Tuesday, May 26, 2015

การปฏิวัติ.....

การปฏิวัติสีในมาเซโดเนีย
ดร. พอล เครก โรเบิร์ตส์
ในระหว่างยุคสงครามเย็น     ทางวอชิงตันมีความเกี่ยวข้องกับการกระตุ้นให้เกิดการประท้วงต่อต้านลัทธิคอมมิวนิสต์บนท้องถนนจนกระทั่งแปรเปลี่ยนไปเป็นการปฏิวัติ       เพื่อให้นักการเมืองในปีกที่ทำตัวเป็นลูกสมุนรับใช้เข้าเผด็จอำนาจในรัฐบาลที่จะตั้งขึ้นใหม่       ซึ่งในปัจจุบันนี้เป็นที่ชัดเจนว่าเป็นการกระทำของวอชิงตัน (ในการปลุกปั่นยุยงให้เกิดการปฏิวัติในประเทศต่างๆ)     ซึ่งเราได้มีประ จักษ์พยานด้วยตาของเราเองต่อปฏิบัติการในประเทศยูเครน     และขณะนี้กำลังเกิดขึ้นในประเทศมาซีโดเนีย*(ประเทศเล็กๆที่เคยเป็นรัฐหนึ่งหลังจากการล่มสลายของอดีตประเทศยูโกสลาเวีย)
กองทุนเพื่อประชาธิปไตย ที่ได้มาจากเงินบริจาค   ได้ก่อตั้งขึ้นในปี 1983 โดยมีเป้าประสงค์อย่างเป็นทางการเพื่อสนับสนุนระบอบประชาธิปไตยในต่างประเทศ    แต่เป้าหมายที่แท้จริงก็คือสร้างความขัด แย้งในดินแดนยุโรปตะวันออกของรัสเซีย    ในทุกวันนี้กองทุนเพื่อประชาธิปไตยได้ใช้เงินภาษีของเรา(ชาวอเมริกัน)ไปใช้ในการโค่นล้มรัฐบาลที่ไม่เป็นพันธมิตรกับวอชิงตัน
กองทุนเพื่อประชาธิปไตยนี้หรือ NGOs  เป็นองค์กรที่ไม่ได้ดำเนินการโดยรัฐ  ประเทศที่ไม่มีความมั่นคงทางการเมืองเป็นเป้าหมายของวอชิงตัน    องค์กร เอ็น. จี. โอ.เหล่านี้ทำงานภายใต้ข้อกำหนดที่ต้องทำคือการให้ความรู้เกี่ยวกับ”ประชาธิปไตย” และ “สิทธิมนุษยชน”    โดยให้การศึกษาอบรมแก่ผู้ปฏิบัติงานที่มีอุดมการณ์ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นนักเรียน..นักศึกษา   ไปทำการคัดค้าน ต่อต้าน บ่อนเซาะ รัฐบาลที่ไม่ยอมขึ้นต่อและที่วอชิงตันต้องการขจัด      ซึ่งไม่คอยจะเป็นที่พอใจของบรรดานักการเมือง   นักศึกษาที่มีอุดมการณ์เหล่านี้มักถูกหลอกลวงได้ง่าย       และนักการเมืองท้องถิ่นโดยทั่วไปแล้วมักต้องการอำนาจอย่างเต็มที่ในการรับใช้วอชิงตัน
ตามที่นาง วิคตอเรีย นูแลนด์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐได้กล่าวว่า   วอชิงตันจ่ายเงิน 5 ล้านเหรียญให้แก่นักการเมืองที่มือสะอาดของยูเครนในการสร้าง องค์กรพัฒนาเอกชน (NGOs) เพื่อเป็นแนวที่ห้า(Fifth Columns.  หมายถึงกลุ่มคนที่ใช้เป็นเครื่องมือบ่อนทำลายจากภายใน )     เมื่อประธานาธิบดีวิคเตอร์  ยานูโควิช ของยูเครน  ปฏิเสธที่จะเป็นร่วมมือพันธมิตรกับวอชิงตันเพื่อผลประโยชน์ของอเมริกา   วอชิงตันก็ใช้แนวที่ 5 ก่อกวน  และรัฐบาลของ ยานูโควิช ก็ถูกโค่นลงด้วยความรุนแรง     ในขณะที่วอชิงตันพร่ำถึงประชาธิปไตย...และโดยความเป็นจริงรัฐบาลของ ยานูโควิช  ก็มาจากการเลือกตั้งที่เป็นประชาธิปไตย    ซึ่งเป็นการเลือกตั้งที่ผ่านมาเพียงไม่กี่เดือน     แต่ก็ไม่อาจทำให้วอชิงตันหยุดโค่น ยานูโควิช ลงไปได้
ขณะนี้..ชะตากรรมดังกล่าวดูเหมือนว่ากำลังสะสมปริมาณอยู่ใน อาร์มีเนีย  อาเซอร์ไบจาน  คีร์กิสสถาน  และ  มาเซโดเนีย  ซึ่งประชาชนอเมริกันส่วนมากไม่รู้ว่าประเทศเหล่านี้อยู่ที่ไหน?  อาร์มีเนีย และ อาร์เซอร์ไบจานนั้นอยู่ทางตะวันตกของทะเลสาบคัสเปียนและก่อนนั้นเคยเป็นแคว้นหนึ่งของ สหภาพโซ เวียต    คีร์กิสสถานก็เคยเป็นแคว้นหนึ่งของอดีตสหภาพโซเวียตเช่นกัน  มีพรมแดนติดกับประ เทศจีน    ส่วน มาเซโดเนีย  ถิ่นกำเนิดของพระเจ้า อเล็กซานเดอร์ มหาราช   เป็นดินแดนตอนเหนือของประเทศกรีซ     แต่ในศตวรรษทื่ 20 ส่วนหนึ่งของมาเซโดเนียได้ตกเป็นของ บุลกาเรีย  เซอร์เบีย และอัลบาเนีย ตามลำดับ   ก่อนที่จะกลายมาเป็นแคว้นหนึ่งของอดีตประเทศยูโกสลาเวีย     หลังจากวอชิงตันได้ทำ ลายประเทศยูโกสลาเวียลงแล้ว    มาเซโดเนียกลายเป็นสาธารณรัฐอิสระประกอบด้วยประชาชนราวสองล้านคน    เป็นประเทศที่ไม่มีทางออกทะเลล้อมรอบไปด้วยประเทศต่างๆ ด้านใต้ ติดกับกรีซ  ทางตะวันออกติดบุลกาเรีย   ทางตะวันตกติดกับอัลบาเนีย  และด้านเหนือติดกับเแคว้นโคโซโวของเซอร์เบีย ที่วอชิงตันอุปโลกน์ขึ้น
