Tuesday, March 17, 2015

อันตรายจากแนวคิดอนาธิปไตย..

อันตรายจากแนวคิดอนาธิปไตย..ในขบวนการต่อสู้ของประชาชน

มิตรสหายบางท่านได้นำเสนอวิธีปฏิบัติเพื่อเปลี่ยนแปลงสังคมต่อสาธารณะชน       ว่าด้วยเรื่องการ เคลื่อนไหวต่อสู้ของประชาชนไทยโดยออกมาชี้นำถึงต่อสู้ว่าควรจะเป็นไปในรูปแบบใด    แต่เมื่อได้ รับฟังความเห็น แนวคิด วิธีการที่ท่านได้นำเสนอแล้วรู้สึกผิดหวังและตกใจเป็นอันมาก      เพราะเป็นการชี้นำให้ประชาชนลุกขึ้นสู้โดยไม่ต้องมีการจัดตั้ง    ไม่มีองค์กรนำ   ไม่มีการบ่มเพาะจิตสำนึกทางการเมือง       โดยประเมินเอาจากสายตาตนเองตามปรากฏการณ์และจำนวนของมวลชนที่เข้าร่วมการเคลื่อนไหวมาเป็นบรรทัดฐาน ด้วยการคิดเอาเองว่าประชาชนมีความพร้อมแล้วที่จะลุกขึ้นมาต่อสู้เพื่อเปลี่ยนแปลงสังคม      เป็นการมองอย่างผิวเผิน สนใจแต่ทางด้านปริมาณเพียงด้านเดียวโดยไม่ได้คำนึงถึงระดับคุณภาพหรือแก่นแท้ของมวลชนส่วนใหญ่เลย

แน่นอนการที่ประชาชนเป็นจำนวนมากเข้าร่วมเคลื่อนไหวต่อสู้ในระยะเวลาที่ผ่านมาเกือบสิบปีนี้   ส่วนใหญ่ได้มีการยกระดับความรับรู้ทางสิทธิผลประโยชน์ของตน   ซึ่งถือได้ว่าเป็นเพียงอารมณ์ความรู้สึกในระดับพื้นฐานเท่านั้นแต่ยังไม่ถึงเป้าหมายที่แท้จริงของการเปลี่ยนแปลงสังคม      ยังจะต้องใช้เวลาเรียนรู้และพัฒนาไปอีกสักระยะหนึ่งท่ามกลางการเคลื่อนไหวต่อสู้ที่เป็นจริง    จนกระทั่งถึงขั้นที่แปรเปลี่ยนเป็นจิตสำนึกทางชนชั้นที่แท้จริงขึ้นมา      แต่ก็ยังมีประชาชนเพียงบางส่วนซึ่งเป็นจำนวนน้อยมาก(หากจะเทียบอัตราส่วนกับมวลชนที่เข้าร่วมการเคลื่อนไหว )    ที่สามารถพัฒนาความรับรู้และจิตสำนึกของตนขึ้นมาได้พร้อมกับมีเป้าหมายทางอุดมการณ์ที่ชัดเจน   และกำลังเสาะแสวงหาแนวทาง การนำของพรรคการเมืองที่เป็นกองหน้าของประชาชนที่แท้จริงอยู่      ในช่วงเวลาเช่นนี้...การเสนอการลุกขึ้นสู้แบบที่ไม่มีอุดมการณ์ทางการเมือง    หวังเพียงแค่จะเปลี่ยนแปลงกลุ่มผู้ถือครองอำนาจโดยไม่เข้าใจถึงบทบาทและ”ดุล”กำลังทางการเมืองของแต่ละชนชั้นในสังคม     และพลังขับดันทางชนชั้นนั้น   เป็นความคิดอันตรายและมีแต่ความว่างเปล่า     

