สืบเนื่องมาจากมิตรสหายท่านหนึ่งมีแนวคิดว่า ”โหราศาสตร์เป็นวิทยาศาสตร์และเป็นวิภาษวิธี” ซึ่งเราเห็นว่าเป็นทัศนะที่ไม่ถูกต้อง จึงใคร่แสดงทัศนะต่อความคิดของมิตรสหายท่านนั้นดังต่อไปนี้
ในเบื้องต้น เราเห็นว่ากระบวนการทางความคิดและทางการปฏิบัติของโหราศาสตร์เป็นเรื่องที่ไม่มีความเป็นวิทยาศาสตร์ หากจะนำมาเทียบเคียงกับดาราศาสตร์ที่เป็นวิทยาศาสตร์ธรรมชาตินั้นมีความแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง แม้จะมีจุดกำเนิดมาจากแหล่งเดียวกันคือการเฝ้าสังเกตและศึกษาดวงดาวบนท้องฟ้า แต่เมื่อพิจารณาจากลักษณะเฉพาะและผลของการตรวจสอบพิสูจน์ถึงความเป็นไปในกระ
บวนการของมันจะพบเห็นความแตกต่างกันโดยพื้นฐานแม้ว่าจะเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับดวงดาวเหมือน
กัน ยิ่งถ้าพิจารณาลึกลงไปกระทั่งถึงระดับ ค้นคว้า ทดลอง
ตรวจสอบกันโดยรอบคอบถึงสาระ สำคัญของความเป็นศาสตร์แล้วก็ยิ่งจะเห็นความแตกต่างได้ชัดเจนมากขึ้น เพราะดาราศาสตร์จะให้คำตอบที่เป็นสัจธรรมและสามารถสัมผัสได้มากกว่า
จนสามารถรวบรวมความรู้ต่างๆสร้างเป็นทฤษฎีขึ้นมาได้อย่างเป็นระบบ ยิ่งเมื่อนำเอาดวงดาวที่ทางโหราศาสตร์เชื่อกันว่ามีอิทธิพลต่อมวลมนุษย์มาพิจารณาด้วยแล้ว ก็ยิ่งเห็นถึงคุณสมบัติที่เป็นด้านเฉพาะของแต่ละศาสตร์ว่า
มีความขัดแย้งแตก ต่างกัน อย่างชัดแจน
สำหรับดาวเคราะห์.. เป็นปัจจัยที่นักโหราศาสตร์ใช้อ้างว่ามีอิทธิพลต่อมนุษย์โดยใช้ลักษณะทางกายภาพ(สีสัน) วงโคจร และปรากฏการณ์ต่างๆของมัน ซึ่งแต่ละดวงก็จะมีลักษณะเฉพาะที่แตกต่างกันออกไป ซึ่งก็เป็นเพียงความรับรู้เพียงผิวเผินจากการสังเกตของมนุษย์ยุคโบราณที่มีต่อดวงดาวและจักรวาลอันไพศาล..อีกด้านหนึ่งการพัฒนาความรู้ทางดาราศาสตร์อย่างที่เป็นวิทยาศาสตร์ทำให้มนุษย์สามารถนำมาพัฒนาก้าวไกลไปจนถึงขั้นส่งยานอวกาศออกไปสำรวจดาวดวงอื่นๆได้
นั่นเป็นผลพวงที่เกิดจากเป้าหมายของการเรียนรู้ การทดลอง และการพัฒนาด้วยวิถีทางแห่งการทดสอบปฏิบัติที่ซ้ำแล้วซ้ำอีก
ซึ่งมีแต่จะพัฒนาก้าวหน้ายิ่งขึ้นไปอีก
แต่ความรู้ในเรื่องราวเกี่ยวกับดวงดาวในด้านโหราศาสตร์ มีเป้าหมายเพียงนำเอาส่วนที่เป็นปรากฏ การณ์ (phenomena)
ของมันไม่ว่าจะเป็นการเกิดคราสต่างๆ
ระยะเชิงมุม(aspect) ตำแหน่งไกลสุด(apogee) และใกล้โลกที่สุด(perigee) การปรากฏตัวของดาวหาง ฯลฯ มาสร้างแนวคิด แล้วนำสิ่งที่คิดเดาเอาเองนี้ไปทำนาย(ไม่ใช่อธิบาย)สรรพสิ่ง ตั้งแต่ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ
โยงไปถึงเรื่องการเสริมสร้างอำนาจให้แก่ชนชั้นปกครอง ไปจนถึงเรื่องการทำนายทายทักโชคชะตาของปัจเจกชน ซึ่งยังไม่เคยมีการยอมรับจากนักวิทยาศาสตร์หรือสถาบันทางวิชาการใดๆว่าปรากฏการณ์ของดวงดาวแต่ละดวงนั้นจะมีอิทธิพลต่อการดำรงชีวิตประจำวันและความเป็นไปของมนุษย์ แล้วจะให้นับเอาโหราศาสตร์ว่าเป็นวิทยาศาสตร์ได้อย่างไร
ดีที่สุดก็พอจะอนุโลมให้เป็นได้ก็เพียงวิทยาศาสตร์เทียม
(pseudo-science) และเป็นจิตนิยมโดยพื้นฐาน
เป้าประสงค์ของการเชื่อมโยงโหราศาสตร์กับวิทยาศาสตร์เข้าด้วยกันก็เพื่อให้ดูเหมือนว่ามันเป็นสิ่งเดียวกัน ด้วยความพยายามที่จะผสมผสานและรอมชอมแนวคิดของปรัชญาจิตนิยม(โหราศาสตร์)กับวัตถุนิยม(วิทยาศาสตร์)เข้าด้วยกัน
โดยอาศัยการตีความเรื่องวัตถุ และ
จิตตามแบบอภิปรัชญา (methaphysics) ที่ยังไม่หลุดพ้นจากความเป็นจิตนิยมนั้น ไม่ว่าจะเกิดจากเจตนาหรือไม่ก็ตาม หรือแม้กระทั่งการใช้คำว่า
astrology ( ซึ่งน่าแปลเป็นไทยว่าการใช้ดวงดาวมาเป็นเครื่องมือทำนายทางโห ราศาสตร์มากกว่าที่จะใช้คำว่า
โหราศาสตร์แห่งดวงดาว) ก็น่าจะเป็นเพียงความปรารถนาที่ต้อง การจะยกระดับของโหราศาสตร์ให้มีความเคร่งขลัง
หนักแน่น น่าเชื่อถือขึ้นเท่านั้น
ทั้งๆที่พื้นฐานระบบความคิดทางปรัชญาของมันเป็นจิตนิยมและอยู่กันคนละขั้วกับวัตถุนิยมซึ่งขัดแย้งกันมาตลอดระยะเวลาประวัติศาสตร์อันยาวนานของมนุษยชาติ
หากคำว่า ”ศาสตร์ ”
หมายถึงความรู้ ศาสตร์แห่งดวงดาวก็ย่อมต้องหมายถึงความรู้เกี่ยวกับดวงดาว
ซึ่งมนุษย์พยายามค้นคว้าหาวิธีศึกษาเรียนรู้ถึงคุณสมบัติต่างๆของมันไม่ว่าจะเป็นการโคจร
และองค์ ประกอบทั้งหลาย ตลอดไปจนถึงความเกี่ยวเนื่องสัมพันธ์ของมันกับดาวดวงอื่นๆในระบบสุริยะและจักรวาล และเรียกมันว่า“ดาราศาสตร์”หรือ“astronomy”มาตั้งแต่ต้นและไม่มีกลิ่นไอของ
โหราศาสตร์แห่งดวงดาว (astrology) มาเกี่ยวข้องด้วยเลย
จะว่าไปแล้วเรื่องที่มนุษย์ให้ความสนใจและสงสัยมากที่สุดมาแต่โบราณกาลก็คือดวงดาวบนท้องฟ้าและปรากฏการณ์ต่างๆของมัน แน่นอนต้องมีการศึกษาจดข้อมูลบันทึกเอาไว้
และนี่ก็คือรากฐานของการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ธรรมชาติของมนุษย์ในสมัยที่ยังไม่มีเทคโนยีที่ทันสมัยเช่นในปัจจุบัน
แต่ถ้าจะแปรเอาเหตุการณ์เหล่านี้ไปทำนายทายทักสิ่งที่จะเกิดขึ้นหรือน่าจะเกิดขึ้นในอนาคต แล้วสรุปเอาว่ามันมีอิทธิพลต่อชีวิตมนุษย์โดยรวมนั้น ย่อมไม่ใช่วิถีทางของวิทยาศาสตร์