ทำไมวอชิงตันจึงสนใจในการควบคุมมาเซโดเนีย? 
รัฐบาลมาเซโดเนียได้ปฏิเสธที่จะมีส่วนร่วมกับนโยบายแซงชั่นรัสเซียของวอชิงตัน  และยังสนับสนุนโครงการท่อส่งก๊าซ รัสเซีย-ตุรกี   เพื่อส่งก๊าซธรรมชาติไปยังยุโรปโดยผ่านตุรกีไปยังพรมแดนกรีซอีกด้วย
กรีซเองกำลังถูกปล้นโดยสหภาพยุโรป  สถาบันการเงินIMF   ธนาคารของเยอรมันและฮอลแลนด์  สิ่งที่ตามมาก็คือกรีซได้ถูกผลักเข้าสู่อ้อมกอดของรัสเซีย     ด้วยการที่รัสเซียช่วยเหลือกรีซให้หลุดพ้นจากอาการง่อยเปลี้ยทางเศรษฐกิจจากมาตรการตัด-ลด(cuts)       ที่สหภาพยุโรปกระทำต่อประชาชนชาวกรีก   มาเซโดเนียซึ่งตั้งอยู่หว่างกลางกรีซและเซอร์เบีย     ซึ่งถือว่าเป็นประเทศที่เกลียดชังวอชิงตันและสหภาพยุโรป    สืบเนื่องมาจากมาจากการถูกแยกสลายเซอร์เบียออกเป็นส่วนๆจากความก้าวร้าวของวอชิงตันและนาโต้     วอชิงตันหวาดผวาต่อการขายพลังงานของรัสเซียไปยังประเทศบริวารของตนในยุโรปโดยผ่านพันธมิตรของรัสเซียในยุโรปซึ่งเกินความสามารถที่วอชิงตันจะควบคุมได้
ถ้าวอชิงตันสามารถช่วงชิง มาเซโดเนียไว้ได้    ก็เท่ากับว่าวอชิงตันสามารถยืนอยู่ระหว่างกลางกรีซและเซอร์เบีย         บางทีอาจจะจูงใจกรีซให้หันกลับมาเป็นพันธมิตรและสนับสนุนโครงการท่อส่งแก๊สธรรมชาติจากอาเซอร์ไบจานที่วอชิงตันสนับสนุนอยู่ไปยังประเทศในยุโรป    ซึ่งนั่นจะเป็นการลดทอนอิทธิพลของรัสเซียในยุโรปลงไปได้
มาเซโดเนีย มีชาวอัลบาเนียเป็นประชาชนชนส่วนข้างน้อย        ประเทศอัลบาเนียก็คือประเทศบริวารของวอชิงตันและเป็นสมาชิกนาโต้       วอชิงตันร่วมมือกับชาวอัลบาเนียเดินขบวนประท้วงบนถนนในเมืองหลวง สโคเปีย(skopje)      รัฐบาลมาเซโดเนียถูกกล่าวหาว่าทุจริตเช่นเดียวกันกับรัฐบาลยูเครน     และสหรัฐก็ได้แถลงถึงการเกิดวิกฤตทางการเมืองใน มาเซโดเนีย ที่วอชิงตันเป็นผู้สนับสนุนอยู่เบื้อง หลัง
วอชิงตันจะพูดพร่ำถึงประชาธิปไตยและสิทธิมนุษยชนมาตลอด  แต่ไม่เคยเคารพในหลักการของทั้งสองประเด็น          และมักจะใช้คำเหล่านี้มากล่าวหารัฐบาลประเทศอื่นที่วอชิงตันต้องการจะโค่นล้ม   รัฐบาลรัสเซียเข้าใจดีถึงสิ่งเหล่านี้และออกมาตีแผ่ให้โลกรู้     รัฐบาลรัสเซียได้รับรู้บทเรียนและประสบมาแล้วจากการนิ่งเฉยไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยว...ในขณะที่รัฐบาลยูเครนได้ถูกโค่นลงไป
ทัศนะคติของชาวอเมริกันนั้นตรงกันข้ามกับทัศนะของวอชิงตัน    ไม่ว่าจะเป็นปัญหาเกี่ยวกับความบ้า ระห่ำในการไล่ล่าความเป็นพี่เบิ้มนั้นไม่คุ้มกับความเสี่ยงในการเกิดสงครามกับรัสเซียและจีน   กลุ่มอนุ รักษ์นิยมใหม่ ซึ่งมีนโยบายต่างประเทศแบบแข็งกร้าวเชื่อว่าความเป็นเจ้าโลกของสหรัฐนั้นมีคุณค่าต่อการเสี่ยง     ถ้าคนอเมริกันจะได้รับความพึงพอใจในการคิดแทนผู้อื่นของพวกอนุรักษ์นิยมใหม่ผู้ร่ำรวย  แล้ว     เชื่อหรือว่าโลกจะยอมรับต่อความเสี่ยงที่จะเกิดสงครามนิวเคลียร์ขึ้น ?
ความก้าวร้าวอย่างเห็นได้ชัดที่วอชิงตันกำลังกระทำต่อรัสเซีย  จะเป็นสิ่งเตือนภัยซึ่งไม่เพียงแต่ต่อพล เมืองอเมริกันเท่านั้นยังรวมไปถึงชาวโลกทั้งมวลอีกด้วย     สงครามกำลังจะถูกก่อขึ้น..การทำสงคราม กับรัสเซียย่อมหมายถึงทำกับกับจีนด้วย       และนั่นไม่ใช่สงครามที่วอชิงตันและประเทศบริวารจะเอา ชนะได้
แปลโดย   กำจร



