อันตรายจากแนวคิดอนาธิปไตย..ในขบวนการต่อสู้ของประชาชน
มิตรสหายบางท่านได้นำเสนอวิธีปฏิบัติเพื่อเปลี่ยนแปลงสังคมต่อสาธารณะชน ว่าด้วยเรื่องการ เคลื่อนไหวต่อสู้ของประชาชนไทยโดยออกมาชี้นำถึงต่อสู้ว่าควรจะเป็นไปในรูปแบบใด แต่เมื่อได้ รับฟังความเห็น แนวคิด วิธีการที่ท่านได้นำเสนอแล้วรู้สึกผิดหวังและตกใจเป็นอันมาก เพราะเป็นการชี้นำให้ประชาชนลุกขึ้นสู้โดยไม่ต้องมีการจัดตั้ง ไม่มีองค์กรนำ
ไม่มีการบ่มเพาะจิตสำนึกทางการเมือง โดยประเมินเอาจากสายตาตนเองตามปรากฏการณ์และจำนวนของมวลชนที่เข้าร่วมการเคลื่อนไหวมาเป็นบรรทัดฐาน
ด้วยการคิดเอาเองว่าประชาชนมีความพร้อมแล้วที่จะลุกขึ้นมาต่อสู้เพื่อเปลี่ยนแปลงสังคม เป็นการมองอย่างผิวเผิน สนใจแต่ทางด้านปริมาณเพียงด้านเดียวโดยไม่ได้คำนึงถึงระดับคุณภาพหรือแก่นแท้ของมวลชนส่วนใหญ่เลย
แน่นอนการที่ประชาชนเป็นจำนวนมากเข้าร่วมเคลื่อนไหวต่อสู้ในระยะเวลาที่ผ่านมาเกือบสิบปีนี้ ส่วนใหญ่ได้มีการยกระดับความรับรู้ทางสิทธิผลประโยชน์ของตน ซึ่งถือได้ว่าเป็นเพียงอารมณ์ความรู้สึกในระดับพื้นฐานเท่านั้นแต่ยังไม่ถึงเป้าหมายที่แท้จริงของการเปลี่ยนแปลงสังคม ยังจะต้องใช้เวลาเรียนรู้และพัฒนาไปอีกสักระยะหนึ่งท่ามกลางการเคลื่อนไหวต่อสู้ที่เป็นจริง จนกระทั่งถึงขั้นที่แปรเปลี่ยนเป็นจิตสำนึกทางชนชั้นที่แท้จริงขึ้นมา แต่ก็ยังมีประชาชนเพียงบางส่วนซึ่งเป็นจำนวนน้อยมาก(หากจะเทียบอัตราส่วนกับมวลชนที่เข้าร่วมการเคลื่อนไหว
) ที่สามารถพัฒนาความรับรู้และจิตสำนึกของตนขึ้นมาได้พร้อมกับมีเป้าหมายทางอุดมการณ์ที่ชัดเจน และกำลังเสาะแสวงหาแนวทาง การนำของพรรคการเมืองที่เป็นกองหน้าของประชาชนที่แท้จริงอยู่ ในช่วงเวลาเช่นนี้...การเสนอการลุกขึ้นสู้แบบที่ไม่มีอุดมการณ์ทางการเมือง หวังเพียงแค่จะเปลี่ยนแปลงกลุ่มผู้ถือครองอำนาจโดยไม่เข้าใจถึงบทบาทและ”ดุล”กำลังทางการเมืองของแต่ละชนชั้นในสังคม และพลังขับดันทางชนชั้นนั้น เป็นความคิดอันตรายและมีแต่ความว่างเปล่า
การวิเคราะห์ความขัดแย้งหลักในสังคมไทยของท่านในหลายปีมานี้ ก็ยังยืนยันว่าเป็นความขัดแย้งระหว่างทุนใหม่กับทุนเก่าอยู่ทั้งๆที่
สถานการณ์ สภาพแวดล้อม ต่างๆในสังคมได้เปลี่ยนแปลงไปมากมายแล้ว สำหรับเรื่องนี้ยังเป็นเรื่องที่พอจะรับฟังกันได้แม้จะพูดมาหลายปีแล้วก็ตาม แต่การ อธิบายว่าทุนใหม่คือทุนนิยมโลกาภิวัฒน์ที่มีอดีตนายกฯทักษิณเป็นตัวแทน