การใช้วิภาษวิธีไปมองโหราศาสตร์นั้นนับว่าเป็นความก้าวหน้าอย่างยิ่ง แต่หากจะให้หมายความว่าโหราศาสตร์และการทำนายทายทักเป็นเรื่องของวิภาษวิธีอีกด้วยนั้นไม่ถูกต้องอย่างแน่นอน แนวคิดเช่นนี้น่าจะเป็นปัญหาทางความรับรู้ในแก่นแท้ของวิภาษวิธีมากกว่า เพราะวิภาษวิธีก็เป็นเพียงวิถี ทางที่จะเข้าถึงความจริงของสรรพสิ่งในโลกธรรมชาติและการ
”เคลื่อนไหวพัฒนา” หรือปรากฏการณ์ อันเนื่องมาจากความขัดแย้งของมันสรรพสิ่ง และการที่มันมีความสัมพันธ์กับปรากฏหารณ์ของสิ่งอื่นมากกว่า การอ้างถึงวิธีพยากรณ์โดยใช้วิภาษวิธีมาวิเคราะห์ดวงดาวและความสัมพันธ์ของมันว่ามีความเกี่ยวโยงและมีอิทธิพลถึงดวงชาตาของมนุษย์ด้วยแล้วยิ่งไปกันใหญ่ แนวคิดเช่นนี้น่าจะเป็นวิภาษวิธีจิตนิยมของเฮเกลนักปรัชญาผู้ยิ่งใหญ่คนหนึ่งแห่งยุคสมัยซึ่งมีทัศนะต่อสรรพสิ่งว่า
”ในจักรวาล..ทุกสิ่งทุกอย่างมีการเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลง ไม่มีอะไรแยกออกเป็นเอกเทศแม้ แต่จิต” และเขาได้เรียกความเคลื่อนไหวนี้ว่า
“วิภาษวิธี”
แต่เฮเกลยังไม่หลุดพ้นจากความเป็นนักปรัชญาจิตนิยม
เพราะเขายังยืนยันว่า ”จิต”(ความคิด)มีความสำคัญเป็นอันดับแรกและมีทัศนะต่อการเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงของสรรพสิ่งว่า
“การเปลี่ยนแปลงทางจิตมีผลให้เกิดการเปลี่ยน แปลงทางวัตถุ” และ “ก่อนมีจักรวาลก็มีจิตอยู่แล้ว จิตเป็นผู้สร้างจักรวาล” บทสรุปเช่นนี้เองทำให้คุณค่าวิภาษวิธีของเขาไม่อาจเปล่งประกายออกมาได้อย่างถึงที่สุด เพราะยังไม่อาจหลุดพ้นจากกรอบของจิตนิยม ดังนั้นวิภาษวิธีของเฮเกลจึงเป็นวิภาษวิธีแบบจิตนิยม
วัตถุนิยมวิภาษ มีพื้นฐานมาจากการต่อสู้อย่างยาวนานกับความคิดและปรัชญาจิตนิยม มาร์กซได้สร้างคุณูปการในการสร้างทฤษฎีขึ้นมาใหม่ โดยกลั่นกรองและตัดทอนเอาความคิดจิตนิยมในทัศนะของเฮเกลออกไปให้เหลือแต่วิภาษวิธีบวกกับแนวคิดทางวัตถุนิยมมาผสมผสาน แล้วตัดความเป็นกลไกของมันทิ้งจนไปจนกลายมาเป็นปรัชญา
”วัตถุนิยมวิภาษ” ที่มีพื้นฐานอยู่บนการปฏิบัติและการ ทดลองทางวิทยาศาสตร์ ส่วนการอ้างว่า...โหราศาสตร์ก็มีพื้นฐานมาจากวัตถุเพราะดวงดาวต่างๆนั้นเป็นวัตถุ....เป็นเรื่องที่ถูกต้องอย่างไม่ต้องสงสัย จะมีความเป็นวิทยาศาสตร์ก็เพียงแต่ในความ
หมายเช่นนี้เท่านั้น ไม่อาจรวมไปถึงการเอาส่วนที่เป็น