Sunday, May 10, 2015

โหราศาสตร์เป็นวิทยาศาสตร์....

 โหราศาสตร์เป็นวิทยาศาสตร์จริงหรือ

สืบเนื่องมาจากมิตรสหายท่านหนึ่งมีแนวคิดว่า  ”โหราศาสตร์เป็นวิทยาศาสตร์และเป็นวิภาษวิธี”   ซึ่งเราเห็นว่าเป็นทัศนะที่ไม่ถูกต้อง     จึงใคร่แสดงทัศนะต่อความคิดของมิตรสหายท่านนั้นดังต่อไปนี้

ในเบื้องต้น       เราเห็นว่ากระบวนการทางความคิดและทางการปฏิบัติของโหราศาสตร์เป็นเรื่องที่ไม่มีความเป็นวิทยาศาสตร์   หากจะนำมาเทียบเคียงกับดาราศาสตร์ที่เป็นวิทยาศาสตร์ธรรมชาตินั้นมีความแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง     แม้จะมีจุดกำเนิดมาจากแหล่งเดียวกันคือการเฝ้าสังเกตและศึกษาดวงดาวบนท้องฟ้า   แต่เมื่อพิจารณาจากลักษณะเฉพาะและผลของการตรวจสอบพิสูจน์ถึงความเป็นไปในกระ บวนการของมันจะพบเห็นความแตกต่างกันโดยพื้นฐานแม้ว่าจะเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับดวงดาวเหมือน กัน        ยิ่งถ้าพิจารณาลึกลงไปกระทั่งถึงระดับ  ค้นคว้า ทดลอง  ตรวจสอบกันโดยรอบคอบถึงสาระ สำคัญของความเป็นศาสตร์แล้วก็ยิ่งจะเห็นความแตกต่างได้ชัดเจนมากขึ้น      เพราะดาราศาสตร์จะให้คำตอบที่เป็นสัจธรรมและสามารถสัมผัสได้มากกว่า จนสามารถรวบรวมความรู้ต่างๆสร้างเป็นทฤษฎีขึ้นมาได้อย่างเป็นระบบ    ยิ่งเมื่อนำเอาดวงดาวที่ทางโหราศาสตร์เชื่อกันว่ามีอิทธิพลต่อมวลมนุษย์มาพิจารณาด้วยแล้ว      ก็ยิ่งเห็นถึงคุณสมบัติที่เป็นด้านเฉพาะของแต่ละศาสตร์ว่า มีความขัดแย้งแตก ต่างกัน อย่างชัดแจน

สำหรับดาวเคราะห์.. เป็นปัจจัยที่นักโหราศาสตร์ใช้อ้างว่ามีอิทธิพลต่อมนุษย์โดยใช้ลักษณะทางกายภาพ(สีสัน)   วงโคจร   และปรากฏการณ์ต่างๆของมัน  ซึ่งแต่ละดวงก็จะมีลักษณะเฉพาะที่แตกต่างกันออกไป         ซึ่งก็เป็นเพียงความรับรู้เพียงผิวเผินจากการสังเกตของมนุษย์ยุคโบราณที่มีต่อดวงดาวและจักรวาลอันไพศาล..อีกด้านหนึ่งการพัฒนาความรู้ทางดาราศาสตร์อย่างที่เป็นวิทยาศาสตร์ทำให้มนุษย์สามารถนำมาพัฒนาก้าวไกลไปจนถึงขั้นส่งยานอวกาศออกไปสำรวจดาวดวงอื่นๆได้ นั่นเป็นผลพวงที่เกิดจากเป้าหมายของการเรียนรู้   การทดลอง  และการพัฒนาด้วยวิถีทางแห่งการทดสอบปฏิบัติที่ซ้ำแล้วซ้ำอีก ซึ่งมีแต่จะพัฒนาก้าวหน้ายิ่งขึ้นไปอีก  