การวิเคราะห์ความขัดแย้งหลักในสังคมไทยของท่านในหลายปีมานี้    ก็ยังยืนยันว่าเป็นความขัดแย้งระหว่างทุนใหม่กับทุนเก่าอยู่ทั้งๆที่ สถานการณ์  สภาพแวดล้อม  ต่างๆในสังคมได้เปลี่ยนแปลงไปมากมายแล้ว      สำหรับเรื่องนี้ยังเป็นเรื่องที่พอจะรับฟังกันได้แม้จะพูดมาหลายปีแล้วก็ตาม  แต่การ  อธิบายว่าทุนใหม่คือทุนนิยมโลกาภิวัฒน์ที่มีอดีตนายกฯทักษิณเป็นตัวแทน     ส่วนทุนเก่านั้นคือกลุ่มทุนผูกขาดอนุรักษ์นิยมที่มีชนชั้นสูงเป็นตัวแทน     ดังนั้นประชาชนจะต้องหนุนทุนโลกาภิวัฒน์ไปต่อสู้กับทุนเก่า..อะไรทำนองนี้     เราเห็นด้วยกับการร่วมมือกับกลุ่มทุนที่มีศัตรูร่วมกันกับประชาชน    แต่ต้องมีลักษณะร่วมมือกันเพียงบางครั้ง  บางเรื่อง  และบางโอกาสเท่านั้น         เราไม่เห็นด้วยที่ท่านจำแนกกลุ่มทุนอย่างหยาบๆเช่นนี้          เพราะเราไม่เคยมีความหวังที่จะเปลี่ยนแปลงพวกเขาไปสู่ความ “ก้าวหน้า” ได้    สำหรับเราแล้วไม่ว่าทุนเก่าหรือทุนใหม่ก็ล้วนแต่มีลักษณะสำคัญร่วมกันอย่างหนึ่งก็คือการขูดรีดที่กระทำต่อพี่น้องประชาชน    จะต่างกันก็เพียงวิธีขูดรีดของมันเท่านั้น      ในระยะนี้เราเห็นว่าความขัดแย้งหลักของสังคมไทยได้เปลี่ยนฐานะของมันไปแล้ว    คู่ความขัดแย้งหลักกลายเป็นความขัดแย้งระหว่าง ประชาชนผู้รักประชาธิปไตย กับ กลุ่มทุนผูกขาดศักดินาเหนือรัฐที่ยืนชี้นิ้วบงการอยู่เบื้องหลังพวกเผด็จการ

คำว่าโลกาภิวัฒน์นั้นเป็นเพียงการแสดงโวหารของพวกจักรวรรดิ์นิยมที่ใช้เป็นหน้ากากมาปกปิดใบหน้าที่ชั่วร้ายของตน       กล่าวให้ให้ถึงที่สุดแล้วนักสร้างนโยบาย (policy makers) ผู้รับใช้จักรวรรดินิยมได้ประดิษฐ์คิดสร้างคำๆนี้ขึ้นมาก็เพื่อทำการขูดรีดประเทศอื่นๆให้ดูแนบเนียนขึ้น   และควบคู่กันไปกับความต้องการที่จะรักษาความเป็นพี่เบิ้มของตนเอาไว้   โดยเฉพาะอย่างยิ่งสหรัฐอเมริกาและพันธมิตรได้พยายามทำระบบเศรษฐกิจโลกให้อยู่ภายใต้การครอบงำของระบอบทุนนิยมแต่เพียงระบอบเดียว     ซึ่งในความเป็นจริงย่อมเป็นไปไม่ได้.....อย่างที่ปรัชญาวัตถุนิยมวิภาษ และวัตถุนิยมประวัติศาสตร์ได้อธิบายไว้   

เท่าที่ฟังคำอธิบายเรื่องโลกาภิวัตน์       ก็พอจะเข้าใจถึงความสับสนของท่านในเรื่องนี้   คือเอาความความก้าวหน้าทางเทคโนยีมาอธิบายว่าเป็นทุนโลกาภิวัฒน์    โดยเข้าใจว่าพัฒนาการทางเทคโนโลยีในทางการผลิตในระบอบทุนนิยมคือตัวทุนโลกาภิวัฒน์         ในความเป็นจริง...ระบอบทุนนิยมก็เป็นเรื่องหนึ่งและพัฒนาการทางเทคโนโลยีนั้นก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง    เพียงแต่มันมีความสัมพันธ์กันในกระ บวนการผลิตอย่างแยกไม่ออก     ไม่ว่าจะเป็นกระบวนการผลิตของระบอบสังคมแบบไหน     สังคมทาสก็มีเทคโนโลยีในการผลิตแต่อาจจะไม่ก้าวหน้าเหมือนเทคโนโลยีในระบอบศักดินา     เทคโนยีในสังคมศักดินาย่อมล้าหลังกว่าในสังคมทุนนิยม         เราเชื่อว่า..วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี่ไม่มีชนชั้น    อยู่ที่ว่าจะนำมันไปรับใช้ชนชั้นใดต่างหาก   ตัวของระบอบทุนนิยมเอง..มันเกิดขึ้นและพัฒนามาจากพื้นฐานของความขัดแย้งของความสัมพันธ์ทางการผลิตที่ไม่สอดคล้องกันหรือขัดแย้งกันของสังคมเก่า...ซึ่งก็คือสังคมศักดินา