ส่วนทุนเก่านั้นคือกลุ่มทุนผูกขาดอนุรักษ์นิยมที่มีชนชั้นสูงเป็นตัวแทน ดังนั้นประชาชนจะต้องหนุนทุนโลกาภิวัฒน์ไปต่อสู้กับทุนเก่า..อะไรทำนองนี้
เราเห็นด้วยกับการร่วมมือกับกลุ่มทุนที่มีศัตรูร่วมกันกับประชาชน แต่ต้องมีลักษณะร่วมมือกันเพียงบางครั้ง บางเรื่อง และบางโอกาสเท่านั้น
เราไม่เห็นด้วยที่ท่านจำแนกกลุ่มทุนอย่างหยาบๆเช่นนี้ เพราะเราไม่เคยมีความหวังที่จะเปลี่ยนแปลงพวกเขาไปสู่ความ
“ก้าวหน้า” ได้ สำหรับเราแล้วไม่ว่าทุนเก่าหรือทุนใหม่ก็ล้วนแต่มีลักษณะสำคัญร่วมกันอย่างหนึ่งก็คือการขูดรีดที่กระทำต่อพี่น้องประชาชน
จะต่างกันก็เพียงวิธีขูดรีดของมันเท่านั้น ในระยะนี้เราเห็นว่าความขัดแย้งหลักของสังคมไทยได้เปลี่ยนฐานะของมันไปแล้ว คู่ความขัดแย้งหลักกลายเป็นความขัดแย้งระหว่าง
ประชาชนผู้รักประชาธิปไตย กับ กลุ่มทุนผูกขาดศักดินาเหนือรัฐที่ยืนชี้นิ้วบงการอยู่เบื้องหลังพวกเผด็จการ
คำว่าโลกาภิวัฒน์นั้นเป็นเพียงการแสดงโวหารของพวกจักรวรรดิ์นิยมที่ใช้เป็นหน้ากากมาปกปิดใบหน้าที่ชั่วร้ายของตน กล่าวให้ให้ถึงที่สุดแล้วนักสร้างนโยบาย
(policy
makers) ผู้รับใช้จักรวรรดินิยมได้ประดิษฐ์คิดสร้างคำๆนี้ขึ้นมาก็เพื่อทำการขูดรีดประเทศอื่นๆให้ดูแนบเนียนขึ้น
และควบคู่กันไปกับความต้องการที่จะรักษาความเป็นพี่เบิ้มของตนเอาไว้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสหรัฐอเมริกาและพันธมิตรได้พยายามทำระบบเศรษฐกิจโลกให้อยู่ภายใต้การครอบงำของระบอบทุนนิยมแต่เพียงระบอบเดียว ซึ่งในความเป็นจริงย่อมเป็นไปไม่ได้.....อย่างที่ปรัชญาวัตถุนิยมวิภาษ
และวัตถุนิยมประวัติศาสตร์ได้อธิบายไว้
เท่าที่ฟังคำอธิบายเรื่องโลกาภิวัตน์ ก็พอจะเข้าใจถึงความสับสนของท่านในเรื่องนี้ คือเอาความความก้าวหน้าทางเทคโนยีมาอธิบายว่าเป็นทุนโลกาภิวัฒน์
โดยเข้าใจว่าพัฒนาการทางเทคโนโลยีในทางการผลิตในระบอบทุนนิยมคือตัวทุนโลกาภิวัฒน์ ในความเป็นจริง...ระบอบทุนนิยมก็เป็นเรื่องหนึ่งและพัฒนาการทางเทคโนโลยีนั้นก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง เพียงแต่มันมีความสัมพันธ์กันในกระ บวนการผลิตอย่างแยกไม่ออก
ไม่ว่าจะเป็นกระบวนการผลิตของระบอบสังคมแบบไหน สังคมทาสก็มีเทคโนโลยีในการผลิตแต่อาจจะไม่ก้าวหน้าเหมือนเทคโนโลยีในระบอบศักดินา เทคโนยีในสังคมศักดินาย่อมล้าหลังกว่าในสังคมทุนนิยม