แต่ความรู้ในเรื่องราวเกี่ยวกับดวงดาวในด้านโหราศาสตร์     มีเป้าหมายเพียงนำเอาส่วนที่เป็นปรากฏ การณ์ (phenomena) ของมันไม่ว่าจะเป็นการเกิดคราสต่างๆ    ระยะเชิงมุม(aspect)   ตำแหน่งไกลสุด(apogee)   และใกล้โลกที่สุด(perigee)  การปรากฏตัวของดาวหาง ฯลฯ มาสร้างแนวคิด  แล้วนำสิ่งที่คิดเดาเอาเองนี้ไปทำนาย(ไม่ใช่อธิบาย)สรรพสิ่ง       ตั้งแต่ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ โยงไปถึงเรื่องการเสริมสร้างอำนาจให้แก่ชนชั้นปกครอง  ไปจนถึงเรื่องการทำนายทายทักโชคชะตาของปัจเจกชน       ซึ่งยังไม่เคยมีการยอมรับจากนักวิทยาศาสตร์หรือสถาบันทางวิชาการใดๆว่าปรากฏการณ์ของดวงดาวแต่ละดวงนั้นจะมีอิทธิพลต่อการดำรงชีวิตประจำวันและความเป็นไปของมนุษย์     แล้วจะให้นับเอาโหราศาสตร์ว่าเป็นวิทยาศาสตร์ได้อย่างไร  ดีที่สุดก็พอจะอนุโลมให้เป็นได้ก็เพียงวิทยาศาสตร์เทียม (pseudo-science) และเป็นจิตนิยมโดยพื้นฐาน 

เป้าประสงค์ของการเชื่อมโยงโหราศาสตร์กับวิทยาศาสตร์เข้าด้วยกันก็เพื่อให้ดูเหมือนว่ามันเป็นสิ่งเดียวกัน      ด้วยความพยายามที่จะผสมผสานและรอมชอมแนวคิดของปรัชญาจิตนิยม(โหราศาสตร์)กับวัตถุนิยม(วิทยาศาสตร์)เข้าด้วยกัน       โดยอาศัยการตีความเรื่องวัตถุ และ จิตตามแบบอภิปรัชญา (methaphysics) ที่ยังไม่หลุดพ้นจากความเป็นจิตนิยมนั้น    ไม่ว่าจะเกิดจากเจตนาหรือไม่ก็ตาม  หรือแม้กระทั่งการใช้คำว่า astrology ( ซึ่งน่าแปลเป็นไทยว่าการใช้ดวงดาวมาเป็นเครื่องมือทำนายทางโห ราศาสตร์มากกว่าที่จะใช้คำว่า โหราศาสตร์แห่งดวงดาว)       ก็น่าจะเป็นเพียงความปรารถนาที่ต้อง การจะยกระดับของโหราศาสตร์ให้มีความเคร่งขลัง หนักแน่น น่าเชื่อถือขึ้นเท่านั้น  ทั้งๆที่พื้นฐานระบบความคิดทางปรัชญาของมันเป็นจิตนิยมและอยู่กันคนละขั้วกับวัตถุนิยมซึ่งขัดแย้งกันมาตลอดระยะเวลาประวัติศาสตร์อันยาวนานของมนุษยชาติ

หากคำว่าศาสตร์ หมายถึงความรู้    ศาสตร์แห่งดวงดาวก็ย่อมต้องหมายถึงความรู้เกี่ยวกับดวงดาว    ซึ่งมนุษย์พยายามค้นคว้าหาวิธีศึกษาเรียนรู้ถึงคุณสมบัติต่างๆของมันไม่ว่าจะเป็นการโคจร และองค์ ประกอบทั้งหลาย      ตลอดไปจนถึงความเกี่ยวเนื่องสัมพันธ์ของมันกับดาวดวงอื่นๆในระบบสุริยะและจักรวาล  และเรียกมันว่าดาราศาสตร์หรือastronomyมาตั้งแต่ต้นและไม่มีกลิ่นไอของ โหราศาสตร์แห่งดวงดาว (astrology) มาเกี่ยวข้องด้วยเลย

จะว่าไปแล้วเรื่องที่มนุษย์ให้ความสนใจและสงสัยมากที่สุดมาแต่โบราณกาลก็คือดวงดาวบนท้องฟ้าและปรากฏการณ์ต่างๆของมัน     แน่นอนต้องมีการศึกษาจดข้อมูลบันทึกเอาไว้ และนี่ก็คือรากฐานของการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ธรรมชาติของมนุษย์ในสมัยที่ยังไม่มีเทคโนยีที่ทันสมัยเช่นในปัจจุบัน     แต่ถ้าจะแปรเอาเหตุการณ์เหล่านี้ไปทำนายทายทักสิ่งที่จะเกิดขึ้นหรือน่าจะเกิดขึ้นในอนาคต  แล้วสรุปเอาว่ามันมีอิทธิพลต่อชีวิตมนุษย์โดยรวมนั้น    ย่อมไม่ใช่วิถีทางของวิทยาศาสตร์