คราวนี้ก็มาถึงแนวคิดในการเปลี่ยนแปลงสังคมของอาจารย์ท่านนั้นที่เสนอว่า   ประชาชนเราต้องสะสมกำลัง   รอคอยโอกาสแล้วลุกขึ้นสู้ตามขั้นตอนทางยุทธศาสตร์ของท่านที่เรียกว่า ขั้นเตรียมรุก (ขั้นตอนในการทำสงครามปฏิวัติจีนที่เหมาเจ๋อตุง ได้เสนอไว้ 3 ขั้น คือขั้นรับ...ขั้นยัน...ขั้นรุก ไม่มีขั้นเตรียม รุก) ท่านเน้นย้ำว่า       วิธีของท่านนั้นไม่เหมือนกับยุทธศาสตร์ของ พคท.(พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศ ไทย)ในอดีต  ที่กำหนดยุทธศาสตร์ใหญ่ว่า ”ชนบทล้อมเมือง  และยึดเมืองในที่สุด”  โดยมีการจัดตั้งมวลชน   สร้างกองกำลังทหาร   สร้างฐานที่มั่น   สร้างเขตปลดปล่อย  ฯลฯ    แต่แนวทางของท่านต่างจาก พคท.   ไม่ต้องจัดตั้งมวลชน   ไม่ต้องมีกองกำลัง    การจัดตั้งของท่านก็คือการจัดตั้งทางความคิดเพราะมีคนที่ตาสว่างมากแล้ว     ให้มวลชนตระตระเตรียมกำลัง    รอคอยโอกาส  แล้วลุกขึ้นสู้   จากยุทธศาสตร์ขั้นรับก้าวกระโดดไปสู่ขั้นรุกเลย 

แนวคิดเรื่องการจัดตั้งกองกำลังก็เช่นกัน      ท่านกล่าวว่าไม่ต้องเสียเวลาไปจัดตั้ง  อาศัยการลุกฮือขึ้นสู้ของประชาชนนี่แหละ    ด้วยการเข้ายึดค่ายทหาร   โรงพัก   หากประชาชนลุกขึ้นมาแล้วทหารแตง โม  ตำรวจมะเขือเทศก็จะพากันออกมาช่วยประชาชนเอง      เราจึงอยากจะให้ท่านระลึกถึงเหตุการณ์เมื่อปี  53  ที่มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจากการล้อมปราบมากมาย       มันได้พิสูจน์แล้วว่า ทหารแตงโม ตำรวจมะเขือเทศไม่เป็นจริง(ย้ำคำว่าไม่เป็นจริง)  เป็นแค่โวหารในการปลุกระดมเท่านั้น      ท่านไม่เสนอให้มีการจัดตั้งไม่ว่าชนิดใดๆทั้งยังย้ำอย่างหนักแน่นว่า “กว่าจะจัดตั้งและมีความเข้มแข็งได้ .จนตายก็ไม่เข้มแข็ง”  นี่เป็นวิธีคิดที่ไม่ยอมศึกษาอีกทั้งยังดูเบาบทเรียนทางการต่อสู้ของประชาชนที่เกิดขึ้นในประวัติศาสตร์เลย      

เราสนับสนุนการเคลื่อนไหวต่อสู้ของประชาชนในทุกรูปแบบ     แต่เราไม่เห็นด้วยกับการลุกขึ้นสู้ที่ไม่มีองค์กรนำ   ไม่มีการจัดตั้งมวลชน   ไม่มีกองกำลัง    คิดแต่จะอาศัยกำลังของผู้อื่น ซึ่งเป็นลัทธิหวังพึ่ง       เราไม่ต้องการเห็นขบวนการของประชาชนต้องประสบกับความพ่ายแพ้และสูญเสียอีก     เราอยากจะเรียนว่าการปฏิวัติเปลี่ยนแปลงสังคมไม่ใช่การชักชวนกันมาก่อจลาจล       หรือปฏิวัติโดยใช้อารมณ์ความรู้สึกของตนเป็นที่ตั้ง     เหมาเจ๋อตุงกล่าวไว้ว่า  “การปฏิวัติไม่ใช่เป็นการเชิญคนมากินเลี้ยง”    