เราเชื่อว่า..วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี่ไม่มีชนชั้น
อยู่ที่ว่าจะนำมันไปรับใช้ชนชั้นใดต่างหาก ตัวของระบอบทุนนิยมเอง..มันเกิดขึ้นและพัฒนามาจากพื้นฐานของความขัดแย้งของความสัมพันธ์ทางการผลิตที่ไม่สอดคล้องกันหรือขัดแย้งกันของสังคมเก่า...ซึ่งก็คือสังคมศักดินา
คราวนี้ก็มาถึงแนวคิดในการเปลี่ยนแปลงสังคมของอาจารย์ท่านนั้นที่เสนอว่า ประชาชนเราต้องสะสมกำลัง รอคอยโอกาสแล้วลุกขึ้นสู้ตามขั้นตอนทางยุทธศาสตร์ของท่านที่เรียกว่า
ขั้นเตรียมรุก (ขั้นตอนในการทำสงครามปฏิวัติจีนที่เหมาเจ๋อตุง ได้เสนอไว้ 3
ขั้น คือขั้นรับ...ขั้นยัน...ขั้นรุก ไม่มีขั้นเตรียม รุก) ท่านเน้นย้ำว่า วิธีของท่านนั้นไม่เหมือนกับยุทธศาสตร์ของ พคท.(พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศ ไทย)ในอดีต
ที่กำหนดยุทธศาสตร์ใหญ่ว่า ”ชนบทล้อมเมือง
และยึดเมืองในที่สุด” โดยมีการจัดตั้งมวลชน สร้างกองกำลังทหาร สร้างฐานที่มั่น สร้างเขตปลดปล่อย ฯลฯ แต่แนวทางของท่านต่างจาก
พคท. ไม่ต้องจัดตั้งมวลชน ไม่ต้องมีกองกำลัง การจัดตั้งของท่านก็คือการจัดตั้งทางความคิดเพราะมีคนที่ตาสว่างมากแล้ว ให้มวลชนตระตระเตรียมกำลัง รอคอยโอกาส
แล้วลุกขึ้นสู้
จากยุทธศาสตร์ขั้นรับก้าวกระโดดไปสู่ขั้นรุกเลย
แนวคิดเรื่องการจัดตั้งกองกำลังก็เช่นกัน ท่านกล่าวว่าไม่ต้องเสียเวลาไปจัดตั้ง อาศัยการลุกฮือขึ้นสู้ของประชาชนนี่แหละ ด้วยการเข้ายึดค่ายทหาร โรงพัก
หากประชาชนลุกขึ้นมาแล้วทหารแตง โม ตำรวจมะเขือเทศก็จะพากันออกมาช่วยประชาชนเอง เราจึงอยากจะให้ท่านระลึกถึงเหตุการณ์เมื่อปี
53 ที่มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจากการล้อมปราบมากมาย มันได้พิสูจน์แล้วว่า
ทหารแตงโม ตำรวจมะเขือเทศไม่เป็นจริง(ย้ำคำว่าไม่เป็นจริง) เป็นแค่โวหารในการปลุกระดมเท่านั้น
ท่านไม่เสนอให้มีการจัดตั้งไม่ว่าชนิดใดๆทั้งยังย้ำอย่างหนักแน่นว่า
“กว่าจะจัดตั้งและมีความเข้มแข็งได้ .จนตายก็ไม่เข้มแข็ง” นี่เป็นวิธีคิดที่ไม่ยอมศึกษาอีกทั้งยังดูเบาบทเรียนทางการต่อสู้ของประชาชนที่เกิดขึ้นในประวัติศาสตร์เลย
เราสนับสนุนการเคลื่อนไหวต่อสู้ของประชาชนในทุกรูปแบบ แต่เราไม่เห็นด้วยกับการลุกขึ้นสู้ที่ไม่มีองค์กรนำ ไม่มีการจัดตั้งมวลชน ไม่มีกองกำลัง คิดแต่จะอาศัยกำลังของผู้อื่น ซึ่งเป็นลัทธิหวังพึ่ง เราไม่ต้องการเห็นขบวนการของประชาชนต้องประสบกับความพ่ายแพ้และสูญเสียอีก เราอยากจะเรียนว่าการปฏิวัติเปลี่ยนแปลงสังคมไม่ใช่การชักชวนกันมาก่อจลาจล หรือปฏิวัติโดยใช้อารมณ์ความรู้สึกของตนเป็นที่ตั้ง เหมาเจ๋อตุงกล่าวไว้ว่า “การปฏิวัติไม่ใช่เป็นการเชิญคนมากินเลี้ยง”