การใช้วิภาษวิธีไปมองโหราศาสตร์นั้นนับว่าเป็นความก้าวหน้าอย่างยิ่ง      แต่หากจะให้หมายความว่าโหราศาสตร์และการทำนายทายทักเป็นเรื่องของวิภาษวิธีอีกด้วยนั้นไม่ถูกต้องอย่างแน่นอน    แนวคิดเช่นนี้น่าจะเป็นปัญหาทางความรับรู้ในแก่นแท้ของวิภาษวิธีมากกว่า       เพราะวิภาษวิธีก็เป็นเพียงวิถี ทางที่จะเข้าถึงความจริงของสรรพสิ่งในโลกธรรมชาติและการ ”เคลื่อนไหวพัฒนา” หรือปรากฏการณ์ อันเนื่องมาจากความขัดแย้งของมันสรรพสิ่ง   และการที่มันมีความสัมพันธ์กับปรากฏหารณ์ของสิ่งอื่นมากกว่า      การอ้างถึงวิธีพยากรณ์โดยใช้วิภาษวิธีมาวิเคราะห์ดวงดาวและความสัมพันธ์ของมันว่ามีความเกี่ยวโยงและมีอิทธิพลถึงดวงชาตาของมนุษย์ด้วยแล้วยิ่งไปกันใหญ่      แนวคิดเช่นนี้น่าจะเป็นวิภาษวิธีจิตนิยมของเฮเกลนักปรัชญาผู้ยิ่งใหญ่คนหนึ่งแห่งยุคสมัยซึ่งมีทัศนะต่อสรรพสิ่งว่า

ในจักรวาล..ทุกสิ่งทุกอย่างมีการเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลง  ไม่มีอะไรแยกออกเป็นเอกเทศแม้ แต่จิต”      และเขาได้เรียกความเคลื่อนไหวนี้ว่า วิภาษวิธี”  แต่เฮเกลยังไม่หลุดพ้นจากความเป็นนักปรัชญาจิตนิยม      เพราะเขายังยืนยันว่าจิต(ความคิด)มีความสำคัญเป็นอันดับแรกและมีทัศนะต่อการเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงของสรรพสิ่งว่า   การเปลี่ยนแปลงทางจิตมีผลให้เกิดการเปลี่ยน แปลงทางวัตถุ  และ    “ก่อนมีจักรวาลก็มีจิตอยู่แล้ว  จิตเป็นผู้สร้างจักรวาล   บทสรุปเช่นนี้เองทำให้คุณค่าวิภาษวิธีของเขาไม่อาจเปล่งประกายออกมาได้อย่างถึงที่สุด      เพราะยังไม่อาจหลุดพ้นจากกรอบของจิตนิยม      ดังนั้นวิภาษวิธีของเฮเกลจึงเป็นวิภาษวิธีแบบจิตนิยม

วัตถุนิยมวิภาษ มีพื้นฐานมาจากการต่อสู้อย่างยาวนานกับความคิดและปรัชญาจิตนิยม       มาร์กซได้สร้างคุณูปการในการสร้างทฤษฎีขึ้นมาใหม่    โดยกลั่นกรองและตัดทอนเอาความคิดจิตนิยมในทัศนะของเฮเกลออกไปให้เหลือแต่วิภาษวิธีบวกกับแนวคิดทางวัตถุนิยมมาผสมผสาน       แล้วตัดความเป็นกลไกของมันทิ้งจนไปจนกลายมาเป็นปรัชญา วัตถุนิยมวิภาษ ที่มีพื้นฐานอยู่บนการปฏิบัติและการ ทดลองทางวิทยาศาสตร์        ส่วนการอ้างว่า...โหราศาสตร์ก็มีพื้นฐานมาจากวัตถุเพราะดวงดาวต่างๆนั้นเป็นวัตถุ....เป็นเรื่องที่ถูกต้องอย่างไม่ต้องสงสัย      จะมีความเป็นวิทยาศาสตร์ก็เพียงแต่ในความ หมายเช่นนี้เท่านั้น    ไม่อาจรวมไปถึงการเอาส่วนที่เป็น ”ปรากฏการณ์” ของมันมาใช้ทำนายทายทัก

หากยังยืนยันว่ามันมีอิทธิพลต่อมนุษย์      จนสามารถบอกกล่าวล่วงหน้าถึงอนาคตหรือเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในภายภาคหน้าได้แล้วละก้อ        โหราศาสตร์จำเป็นต้องพิสูจน์สิ่งนี้ออกมาให้ได้ว่ามันเป็นไปตามคำทำนาย      หากทำไม่ได้มันก็คือระบบความคิดที่มีความโน้มเอียงไปสู่ความเป็นจิตนิยมนั่นเอง   ไม่มีอะไรให้ต้องมาพิจารณาตีความกันอีก    มันไม่ต่างอะไรกับความเชื่อที่ว่าปลูกต้นมะยมไว้หน้าบ้านแล้วจะทำให้เจ้าของบ้านเป็นที่รักใคร่ได้รับความนิยมชมชอบจากผู้คน  ทั้งๆที่เจ้าของบ้านเป็นมหาโจร  เพราะนั่นคือทัศนะของจิตนิยมโดยแท้