แรกสุดเมื่อจะทำการปฏิวัติ   หลีกไม่พ้นที่จะจะต้องมีองค์กรจัดตั้งที่มีลักษณะสู้รบ    เป็นกองหน้าที่ไว้ใจได้   จะต้องมีกองกำลังที่เป็นจริง   มีวินัยและมีจิตสำนึกปฏิวัติและต้องอยู่ในช่วงที่มีสถานการณ์ปฏิวัติ     การลุกขึ้นสู้โดยไร้การจัดตั้ง    ไร้องค์กรนำ   ไม่มีกองกำลัง    ไม่มีสภาพแวดล้อมที่เป็น สถานการณ์ปฏิวัติ ก็เท่ากับว่าไม่มีอะไรเลยนอกจากความว่างเปล่าและเพ้อฝัน      ไม่น่าเชื่อว่า...ผู้ที่มีประสบการณ์อย่างมิตรสหายท่านนี้ จะเสนอแนวทางที่สุ่มเสี่ยงและเป็นอันตรายอย่างยิ่งเช่นนี้ออกมาได้ มันเป็นความคิดอนาธิปไตยโดยธาตุแท้เลยทีเดียว    การลุกขึ้นสู้ในแนวทางของท่าน    ไม่ว่าจะเกิดขึ้นที่ไหน  เมื่อไหร่  ไม่เคยได้รับชัยชนะ   (อาจจะชนะบ้างในบางยุทธภูมิในที่สุดก็ต้องแพ้ทางยุทธศาสตร์อย่างราบคาบ )      เลนินได้กล่าวไว้ว่า..การจัดตั้งคือภาคปฏิบัติของการปฏิวัติ.  และเรามีความจำเป็นที่จะเลือกเชื่อวิธีการของเลนินผู้ที่นำการปฏิวัติรัสเซียไปสู่ชัยชนะมากกว่าวิธีของอาจารย์ท่านนี้

เราลองมาดูตัวอย่างของการลุกขึ้นสู้ของประชาชนในประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา ทั้งที่มีและไม่มีการจัดตั้ง ทั้งที่มีและไม่มีองค์กรนำ    ทั้งที่มีและไม่มีทฤษฎีชี้นำการปฎิวัติ      เริ่มต้นที่กรุงโรมเมื่อสองพันปีที่ผ่านมา   เป็นการลุกขึ้นสู้แบบเป็นไปเองของเหล่าทาสที่มี สปาร์ตาคัส เป็นผู้นำ     ต้องพ่ายแพ้แก่กองทหารโรมันที่มีการจัดตั้ง  มีวินัย  อย่างราบคาบ  เหล่าทาสเสียชีวิตนับหมื่นๆคน(ทั้งในสนามรบและถูกไล่ล่า)   

การลุกขึ้นสู้ของชาวนาในยุโรปสมัยกลางโดยเฉพาะอย่างยิ่งในเยอรมัน      กองทัพชาวนาที่ต่างคนต่างพร้อมใจกันลุกขึ้นสู้แบบที่เป็นไปเอง  ไร้การจัดตั้งต้องพ่ายแพ้แก่เหล่าอัศวินของชนชั้นศักดินาที่มีการจัดตั้ง  มีวินัย    และมีทักษะในการสู้รบ  ทำให้บรรดาชาวนาต้องเสียชีวิตไปนับแสนคน     

การลุกขึ้นสู้ของ  ปูกาเชฟ  ชาวนารัสเซียต้องพ่ายแพ้ต่อกองทหารของจักรพรรดินีคัธรินที่ 2  ในปี 1773 – 1774  ผลก็คือชาวนารัสเซียได้เสียชีวิตไปมากมาย    การลุกขึ้นสู้ของชาวนาไทย  ไม่ว่าจะเป็นสาเกียดโง้ง  และใครต่อใครก็ต้องสังเวยชีวิตเหล่าสาวกไปไม่รู้เท่าไหร่    

