำลง        สิ่งที่ระบอบทุนนิยมทำก็คือสร้างตลาดใหม่ขึ้นมาโดยมีการซื้อขายทองอย่างไม่จำกัดนั่นคือการซื้อขายล่วงหน้านั่นเอง  ตลาดน้ำมันก็ทำแบบนี้มีการซื้อขายแบบเดียวกัน     ทำให้ทองกระดาษมีมากมายท่วมท้นมีขายไม่อั้น      ราคาทองที่แท้จริงจึงถูกตรึงไว้ที่ราคาเทียม(ราคาจริงสูงกว่า) ตลาดจะตรึงราคาไว้ที่ประมาณ 1200-1400 เหรียญต่อ 1 ออนซ์    ผู้ที่รู้เท่าทันอย่างรัสเซีย จีน ญี่ปุ่น ฯลฯ ก็แอบซื้อทองจริงเก็บไว้อย่างเงียบๆมาหลายปีแล้ว   เยอรมัน ฝรั่งเศส  เนเธอร์แลนด์ ฯลฯ ก็เรียกทอง(แท้)คืนจากอเมริกา     เหตุผลก็คือในช่วงหลายปีที่ผ่านมาเศรษฐกิจของอเมริกาแย่ลงเรื่อยๆมีหนี้สินมากมายมหาศาล และหนี้ส่วนมากก็เป็นหนี้จีน ญี่ปุ่น และตะวันออกกลาง      ค่าเงินสกุล dollar ก็ยิ่งจะด้อยมูลค่าลงไปทุกวัน     รัสเซียกับจีนก็จับมือกันด้วยการซื้อขายสินค้าด้วยสกุลเงินของตนไม่อิงดอลลาร์ดูเหมือนว่ามีหลายประเทศเห็นดีและเข้าร่วมด้วยเรื่องนี้ย่อมเป็นผลลบต่อเศรษฐกิจอเมริกา            
ยุโรปและเอเซียกลาง
หลังจาก การสลายตัวของสหภาพโซเวียต   อเมริกาได้โอกาสที่จะเข้ามาแทรกแซงยุโรปอย่างจริงจังโดยอาศัยนาโต้เป็นหัวหอก   โปแลนด์ ยูเครน  ลิทัวเนีย ฯลฯเป็นกองหน้า     มีการดึงประเทศอดีตค่ายตะวันออกเกือบจะทั้งหมดเข้าเป็นสมาชิก นาโต้  และ  อียู     การที่สหรัฐจะดำรงความยิ่งใหญ่ของตนไว้ได้มีหนทางเดียวคือบ่อนทำลายคู่แข่งของตนให้อ่อนแอลง      นั่นก็คือใช้วิธีสร้างความปั่นป่วนวุ่นวายขึ้นในสาธารรัฐต่างๆที่มีพรมแดนติดกับรัสเซียโดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศที่เคยเป็นสาธารณรัฐในอดีตสหภาพโซเวียตมาก่อน      นั่นจึงเป็นคำตอบที่ว่า...ทำไมรัสเซียจึงต้องเข้าไปเกี่ยวข้องด้วยในความขัดแย้งนั้นๆ        

ในการบ่อนเซาะรัสเซียสหรัฐได้เปิดแนวรบในทางยุทธศาสตร์ไว้ 3 แนว  แนวแรก ได้เกิดขึ้นแล้วคือความวุ่นวายและสงครามในประเทศยูเครน      แนวทีสอง คือความขัดแย้งในข้อพิพาทดินแดนแคว้น นาโกโน-คาราบัค  ระหว่างอาร์เมเนีย กับ อาเซอร์ไบจาน ปัญหานี้หากรัสเซียจัดการไม่ดี..ไม่เป็น กลาง จะเป็นการบ่อนเซาะนโยบายต่างประเทศของรัสเซียที่มีต่อประเทศในแถบคอเคซัสให้หมดความเชื่อถือลงไปได้   เพราะทั้งสองประเทศต่างก็เคยเป็นประเทศในอดีตสหภาพโซวียตมาก่อน   แนวที่สาม กำลังเปิดฉากขึ้นที่เอเซียกลางที่อุดมไปด้วยน้ำมันและแก๊สธรรมชาติจุดที่อ่อนอ่อนไหวที่สุดก็คือ ประเทศอัฟกานิสถาน  เติร์กเมนิสสถาน  อุซเบค คิซสถาน  รวมไปถึง ซินเกียง-อุยรกูร์ ของจีนด้วย