มิตรสหายท่านนั้นยังเน้นย้ำถึงความหนักแน่นในการสร้างความน่าเชื่อถือมาสนับสนุนความคิดของตน  โดยอ้างหลักฐานยืนยันความเก่าแก่ของความเป็น”ศาสตร์” ของโหราศาสตร์ ว่ามีอายุยืนยาวมากกว่า  ๓๗๐๐  ปี  ตั้งแต่สมัยบาบิโลเนีย      แต่จากการขุดค้นทางโบราณคดีในอิรัคได้พบแผ่นจารึกดินเผาในห้องโถงของพระราชวังนิเนเวห์(nineveh)ของกษัตริย์อัสซูร์มานิปาล แห่งอัสซีเรีย เป็นจารึกเกี่ยว กับเรื่องราวของดวงดาวต่างๆโดยเฉพาะดวงจันทร์เสียเป็นส่วนใหญ่        จึงพอจะสันนิษฐานได้ว่าผู้มีอำ นาจแห่งยุคได้สั่งให้ปราชญ์เฝ้าสังเกตติดตามทำการศึกษาการโคจรและปรากฏการณ์ของดวงดาวแต่ละดวงบนท้องฟ้าที่สามารถเห็นด้วยตาเปล่าตามสถานที่ต่างกันในอาณาจักร     เพราะมีความเชื่อว่านั่นเป็นองค์เทพเจ้า(จิตนิยม?) ที่จะบันดาลให้เกิดเหตุการณ์ต่างๆทั้งดีและร้ายได้   จึงต้องคอยติด ตามเอาอกเอาใจเทพเจ้าเพื่ออ้อนวอนร้องขอให้แสดงปาฏิหาริย์หรือปรากฏการณ์บางสิ่งบางอย่างเพื่อเป็นการเตือนให้รู้ล่วงหน้าถึงภยันตรายหรืออะไรก็แล้วแต่ให้ได้ล่วงรู้      อีกทั้งมีการถวายสิ่งของเป็นการติดสินบนแก่เทพเจ้าอีกด้วย     

อีกนัยหนึ่งการสังเกตศึกษาในเรื่องดวงดาวทำให้นักปราชญ์ในสมัยโบราณได้เรียนรู้ว่า     เวลาใดจึงจะเหมาะแก่การเพาะปลูก    การเก็บเกี่ยว   การทำสงคราม   จัดงานสังสรรค์   รู้จักจำแนกฤดูกาล   กระ ทั่งการสร้างปฏิทินขึ้นมา     สิ่งเหล่านี้ต่างหากที่เป็นผลผลิตทางวิทยาศาสตร์ไม่ใช่การทำนายทายทักโดยปราศจากรากฐานใดๆมารองรับ     ถึงอย่างไรก็ตาม.....การกำเนิดขึ้นของโหราศาสตร์นั้นก็คงเป็นเพียงเศษเสี้ยวหนึ่งของประวัติศาสตร์การรับรู้ของมนุษย์เท่านั้น        

ส่วนการตีความและการเข้าใจ วัตถุนิยม” ว่า  เป็นเรื่องของวัตถุล้วนๆเพียงอย่างเดียวนั้น    น่าจะเป็นความพยายามของมิตรท่านนี้เพื่อจะอธิบายว่าโหราศาสตร์นั้นเป็นวัตถุนิยมตามความเข้าใจของท่านเองที่เห็นว่าการทำนายทายทักนั้นได้มาจากปรากฏการณ์ของดวงดาวที่เป็นวัตถุ      แต่การทำนายนั้นไม่ ใช่ปรากฏการณ์ของดวงดาว   เราจึงอยากทำความเข้าใจว่าเรื่องราวของวัตถุนิยมนั้นไม่ได้จำกัดอยู่เพียงแค่เรื่องของวัตถุล้วนๆเท่านั้น       ในทางปรัชญาสาขาวัตถุนิยมถือว่าทุกสิ่งทุกอย่างเป็นวิทยาศาสตร์ เพื่อให้ง่ายต่อการจำแนกจึงได้แบ่งวิทยาศาสตร์ออกเป็นสองแขนงใหญ่คือวิทยาศาสตร์ธรรมชาติ ได้ แก่  เคมี   ฟิสิคส์   ภูมิศาสตร์   ชีววิทยา   วิศวกรรม  และปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ ฯลฯ  ส่วนอีกแขนงหนึ่งเป็นวิทยาศาสตร์สังคมได้แก่  รัฐศาสตร์  นิติศาสตร์  สังคมวิทยา   การเมือง  จิตวิทยา ฯลฯ   รวมไปถึงกระบวนการต่างๆทางธรรมชาติและสังคมที่เน้นหนักไปในทางพฤติกรรมทางการผลิตของมนุษย์ 

ปรากฏการณ์ธรรมชาติบางอย่างหรือกระบวนการทางสังคมก็ดี    แม้มันจะเกิดขึ้นตามธรรมชาติ  แต่ บางเรื่องมีลักษณะเป็นนามธรรม      อย่างเช่นการปล่อยกระแสไฟฟ้าเข้าไปในขดลวดก็จะเกิดสนาม แม่เหล็ก     เมื่อหมุนขดลวดตัดสนามแม่เหล็กก็จะเกิดกระแสไฟฟ้า    สนามแม่เหล็กและกระเสไฟฟ้านั้นแม้จะถือกำเนิดมาจากวัตถุ     แต่ก็ไม่ใช่วัตถุอย่างแน่นอนหากแต่เป็นพลังงาน     นี่เป็นข้อสรุปบางประการที่แสดงว่าวิทยาศาสตร์ไม่ใช่จำกัดอยู่เพียงเรื่องราวของวัตถุซึ่งเป็นรูปธรรมแต่เพียงอย่างเดียวยังหมายถึง ปรากฏการณ์  กระบวนการที่เกิดขึ้นด้วย