การลุกขึ้นสู้ของชาวนครปารีส (คอมมูนปารีส) ในปี 1871 ที่นำโดยชนชั้นกรรมกร  นักอนาธิปไตย  นักเสรีนิยม  นักสังคมนิยม  ที่ต่างคนต่างนำไม่มีเอกภาพทางความคิด      ได้อำนาจอยู่ไม่นานก็ถูกล้อมปราบลงอย่างราบคาบ  เสียชีวิตหลายหมื่นคน  ถูกประหารชีวิต  ถูกเนรเทศอีกไม่รู้เท่าไหร่

การลุกขึ้นสู้ของพรรคแรงงานสังคมประชาธิปไตยรัส   ที่มอสโคว์ ในปี 1905  ต้องพ่ายแพ้อย่างยับยับเยินต่อกองทหารของพระเจ้าซาร์ทั้งๆที่มี พรรค มีกองกำลัง มีการจัดตั้ง ฯลฯ     

การลุกขึ้นสู้ของขบวนการ อี้เหอถวน (ขบวนการนักมวย)   ถูกรัฐบาลแมนจูปราบปรามเสียจนราบคาบ    การลุกขึ้นสู้ของพรรคคอมมิวนิสต์จีน  ที่เซี่ยงไฮ้  ปี 1927  ถูกกองทหารของขุนศึกเจียงไคเชคปราบปรามอย่างโหดร้าย    สมาชิกพรรคและผู้สนับสนุนถูกฆ่าและกวาดล้างนับหมื่นๆคน       จนต้องหนีขึ้นไปปักหลักต่อสู้บนเขาจิ่งกันซาน...ปรับเปลี่ยนยุทธศาสตร์ไปสู่การสร้างฐานที่มั่นในชนบท     กระนั้นก็ยังถูกล้อมปราบ...จนต้องยอมละทิ้งฐานที่มั่นและเดินทัพทางไกลแล้วกลับมาสู้จนได้ชัยชนะ   

ที่ยกตัวอย่างเหตุการณ์รูปธรรมในประวัติศาสตร์บางส่วนเกี่ยวกับการลุกขึ้นสู้ของประชาชนผู้ถูกกดขี่เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริงที่เกิดขึ้นจริง...เป็นบทเรียนที่เป็นจริงมานี้..พอจะเห็นว่า..แม้การลุกขึ้นสู้ที่มีการจัดตั้ง  มีวินัย   ภายใต้การนำของพรรคการเมืองของประชาชนอย่างพรรคแรงงานสังคมประชาธิปไตยรัสเซีย  และพรรคคอมมิวนิสต์จีน      ยังต้องประสบกับความพ่ายแพ้   แต่เพราะมีการจัดตั้งทั้งที่เป็นรูปธรรม (องค์กรจัดตั้งในทุกระดับของพรรค) และการจัดตั้งที่เป็นนามธรรม(การบ่มเพาะทางอุดมการณ์และจิตสำนึกทางชนชั้น).. มีกองกำลังของตนเอง   จึงสามารถฟื้นตัวขึ้นมาต่อสู้จนได้รับชัยชนะในที่สุด    

ส่วนขบวนการอื่นๆที่ไม่มีการจัดตั้ง  ไม่มีกองกำลัง   ไม่มีองค์กรนำนั้นไม่สามารฟื้นตัวขึ้นมาต่อสู้ได้อีกเลย      ผู้ถืออาวุธที่ไร้จิตสำนึกปฏิวัติขององค์กรอนาธิปไตยเหล่านั้น บ้างก็ถดถอย บ้างก็กลายเป็น  นักฆ่า  อันธพาลทางการเมือง  และไม่ใช่น้อยที่ยอมเป็นเครื่องมือรับใช้ชนชั้นปกครอง...ปฏิปักษ์ของตนที่เคยต่อสู้อย่างเอาเป็นเอาตายมาแล้วในอดีต       

เราไม่อยากให้เกียรติภูมิของผู้ที่ยืนหยัดต่อสู้เยี่ยงนักปฏิวัติมาอย่างยาวนานต้องมัวหมองลง   หากท่านยังยืนยันยึดมั่นในแนวทางอนาธิปไตยของท่านว่าถูกต้อง      ก็ต้องให้เวลาเครื่องพิสูจน์    และให้ประชาชนเป็นผู้ตัดสิน...... จึงเรียนมาด้วยความเคารพ


  

No comments:

Post a Comment