”ปรากฏการณ์” ของมันมาใช้ทำนายทายทัก
หากยังยืนยันว่ามันมีอิทธิพลต่อมนุษย์ จนสามารถบอกกล่าวล่วงหน้าถึงอนาคตหรือเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในภายภาคหน้าได้แล้วละก้อ โหราศาสตร์จำเป็นต้องพิสูจน์สิ่งนี้ออกมาให้ได้ว่ามันเป็นไปตามคำทำนาย
หากทำไม่ได้มันก็คือระบบความคิดที่มีความโน้มเอียงไปสู่ความเป็นจิตนิยมนั่นเอง ไม่มีอะไรให้ต้องมาพิจารณาตีความกันอีก มันไม่ต่างอะไรกับความเชื่อที่ว่าปลูกต้นมะยมไว้หน้าบ้านแล้วจะทำให้เจ้าของบ้านเป็นที่รักใคร่ได้รับความนิยมชมชอบจากผู้คน ทั้งๆที่เจ้าของบ้านเป็นมหาโจร เพราะนั่นคือทัศนะของจิตนิยมโดยแท้
มิตรสหายท่านนั้นยังเน้นย้ำถึงความหนักแน่นในการสร้างความน่าเชื่อถือมาสนับสนุนความคิดของตน โดยอ้างหลักฐานยืนยันความเก่าแก่ของความเป็น”ศาสตร์”
ของโหราศาสตร์ ว่ามีอายุยืนยาวมากกว่า ๓๗๐๐ ปี ตั้งแต่สมัยบาบิโลเนีย แต่จากการขุดค้นทางโบราณคดีในอิรัคได้พบแผ่นจารึกดินเผาในห้องโถงของพระราชวังนิเนเวห์(nineveh)ของกษัตริย์อัสซูร์มานิปาล
แห่งอัสซีเรีย เป็นจารึกเกี่ยว กับเรื่องราวของดวงดาวต่างๆโดยเฉพาะดวงจันทร์เสียเป็นส่วนใหญ่
จึงพอจะสันนิษฐานได้ว่าผู้มีอำ นาจแห่งยุคได้สั่งให้ปราชญ์เฝ้าสังเกตติดตามทำการศึกษาการโคจรและปรากฏการณ์ของดวงดาวแต่ละดวงบนท้องฟ้าที่สามารถเห็นด้วยตาเปล่าตามสถานที่ต่างกันในอาณาจักร
เพราะมีความเชื่อว่านั่นเป็นองค์เทพเจ้า(จิตนิยม?)
ที่จะบันดาลให้เกิดเหตุการณ์ต่างๆทั้งดีและร้ายได้ จึงต้องคอยติด ตามเอาอกเอาใจเทพเจ้าเพื่ออ้อนวอนร้องขอให้แสดงปาฏิหาริย์หรือปรากฏการณ์บางสิ่งบางอย่างเพื่อเป็นการเตือนให้รู้ล่วงหน้าถึงภยันตรายหรืออะไรก็แล้วแต่ให้ได้ล่วงรู้ อีกทั้งมีการถวายสิ่งของเป็นการติดสินบนแก่เทพเจ้าอีกด้วย
อีกนัยหนึ่งการสังเกตศึกษาในเรื่องดวงดาวทำให้นักปราชญ์ในสมัยโบราณได้เรียนรู้ว่า เวลาใดจึงจะเหมาะแก่การเพาะปลูก การเก็บเกี่ยว การทำสงคราม
จัดงานสังสรรค์ รู้จักจำแนกฤดูกาล กระ ทั่งการสร้างปฏิทินขึ้นมา สิ่งเหล่านี้ต่างหากที่เป็นผลผลิตทางวิทยาศาสตร์ไม่ใช่การทำนายทายทักโดยปราศจากรากฐานใดๆมารองรับ
ถึงอย่างไรก็ตาม.....การกำเนิดขึ้นของโหราศาสตร์นั้นก็คงเป็นเพียงเศษเสี้ยวหนึ่งของประวัติศาสตร์การรับรู้ของมนุษย์เท่านั้น
ส่วนการตีความและการเข้าใจ ”วัตถุนิยม” ว่า เป็นเรื่องของวัตถุล้วนๆเพียงอย่างเดียวนั้น น่าจะเป็นความพยายามของมิตรท่านนี้เพื่อจะอธิบายว่าโหราศาสตร์นั้นเป็นวัตถุนิยมตามความเข้าใจของท่านเองที่เห็นว่าการทำนายทายทักนั้นได้มาจากปรากฏการณ์ของดวงดาวที่เป็นวัตถุ