แรกสุดเมื่อจะทำการปฏิวัติ หลีกไม่พ้นที่จะจะต้องมีองค์กรจัดตั้งที่มีลักษณะสู้รบ เป็นกองหน้าที่ไว้ใจได้ จะต้องมีกองกำลังที่เป็นจริง มีวินัยและมีจิตสำนึกปฏิวัติและต้องอยู่ในช่วงที่มีสถานการณ์ปฏิวัติ
การลุกขึ้นสู้โดยไร้การจัดตั้ง ไร้องค์กรนำ ไม่มีกองกำลัง ไม่มีสภาพแวดล้อมที่เป็น สถานการณ์ปฏิวัติ ก็เท่ากับว่าไม่มีอะไรเลยนอกจากความว่างเปล่าและเพ้อฝัน
ไม่น่าเชื่อว่า...ผู้ที่มีประสบการณ์อย่างมิตรสหายท่านนี้
จะเสนอแนวทางที่สุ่มเสี่ยงและเป็นอันตรายอย่างยิ่งเช่นนี้ออกมาได้ มันเป็นความคิดอนาธิปไตยโดยธาตุแท้เลยทีเดียว การลุกขึ้นสู้ในแนวทางของท่าน ไม่ว่าจะเกิดขึ้นที่ไหน เมื่อไหร่ ไม่เคยได้รับชัยชนะ (อาจจะชนะบ้างในบางยุทธภูมิในที่สุดก็ต้องแพ้ทางยุทธศาสตร์อย่างราบคาบ
) เลนินได้กล่าวไว้ว่า..การจัดตั้งคือภาคปฏิบัติของการปฏิวัติ. และเรามีความจำเป็นที่จะเลือกเชื่อวิธีการของเลนินผู้ที่นำการปฏิวัติรัสเซียไปสู่ชัยชนะมากกว่าวิธีของอาจารย์ท่านนี้
เราลองมาดูตัวอย่างของการลุกขึ้นสู้ของประชาชนในประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา
ทั้งที่มีและไม่มีการจัดตั้ง ทั้งที่มีและไม่มีองค์กรนำ ทั้งที่มีและไม่มีทฤษฎีชี้นำการปฎิวัติ เริ่มต้นที่กรุงโรมเมื่อสองพันปีที่ผ่านมา
เป็นการลุกขึ้นสู้แบบเป็นไปเองของเหล่าทาสที่มี
สปาร์ตาคัส เป็นผู้นำ ต้องพ่ายแพ้แก่กองทหารโรมันที่มีการจัดตั้ง มีวินัย
อย่างราบคาบ เหล่าทาสเสียชีวิตนับหมื่นๆคน(ทั้งในสนามรบและถูกไล่ล่า)
การลุกขึ้นสู้ของชาวนาในยุโรปสมัยกลางโดยเฉพาะอย่างยิ่งในเยอรมัน กองทัพชาวนาที่ต่างคนต่างพร้อมใจกันลุกขึ้นสู้แบบที่เป็นไปเอง ไร้การจัดตั้งต้องพ่ายแพ้แก่เหล่าอัศวินของชนชั้นศักดินาที่มีการจัดตั้ง
มีวินัย และมีทักษะในการสู้รบ ทำให้บรรดาชาวนาต้องเสียชีวิตไปนับแสนคน
การลุกขึ้นสู้ของ ปูกาเชฟ
ชาวนารัสเซียต้องพ่ายแพ้ต่อกองทหารของจักรพรรดินีคัธรินที่ 2 ในปี 1773 – 1774 ผลก็คือชาวนารัสเซียได้เสียชีวิตไปมากมาย การลุกขึ้นสู้ของชาวนาไทย ไม่ว่าจะเป็นสาเกียดโง้ง และใครต่อใครก็ต้องสังเวยชีวิตเหล่าสาวกไปไม่รู้เท่าไหร่
การลุกขึ้นสู้ของชาวนครปารีส