ผลที่เกิดจากการทดสอบทางวิทยาศาสตร์นั้นให้สัจธรรมเสมอ    แต่บางครั้งอาจจะเป็นเพียงสัจธรรมสัมพัทธ์หรือสัจธรรมชั่วคราวเท่านั้น และจะสูญสิ้นความเป็นสัจธรรมได้ในวันใดวันหนึ่ง   ถ้าคุณสมบัติ เฉพาะของมันและโลกธรรมชาติ(สิ่งแวดล้อม) เปลี่ยนแปลงพัฒนาไป      แต่การทำนายทายทักแบบโหราศาสตร์       ซึ่งไม่ว่าจะเป็นการอ้างเรื่องที่นอกเหนือไปจากวิสัยความรับรู้ของมนุษย์   ว่าเป็นสิ่งที่ไม่สามารถอธิบายได้   ไม่มีที่มาที่ไปเช่นเรื่องของ   ผีสางเทวดา  อิทธิปาฏิหาริย์  บุญบารมี  ญาณ วิเศษ    หรือรูปแบบของอุปกรณ์ที่ใช้ในการทำนายชนิดใดๆก็ดีล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องของจิตนิยม    ยิ่งในเรื่องของสิ่งที่เรียกว่า astrology หรือโหราศาสตร์แห่งดวงดาวที่พยายามอ้างถึงอิทธิพลของดวงดาวว่ามีผลต่อชะตาและการดำเนินชีวิตของมนุษย์โดยเฉพาะที่เป็นปัจเจกชนมากขึ้นเท่าใด    ก็ยิ่งก้าวลึกไปสู่ความเป็นจิตนิยมและอวิชชามากขึ้นเท่านั้น

เราลองมาเปรียบเทียบกันระหว่างวิชาโหราศาสตร์กับวิชาโบราณอีกแขนงหนึ่งที่มีกำเนิดในยุคสมัยที่ใกล้เคียงกันคือวิชาเล่นแร่แปรธาตุ (alchemy) ที่พัฒนามาเป็นวิชาเคมีในยุคปัจจุบันก็เพราะนักเล่นแร่แปรธาตุสามารถนำแร่ธาตุต่างๆมาศึกษาค้นคว้าทดลองทางวิทยาศาสตร์ได้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า   จนเข้าใจถึงคุณสมบัติต่างๆของแร่ธาตุเหล่านั้นตลอดไปจนถึงโครงสร้างที่เล็กที่สุดของมันที่เป็นลักษณะเฉพาะ และสามารถเรียนรู้ว่า   ธาตุชนิดใดบ้างที่มีอิทธิพลต่อชีวิตมนุษย์และสิ่งมีชีวิตทั้งหลาย เช่น   อ๊อกซีเจน ไฮโดรเจน  และธาตุต่างๆที่เป็นคุณประโยชน์(และโทษ)   แก่ชีวิตทางวัตถุแก่มนุษยชาติอย่างไม่อาจพรรณนาได้หมด

แต่วิชาโหราศาสตร์ไม่สามารถนำเอาดวงดาวเหล่านั้นมาศึกษาค้นคว้าได้ไม่ว่าจะเป็นลักษณะเฉพาะ      หรือลักษณะทั่วไปของมันว่ามันมีอิทธิพลต่อมนุษย์อย่างไรได้แต่คาดเดาเอาเอง     ทำนายโดยอาศัยการอ้างอิงเอาจากผลของการค้นพบทางวิทยาศาสตร์มาแล้วทั้งสิ้น    ไม่ว่าจะเป็นแรงโน้มถ่วง   วงโคจร   คราส   และแม้แต่ตำแหน่งของมัน      หากจะเขียน ”ดวง” แบบแสดงมิติ (perspective) เราจะพบความจริงว่า  ตำแหน่ง  ระยะเชิงมุม ฯลฯ ของดวงดาวจะผิดแผกแตกต่างไปจากพื้นดวงชาตาทางโหราศาสตร์อย่างชัดเจนเพราะเป็นการแสดงแค่สองมิติ   ไม่มีมิติที่สามซึ่งก็คือระยะห่างที่เป็นจริง  

เมื่อระยะทางคลาดเคลื่อนไป      โยคเกณฑ์ต่างๆ  ระยะเชิงมุม ฯลฯ ก็จะคลาดเคลื่อนไปด้วย  เอาแค่   การใช้จุดเมษ ที่ไม่เคลื่อนที่ของโหราศาสตร์แบบนิรายนะหรือโหราศาสตร์ไทย   ก็ผิดจากความเป็นจริงไปเกือบ 30 องศาหรือหนึ่งราศีแล้วทั้งๆที่โลกและระบบสุริยะเคลื่อนไหว   แม้แต่ “อันโตนาที”หรือ เวลาโคจรของดวงอาทิตย์ในราศีต่างๆที่โหราศาสตร์ไทยใช้กันทุกวันนี้ก็ยังหาที่มาที่ไปตามสภาพภูมิภูมิศาสตร์ที่แท้จริงไม่ได้     แล้วดวงดาวที่อยู่บนท้องฟ้านั้นจะมีอำนาจอิทธิพลมาบันดาลหรือบ่งบอกถึงความทุกข์   ความสุข   และความเป็นไปในวิถีชีวิตของมนุษย์ในอนาคตได้อย่างไรกัน  