ทางด้านเศรษฐกิจรัสเซีย  ได้ก่อตั้งองค์กรร่วมมือกันทางเศรษฐกิจคือ  Eurasian Economic Union  หรือ EEU. ขึ้นเพื่อเป็นการถ่วงดุลกับสหภาพยุโรป EU    ขึ้นเมื่อวันที่  29,พฤษภาคม 2014 โดยมีประเทศรัสเซีย  เบลารุส  และคาซัคสถาน  เป็นสมาชิกก่อตั้ง   ประเทศอาร์มีเนีย(อดีตสาธารณรัฐโซเวียต) และคีร์กิสสถาน(อดีตสาธารณรัฐโซเวียต)เข้าร่วมในเดือนตุลาคมและเดือนธันวาคม ตามลำดับ        มีพลเมืองรวมกันประมาณ 170 ล้านคนและได้เริ่มดำเนินการไปตั้งแต่  มกราคม 2015      ในอนาคตคาดว่าจีนจะเข้าร่วมเป็นสมาชิกด้วย    ถ้าเป็นเช่นนั้น EEU ก็จะถือว่าเป็นเขตเศรษฐกิจใหม่ที่ใหญ่มากแห่งหนึ่งของโลกและจะเป็นการบั่นทอนพลังอำนาจทางเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกาลงอย่างมาก     จึงถูกกล่าวหาจากสหรัฐฯและกลุ่มนาโต้ว่าเป็นการรื้อฟื้นสหภาพโซเวียตขึ้นมาใหม่     

เอเซียตะวันออกเฉียงใต้
การแข่งขันช่วงชิงกันทั้งทางด้านการทหารและ เศรษฐกิจการลงทุน  การเมืองระหว่างสองมหาอำนาจ ไม่เพียงแต่จะมีผลกระทบต่อประเทศไทยเท่านั้น หากแต่ยังส่งผลกระทบถึงชาติต่างๆในสมาคมอาเซียนทั้งหมดด้วย  นางซูซาน ไร้ซ ที่ปรึกษาความมั่นคงแห่งชาติได้กล่าวไว้ว่า  ชาติต่างๆในเอเซียตะวันออกเฉียงใต้นั้นยังคงและจะเป็นที่สนใจของอเมริกาในการสร้างความสมดุลขึ้นใหม่”    ซึ่งฟังดูรู้สึกว่าดี   แต่ในความเป็นจริงนั้นก็คือการแข่งขันกันในด้านการทหาร เศรษฐกิจ และการลงทุนของสหรัฐกับจีน  โดยเฉพาะอย่างยิ่งการช่วงชิงกันในการเป็นอภิมหาอำนาจทางเศรษฐกิจ   เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่มีประชากร 625 ล้านคน  มีมูลค่าทางเศรษฐกิจรวมกันตั้งสองแสนห้าหมื่นล้าสนเหรียญ เป็นเรื่องที่มหาอำนาจอย่างสหรัฐฯไม่อาจมองข้ามไปได้

เมื่อสามปีมาแล้วรัฐมนตรีกลาโหมของสหรัฐได้ประกาศว่า  ภายในปี 2020  กองเรือสหรัฐในย่านเอเชีย-แปซิฟิคจะเพิ่มจำนวนขึ้นเท่าๆกับกองเรือในแอตแลนติค     นั่นแสดงให้เห็นว่าอเมริกามีความกังวลมากที่จะต้องสูญเสียความเป็นอภิมหาอำนาจของตนลงไปต่อการเติบโตของจีน   ตัวอย่างนโยบายต่างประ
เทศที่ก้าวร้าวของอเมริกาเช่น  การสร้างฐานทัพในเอเซีย  โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเอเซียตะวันออกเฉียงใต้    ในขณะที่จีนกำลังติดอยู่กับกรณีพิพาทในทะเลจีนใต้กับเวียดนามและฟิลิปปินส์     ในปัจจุบันนี้ สหรัฐมีฐานทัพอยู่ในสิงคโปร์ ฟิลิปปินส์ มีการซ้อมรบร่วมกันเป็นประจำในประเทศไทย     และมีกองเรือของตนอยู่ในทะเลจีนใต้       เมื่อปีที่แล้วประธานาธิบดี โอบามา ได้มาเยือนมาเลเซีย มีความพยายามเจรจาก็พยายามเสริมกำลังของตนโดยขอตั้งฐานทัพในมาเลเซีย   ในขณะเดียวกันก็ยกเลิกมาตรการห้ามขายอาวุธให้แก่เวียตนาม     ทางด้านการทหารนอกจากจะมีฐานทัพในเอเชียอาคเนย์แล้ว สหรัฐฯยังมี กำลังทหารติดอาวุธใน ออสเตรเลีย กวม เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น  แล้วยังมียุทธศาสตร์สำรองใน ตะวันออกกลางและมหาสมุทรอินเดีย     ทำให้สามารถคุยได้ว่าตนมีศักยภาพทางการทหารเหนือกว่าคู่แข่งอีกด้วย   ในปี 2014 สถาบันศึกษายุทธศาสตร์ระหว่างประเทศได้ร่ายงานว่า     งบประมาณประจำปีทางการทหารของสหรัฐ  มากกว่าจีนถึง 6 เท่า  