(คอมมูนปารีส) ในปี 1871 ที่นำโดยชนชั้นกรรมกร นักอนาธิปไตย
นักเสรีนิยม นักสังคมนิยม ที่ต่างคนต่างนำไม่มีเอกภาพทางความคิด ได้อำนาจอยู่ไม่นานก็ถูกล้อมปราบลงอย่างราบคาบ เสียชีวิตหลายหมื่นคน ถูกประหารชีวิต ถูกเนรเทศอีกไม่รู้เท่าไหร่
การลุกขึ้นสู้ของพรรคแรงงานสังคมประชาธิปไตยรัส
ที่มอสโคว์ ในปี 1905 ต้องพ่ายแพ้อย่างยับยับเยินต่อกองทหารของพระเจ้าซาร์ทั้งๆที่มี
พรรค มีกองกำลัง มีการจัดตั้ง ฯลฯ
การลุกขึ้นสู้ของขบวนการ
อี้เหอถวน (ขบวนการนักมวย) ถูกรัฐบาลแมนจูปราบปรามเสียจนราบคาบ การลุกขึ้นสู้ของพรรคคอมมิวนิสต์จีน ที่เซี่ยงไฮ้
ปี 1927 ถูกกองทหารของขุนศึกเจียงไคเชคปราบปรามอย่างโหดร้าย สมาชิกพรรคและผู้สนับสนุนถูกฆ่าและกวาดล้างนับหมื่นๆคน
จนต้องหนีขึ้นไปปักหลักต่อสู้บนเขาจิ่งกันซาน...ปรับเปลี่ยนยุทธศาสตร์ไปสู่การสร้างฐานที่มั่นในชนบท กระนั้นก็ยังถูกล้อมปราบ...จนต้องยอมละทิ้งฐานที่มั่นและเดินทัพทางไกลแล้วกลับมาสู้จนได้ชัยชนะ
ที่ยกตัวอย่างเหตุการณ์รูปธรรมในประวัติศาสตร์บางส่วนเกี่ยวกับการลุกขึ้นสู้ของประชาชนผู้ถูกกดขี่เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริงที่เกิดขึ้นจริง...เป็นบทเรียนที่เป็นจริงมานี้..พอจะเห็นว่า..แม้การลุกขึ้นสู้ที่มีการจัดตั้ง มีวินัย ภายใต้การนำของพรรคการเมืองของประชาชนอย่างพรรคแรงงานสังคมประชาธิปไตยรัสเซีย และพรรคคอมมิวนิสต์จีน ยังต้องประสบกับความพ่ายแพ้
แต่เพราะมีการจัดตั้งทั้งที่เป็นรูปธรรม (องค์กรจัดตั้งในทุกระดับของพรรค) และการจัดตั้งที่เป็นนามธรรม(การบ่มเพาะทางอุดมการณ์และจิตสำนึกทางชนชั้น)..
มีกองกำลังของตนเอง จึงสามารถฟื้นตัวขึ้นมาต่อสู้จนได้รับชัยชนะในที่สุด
ส่วนขบวนการอื่นๆที่ไม่มีการจัดตั้ง ไม่มีกองกำลัง ไม่มีองค์กรนำนั้นไม่สามารฟื้นตัวขึ้นมาต่อสู้ได้อีกเลย ผู้ถืออาวุธที่ไร้จิตสำนึกปฏิวัติขององค์กรอนาธิปไตยเหล่านั้น
บ้างก็ถดถอย บ้างก็กลายเป็น นักฆ่า อันธพาลทางการเมือง และไม่ใช่น้อยที่ยอมเป็นเครื่องมือรับใช้ชนชั้นปกครอง...ปฏิปักษ์ของตนที่เคยต่อสู้อย่างเอาเป็นเอาตายมาแล้วในอดีต
เราไม่อยากให้เกียรติภูมิของผู้ที่ยืนหยัดต่อสู้เยี่ยงนักปฏิวัติมาอย่างยาวนานต้องมัวหมองลง
หากท่านยังยืนยันยึดมั่นในแนวทางอนาธิปไตยของท่านว่าถูกต้อง ก็ต้องให้เวลาเครื่องพิสูจน์ และให้ประชาชนเป็นผู้ตัดสิน......
จึงเรียนมาด้วยความเคารพ
No comments:
Post a Comment