ยิ่งดาวเคราะห์ต่างๆที่ถูกกำหนดให้เป็นตัวแทนของเทพเจ้าหรือเป็นตัวเทพเจ้าเองตามความเชื่อของคนโบราณที่มีความรู้ทางวิทยาศาสตร์น้อยมากหรือเกือบจะไม่มีเลย       จะไปอธิบายมันได้อย่างไรเพียง     แต่กำหนดเอาเองว่ามันน่าจะมีความหมายเช่นนั้นเช่นนี้    เช่นดาวอังคารซึ่งเป็นดาวเคราะห์ที่เรามองเห็นว่ามีสีเหลืองแดง     ก็มีจินตนาการไปว่ามันคล้ายสีเลือดจึงมอบตำแหน่งเทพแห่งสงครามให้ด้วยความเคารพและเกรงกลัว        อาจจะเป็นเพราะบังเอิญสังเกตเห็นมันมีสีสันเช่นนี้เมื่อมีสงครามเกิดขึ้นในครั้งก่อนๆกระมัง

ดังนั้นหากยามใดเทพเจ้าดาวอังคารปรากฏให้เห็นอย่างเด่นชัดตามสภาพของท้องฟ้าและอยู่ในตำแหน่งใกล้โลกมากที่สุด (perigee)     ก็จะคิดกระหวัดไปถึงการสงครามหรือเหตุการณ์รุนแรงต่างๆ       แต่มันก็ถูกกำหนดความหมายไว้หลายๆความหมายเพื่อประกันความเสี่ยงและความถูกต้องในการทำ นาย    ไม่ได้มีผลที่ชัดเจนเพียงอย่างเดียวเหมือนกระบวนการทดลองทางวิทยาศาสตร์     เช่นการรวมตัวของไฮโดรเจน(๒โมลกุล) และอ๊อกซีเจน(๑โมเลกุล)  จะกลายสถานะเป็นน้ำ  ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนกระบวนการและผลของมันก็จะเป็นอย่างเดียวกันทั้งสิ้น

จะอย่างไรก็ตามไม่ว่าจะใช้ทฤษฏีทางวิทยาศาสตร์ที่ก้าวหน้าเพียงใดมาวิเคราะห์      หรือจะใช้วัตถุในจักรวาลที่มีตัวตนมาอ้าง   ก็ไม่ได้ทำให้โหราศาสตร์มีความเป็นวิทยาศาสตร์ไปได้   เพราะความคิดพื้นฐานที่มาจากปรัชญาจิตนิยม   จึงไม่อาจใช้เหตุผลหรือข้อพิสูจน์ให้เห็นได้ว่ามันสอดคล้องกับวิชาวิทยาศาสตร์ได้อย่างไร     ในระยะนี้มีนักโหราศาสตร์ได้เรียงหน้ากันออกมาทำนายทายทักในหลายๆเรื่อง  ไม่ว่าจะกล่าวถึงสถานะภาพของบุคคลชั้นนำบางคนว่า  ดวงดี  เหมาะหรือดวงสมพงศ์กับการปฏิรูปและจะอยู่ในอำนาจอีกนาน   บางคนพอมีข่าวแผ่นดินไหวที่เนปาลก็ฉวยโอกาสออกมาทำนายว่าประเทศไทยจะมีหายนะภัยที่หนักหน่วงรุนแรง  โดยเฉพาะเหตุการณ์แผ่นดินไหวเป็นการโหนกระแสเพราะทำนายผิดเสียเป็นส่วนมาก       แต่คนพวกนี้ไม่เคยออกมากล่าวถึงความล้มเหลวของตนเลย

เราจึงหวังว่าประชาชนไทยจะสลัดหลุดออกจากความเชื่อที่ไร้เหตุผลทั้งปวงที่เป็นสิ่งสกัดกั้นขัดขวางความก้าวหน้าทางสติปัญญาและความเจริญรุ่งเรืองของสังคม      ตราบใดที่ความคิดอนุรักษ์นิยมทั้ง หลายยังอุดมสมบูรณ์อยู่ในสังคมไทย       เราก็ยังจะเห็นการทำนายทายทักที่มีลักษณะโฆษณาชวน เชื่อใส่ร้ายทำลายตัวบุคคล      การให้ฤกษ์ยามในการแย่งชิงอำนาจของประชาชน  หรือใช้เป็นเครื่อง มือในการประจบสอสอพลอคนโง่ที่เผอิญมีอำนาจในบ้านเมืองเพื่อประโยชน์ของตน     

พลังอนุรักษ์นิยมเหล่านี้แหละที่เป็นตัวถ่วงทำลายและสร้างความเสียหายให้แก่ความก้าวหน้าของมวลมนุษยชาติและสังคมอย่างใหญ่หลวงในช่วงเวลาของประวัติศาสตร์     โหราศาสตร์ก็เป็นหนึ่งของพลังอนุรักษ์นิยมนี้

บทความที่เกี่ยวข้อง.......1. วัตถุนิยมวิภาษ      2.  วัตถุนิยมประวัติศาสตร์
                                   3. ความคิดที่เป็นวิทยาศาสตร์