แต่การทำนายนั้นไม่ ใช่ปรากฏการณ์ของดวงดาว เราจึงอยากทำความเข้าใจว่าเรื่องราวของวัตถุนิยมนั้นไม่ได้จำกัดอยู่เพียงแค่เรื่องของวัตถุล้วนๆเท่านั้น ในทางปรัชญาสาขาวัตถุนิยมถือว่าทุกสิ่งทุกอย่างเป็นวิทยาศาสตร์ เพื่อให้ง่ายต่อการจำแนกจึงได้แบ่งวิทยาศาสตร์ออกเป็นสองแขนงใหญ่คือวิทยาศาสตร์ธรรมชาติ
ได้ แก่ เคมี ฟิสิคส์ ภูมิศาสตร์ ชีววิทยา วิศวกรรม และปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ ฯลฯ ส่วนอีกแขนงหนึ่งเป็นวิทยาศาสตร์สังคมได้แก่ รัฐศาสตร์
นิติศาสตร์ สังคมวิทยา การเมือง
จิตวิทยา ฯลฯ รวมไปถึงกระบวนการต่างๆทางธรรมชาติและสังคมที่เน้นหนักไปในทางพฤติกรรมทางการผลิตของมนุษย์
ปรากฏการณ์ธรรมชาติบางอย่างหรือกระบวนการทางสังคมก็ดี แม้มันจะเกิดขึ้นตามธรรมชาติ แต่ บางเรื่องมีลักษณะเป็นนามธรรม อย่างเช่นการปล่อยกระแสไฟฟ้าเข้าไปในขดลวดก็จะเกิดสนาม
แม่เหล็ก เมื่อหมุนขดลวดตัดสนามแม่เหล็กก็จะเกิดกระแสไฟฟ้า
สนามแม่เหล็กและกระเสไฟฟ้านั้นแม้จะถือกำเนิดมาจากวัตถุ แต่ก็ไม่ใช่วัตถุอย่างแน่นอนหากแต่เป็นพลังงาน นี่เป็นข้อสรุปบางประการที่แสดงว่าวิทยาศาสตร์ไม่ใช่จำกัดอยู่เพียงเรื่องราวของวัตถุซึ่งเป็นรูปธรรมแต่เพียงอย่างเดียวยังหมายถึง
ปรากฏการณ์ กระบวนการที่เกิดขึ้นด้วย
ผลที่เกิดจากการทดสอบทางวิทยาศาสตร์นั้นให้สัจธรรมเสมอ แต่บางครั้งอาจจะเป็นเพียงสัจธรรมสัมพัทธ์หรือสัจธรรมชั่วคราวเท่านั้น
และจะสูญสิ้นความเป็นสัจธรรมได้ในวันใดวันหนึ่ง
ถ้าคุณสมบัติ เฉพาะของมันและโลกธรรมชาติ(สิ่งแวดล้อม) เปลี่ยนแปลงพัฒนาไป แต่การทำนายทายทักแบบโหราศาสตร์ ซึ่งไม่ว่าจะเป็นการอ้างเรื่องที่นอกเหนือไปจากวิสัยความรับรู้ของมนุษย์ ว่าเป็นสิ่งที่ไม่สามารถอธิบายได้ ไม่มีที่มาที่ไปเช่นเรื่องของ ผีสางเทวดา
อิทธิปาฏิหาริย์ บุญบารมี
ญาณ วิเศษ
หรือรูปแบบของอุปกรณ์ที่ใช้ในการทำนายชนิดใดๆก็ดีล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องของจิตนิยม ยิ่งในเรื่องของสิ่งที่เรียกว่า
astrology หรือโหราศาสตร์แห่งดวงดาวที่พยายามอ้างถึงอิทธิพลของดวงดาวว่ามีผลต่อชะตาและการดำเนินชีวิตของมนุษย์โดยเฉพาะที่เป็นปัจเจกชนมากขึ้นเท่าใด ก็ยิ่งก้าวลึกไปสู่ความเป็นจิตนิยมและอวิชชามากขึ้นเท่านั้น