สงครามการค้า  
เมื่อปีที่ผ่านมาทั้งสองมหาอำนาจต่างเพิ่มการลงทุนและสนับสนุนการค้าในเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ อเมริกาเป็นคู่ค้ากับแต่ละประเทศในแถบนี้เพิ่มขึ้นถึง 71 % ตั้งแต่ปี 2001 ตามรายงานของธนาคาร โลก    จากหนึ่งแสนสามหมื่นเจ็ดพันล้านเหรียญ เป็นสองแสนสามหมื่นสี่พันล้านเหรียญในปี 2013  ในขณะที่การค้าระหว่างจีนกับอาเซียนเมื่อปี 2013  เป็นจำนวนสามแสนห้าหมื่นล้านเหรียญ  ปัจจุบันนี้สหรัฐฯเป็นผู้ลงทุนอันดับหนึ่งในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้     ส่วนจีนยังคงเป็นประเทศคู่ค้าอันดับหนึ่ง
ถ้าจะกล่าวถึงการลงทุนทั้งจีนและสหรัฐต่างพายามจะขยายเครือข่ายของตนขึ้นมาทั้งทางการค้าและการลงทุน  แต่ละประเทศต่างก็เลือกที่จะทำสัญญากับประเทศในอาเซียนแบบทวิภาคีมากกว่าที่จะทำร่วมกันทั้งหมดในนามอาเซียน  จีนเป็นหัวหอกในการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานในแถบนี้ซึงถือว่าเป็น ผงในตาของธนาคารโลกที่มีสำนักงานใหญ่อยู่ที่สหรัฐ(ในการขูดรีด)    สหรัฐยังรุกหน้าต่อไปทางด้านเศรษฐกิจ โดยเสนอแผนการก่อตั้งองค์กรค้าเสรีระหว่างประเทศที่เรียกว่าTrans-Pacific Partnership (TPP).ขึ้น แม้ว่าจะยังไม่สามารถตกลงกัน      แต่ถ้าสำเร็จก็จะเป็นเขตการค้าเสรีที่ใหญ่ที่สุดในโลก และมี 12 ประเทศใลงนามให้ความร่วมมือ เช่น  ออสเตรเลีย  แคนาดา  ชิลี  ญี่ปุ่น   เม๊กซิโก  เปรู  และสหรัฐอเมริกา   รวมไปถึง  บรูไน   มาเลเซีย  สิงคโปร์  และเวียตนาม จากเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ด้วย

การแข่งขันช่วงชิงกันเพื่อความเป็นอภิมหาอำนาจนั้น มีความหมายเป็นอย่างยิ่งสำหรับประชาชนในเอ เซียอาคเนย์ ซึ่งได้รับความเจ็บปวดมานานนับศตวรรษภายใต้จักรวรรดิทั้งเก่าและใหม่  ที่ประชาชนนับล้านๆคนต้องสังเวยชีวิตให้แก่รัฐต่างชาติ   ในสายตาของผู้สันทัดกรณีบางคนให้ความเห็นว่า  ประเทศทั้งหลายในอาเซียน  ย่อมไม่มีใครที่จะเลือกฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งอย่างแน่นอน  ต่างก็จะใช้โอกาสในการสร้างกำไรจากการแข่งขันนี้  (มองจากจุดยืนเสรีนิยม)  นักวิชาการจาก ม. วิคตอเรีย ออสเตรเลีย  ให้ความเห็นว่าองค์กรการค้าเสรี ที พี พี จะสร้างกำไรให้แก่คนส่วนหนึ่งเท่านั้น   คนรวยจะยิ่งรวยขึ้น คนจนจะยิ่งจนลง ที่น่าเศร้าคือไม่เพียงแต่เป็นการเก็งกำไรเท่านั้นหากแต่ตลาดขนาดใหญ่จะเกิดขึ้นในประเทศที่มีทุนน้อยซึ่งเข้าร่วมการค้าเสรีกับประเทศอย่างอเมริกา    ผู้ที่พ่ายแพ้ในเกมส์การแข่งขันระหว่างสองมหาอำนาจเห็นจะได้แก่คนจนทั้งมวล     มันเป็นสงครามเย็นรอบใหม่ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้      ซึ่งในที่สุดประเทศเหล่านี้จำต้องเลือกว่าจะเอาหยวนหรือดอลล่าร์?     จะเลือกจักรวรรดิใหม่หรือจักรวรรดิที่กำลังจะล่มสลาย ?  



No comments:

Post a Comment