เราลองมาเปรียบเทียบกันระหว่างวิชาโหราศาสตร์กับวิชาโบราณอีกแขนงหนึ่งที่มีกำเนิดในยุคสมัยที่ใกล้เคียงกันคือวิชาเล่นแร่แปรธาตุ
(alchemy)
ที่พัฒนามาเป็นวิชาเคมีในยุคปัจจุบันก็เพราะนักเล่นแร่แปรธาตุสามารถนำแร่ธาตุต่างๆมาศึกษาค้นคว้าทดลองทางวิทยาศาสตร์ได้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนเข้าใจถึงคุณสมบัติต่างๆของแร่ธาตุเหล่านั้นตลอดไปจนถึงโครงสร้างที่เล็กที่สุดของมันที่เป็นลักษณะเฉพาะ
และสามารถเรียนรู้ว่า ธาตุชนิดใดบ้างที่มีอิทธิพลต่อชีวิตมนุษย์และสิ่งมีชีวิตทั้งหลาย
เช่น อ๊อกซีเจน ไฮโดรเจน และธาตุต่างๆที่เป็นคุณประโยชน์(และโทษ) แก่ชีวิตทางวัตถุแก่มนุษยชาติอย่างไม่อาจพรรณนาได้หมด
แต่วิชาโหราศาสตร์ไม่สามารถนำเอาดวงดาวเหล่านั้นมาศึกษาค้นคว้าได้ไม่ว่าจะเป็นลักษณะเฉพาะ หรือลักษณะทั่วไปของมันว่ามันมีอิทธิพลต่อมนุษย์อย่างไรได้แต่คาดเดาเอาเอง
ทำนายโดยอาศัยการอ้างอิงเอาจากผลของการค้นพบทางวิทยาศาสตร์มาแล้วทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นแรงโน้มถ่วง วงโคจร คราส และแม้แต่ตำแหน่งของมัน หากจะเขียน
”ดวง” แบบแสดงมิติ
(perspective) เราจะพบความจริงว่า ตำแหน่ง
ระยะเชิงมุม ฯลฯ ของดวงดาวจะผิดแผกแตกต่างไปจากพื้นดวงชาตาทางโหราศาสตร์อย่างชัดเจนเพราะเป็นการแสดงแค่สองมิติ ไม่มีมิติที่สามซึ่งก็คือระยะห่างที่เป็นจริง
เมื่อระยะทางคลาดเคลื่อนไป โยคเกณฑ์ต่างๆ ระยะเชิงมุม ฯลฯ ก็จะคลาดเคลื่อนไปด้วย เอาแค่
การใช้”จุดเมษ” ที่ไม่เคลื่อนที่ของโหราศาสตร์แบบนิรายนะหรือโหราศาสตร์ไทย
ก็ผิดจากความเป็นจริงไปเกือบ 30 องศาหรือหนึ่งราศีแล้วทั้งๆที่โลกและระบบสุริยะเคลื่อนไหว แม้แต่ “อันโตนาที”หรือ เวลาโคจรของดวงอาทิตย์ในราศีต่างๆที่โหราศาสตร์ไทยใช้กันทุกวันนี้ก็ยังหาที่มาที่ไปตามสภาพภูมิภูมิศาสตร์ที่แท้จริงไม่ได้ แล้วดวงดาวที่อยู่บนท้องฟ้านั้นจะมีอำนาจอิทธิพลมาบันดาลหรือบ่งบอกถึงความทุกข์ ความสุข
และความเป็นไปในวิถีชีวิตของมนุษย์ในอนาคตได้อย่างไรกัน
ยิ่งดาวเคราะห์ต่างๆที่ถูกกำหนดให้เป็นตัวแทนของเทพเจ้าหรือเป็นตัวเทพเจ้าเองตามความเชื่อของคนโบราณที่มีความรู้ทางวิทยาศาสตร์น้อยมากหรือเกือบจะไม่มีเลย จะไปอธิบายมันได้อย่างไรเพียง แต่กำหนดเอาเองว่ามันน่าจะมีความหมายเช่นนั้นเช่นนี้
เช่นดาวอังคารซึ่งเป็นดาวเคราะห์ที่เรามองเห็นว่ามีสีเหลืองแดง
ก็มีจินตนาการไปว่ามันคล้ายสีเลือดจึงมอบตำแหน่งเทพแห่งสงครามให้ด้วยความเคารพและเกรงกลัว อาจจะเป็นเพราะบังเอิญสังเกตเห็นมันมีสีสันเช่นนี้เมื่อมีสงครามเกิดขึ้นในครั้งก่อนๆกระมัง
ดังนั้นหากยามใดเทพเจ้าดาวอังคารปรากฏให้เห็นอย่างเด่นชัดตามสภาพของท้องฟ้าและอยู่ในตำแหน่งใกล้โลกมากที่สุด (perigee) ก็จะคิดกระหวัดไปถึงการสงครามหรือเหตุการณ์รุนแรงต่างๆ แต่มันก็ถูกกำหนดความหมายไว้หลายๆความหมายเพื่อประกันความเสี่ยงและความถูกต้องในการทำ
นาย ไม่ได้มีผลที่ชัดเจนเพียงอย่างเดียวเหมือนกระบวนการทดลองทางวิทยาศาสตร์ เช่นการรวมตัวของไฮโดรเจน(๒โมลกุล)
และอ๊อกซีเจน(๑โมเลกุล)
จะกลายสถานะเป็นน้ำ ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนกระบวนการและผลของมันก็จะเป็นอย่างเดียวกันทั้งสิ้น
จะอย่างไรก็ตามไม่ว่าจะใช้ทฤษฏีทางวิทยาศาสตร์ที่ก้าวหน้าเพียงใดมาวิเคราะห์
หรือจะใช้วัตถุในจักรวาลที่มีตัวตนมาอ้าง
ก็ไม่ได้ทำให้โหราศาสตร์มีความเป็นวิทยาศาสตร์ไปได้ เพราะความคิดพื้นฐานที่มาจากปรัชญาจิตนิยม จึงไม่อาจใช้เหตุผลหรือข้อพิสูจน์ให้เห็นได้ว่ามันสอดคล้องกับวิชาวิทยาศาสตร์ได้อย่างไร
ในระยะนี้มีนักโหราศาสตร์ได้เรียงหน้ากันออกมาทำนายทายทักในหลายๆเรื่อง ไม่ว่าจะกล่าวถึงสถานะภาพของบุคคลชั้นนำบางคนว่า
ดวงดี เหมาะหรือดวงสมพงศ์กับการปฏิรูปและจะอยู่ในอำนาจอีกนาน บางคนพอมีข่าวแผ่นดินไหวที่เนปาลก็ฉวยโอกาสออกมาทำนายว่าประเทศไทยจะมีหายนะภัยที่หนักหน่วงรุนแรง
โดยเฉพาะเหตุการณ์แผ่นดินไหวเป็นการโหนกระแสเพราะทำนายผิดเสียเป็นส่วนมาก แต่คนพวกนี้ไม่เคยออกมากล่าวถึงความล้มเหลวของตนเลย
เราจึงหวังว่าประชาชนไทยจะสลัดหลุดออกจากความเชื่อที่ไร้เหตุผลทั้งปวงที่เป็นสิ่งสกัดกั้นขัดขวางความก้าวหน้าทางสติปัญญาและความเจริญรุ่งเรืองของสังคม
ตราบใดที่ความคิดอนุรักษ์นิยมทั้ง หลายยังอุดมสมบูรณ์อยู่ในสังคมไทย เราก็ยังจะเห็นการทำนายทายทักที่มีลักษณะโฆษณาชวน เชื่อใส่ร้ายทำลายตัวบุคคล การให้ฤกษ์ยามในการแย่งชิงอำนาจของประชาชน หรือใช้เป็นเครื่อง มือในการประจบสอสอพลอคนโง่ที่เผอิญมีอำนาจในบ้านเมืองเพื่อประโยชน์ของตน
พลังอนุรักษ์นิยมเหล่านี้แหละที่เป็นตัวถ่วงทำลายและสร้างความเสียหายให้แก่ความก้าวหน้าของมวลมนุษยชาติและสังคมอย่างใหญ่หลวงในช่วงเวลาของประวัติศาสตร์
โหราศาสตร์ก็เป็นหนึ่งของพลังอนุรักษ์นิยมนี้
บทความที่เกี่ยวข้อง.......1. วัตถุนิยมวิภาษ
2. วัตถุนิยมประวัติศาสตร์
3. ความคิดที่เป็นวิทยาศาสตร์
No comments:
Post a Comment