เรื่องที่น่าตื่นตระหนกห้าประการเกี่ยวกับสงครามกับจีนที่กำลังใกล้เข้ามา
จากภาพยนตร์สารคดี
โดย จอห์น พิลเกอร์ 10 Dec, 2016
จอห์น พิลเกอร์
นักหนังสือพิมพ์กล่าวว่า ฐานทัพของอเมริกานับสิบๆแห่งที่ตั้งโอบล้อมจีนอยู่เป็นประหนึ่ง
“บ่วงแร้วขนาดใหญ่”
และประวัติศาสตร์ของการปรากฏตัวด้านอาวุธนิวเคลียร์ของอเมริกาในภูมิภาคแปซิฟิค,สงครามระหว่างมหาอำนาจทางการทหารที่ใหญ่ที่สุดกับประเทศที่มีเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับสองของโลก ไม่ใช่เป็นเรื่องที่ไม่อาจคาดคิดอีกต่อไป
ในภาพยนต์สารคดีของเขาเรื่อง “สงครามที่จะมาถึงของจีน” ที่ได้ออกอากาศทางช่อง อาร์ ที ด๊อคคิวเมนแทรี่
เมื่อปลายสัปดาห์นี้ นักข่าวและผู้สร้างภาพยนตร์สารคดีที่ได้รับรางวัลมากมายได้ยืนยันความตั้งใจของตนที่จะ
“ทำลายความเงียบงัน” ลงไป พิลเกอร์เริ่มต้นจากการสังเกตข้อเท็จจริงต่างๆทางประวัติศาสตร์ที่ละเลยการแสดงแสนยานุภาพของอเมริกาในย่านเอเซีย-แปซิฟิค
นักข่าวชาวออสเตรเลียกล่าวที่ฐานทัพของอังกฤษ ในตะวันตกเห็นว่า..”การคุกคามของจีนได้กลายเป็นข่าวที่มีความสำคัญ...สื่อได้พากันประโคมโหมกระหน่ำกลองสงครามราวกับจะให้โลกเห็นและระมัดระวังจีนว่าเป็นศัตรูตัวใหม่
” สื่อหลักของโลกเช่น ซี เอ็น เอ็น
ได้นำเสนอข่าวนี้แยกออกเป็นข่าวพิเศษในกรณีที่สหรัฐฯประกาศควบคุมเที่ยวบินต่างๆเหนือบริเวณหมู่เกาะที่เกิดกรณีพิพาทในทะเลจีนใต้ ภาพ
ยนต์ของพิลเกอร์ระบุว่า
“ฐานทัพของสหรัฐฯได้สร้างบ่วงแร้วขนาดยักษ์ในการปิดล้อมจีนด้วย
ขีปนาวุธ..เครื่องบินทิ้งระเบิด กองเรือรบ
ในเส้นทางทั้งหมดตั้งแต่ออสเตรเลียตลอดทั้งแปซิฟิคไปยังเอเชียและไกลกว่านั้น” เจมส์ แบรดเลย์
ในฐานะของผู้เผยแพร่ภาพยนต์ข่าวผู้หนึ่ง.. และเป็นผู้เขียนหนังสือเรื่อง “จีน..ภาพลวงตา” กล่าวว่า
“ถ้าคุณอยู่ในกรุงปักกิ่งและยืนอยู่บนตึกที่สูงที่สุดและมองไปยังมหาสมุทรแปซิฟิค...คุณจะเห็นเรือรบของสหรัฐฯ.คุณก็น่าจะเห็นเกาะกวมที่กำลังจะจมลงเพราะน้ำหนักของบรรดา
ขีปนาวุธที่เล็งเป้าไปยังจีน”
ความลับของเกาะบิกินี
คือสถานที่ทดลองระเบิดนิวเคลียร์ของสหรัฐฯมานานหลายปี เป็นชื่อที่ดังกระฉ่อนในเรื่องของความอื้อฉาว เป็นเกาะปะการัง(Atoll)ที่ยืมชื่อมาจากการออกแบบชุดว่ายน้ำของสุภาพสตรี..เกาะปะการังนี้อยู่ในหมู่เกาะมาร์แชลที่เป็น”ยุทธศาสตร์ลับของอเมริกา”
ตั้งอยู่ในมหาสมุทรแปซิฟิคที่กว้างใหญ่
ระ หว่างอเมริกาและเอเซีย
เป็นบันไดหินที่ดีเยี่ยมในการก้าวไปสู่เอเชียและจีน ปี 1946 สหรัฐฯได้รับการมอบหมายให้ดูแลหมู่เกาะในแปซิฟิคเหล่านี้ภายใต้สนธิสัญญาของสหประชาชาติ แต่มันได้ถูกเปลี่ยนไปเป็น
“ห้องทดลองของการทดสอบอาวุธนิวเคลียร์
ประชากรของที่นี่ก็ได้กลายเป็นหนูทดลอง”
ในภาพยนตร์กล่าวต่อไปว่า..รวมไปถึงผลการทดลองระเบิดนิวเคลียร์ที่ได้ทดสอบกับสัตว์ต่างๆด้วย
![]() |
ในขณะเดียวกันชุดว่ายน้ำบิกินีก็ได้ปรากฏขึ้นหลังจากการทดลองระเบิดไฮโดรเจนของสหรัฐฯที่เกาะปะการังบิกินี...แต่รูปร่างของชาวเกาะก็ไม่ได้โด่งดังอย่างผู้ที่สวมใส่ พวกเขากลับอาศัยอยู่ท่ามกลางสถานที่ๆมีกัมมันตภาพรังสีมากที่สุดในโลก
จากการทดลองในทะเล อากาศ บนแนวปะการัง
และใต้น้ำ ผลรวมของการทดลองระเบิดทั้งบนเกาะและรอบๆหมู่เกาะมาร์แชลนั้นมีปริมาณมากกว่าการทิ้งระเบิดที่ฮิโรชิมาถึง
7,200
เท่า นั่นหมายความว่าเมื่อเทียบกันแล้วจะมากกว่า
การทิ้งระเบิดที่ฮิโรชิมาวันละหนึ่งลูกทุกๆวันนานถึง 12 ปี พิลเกอร์กล่าวว่า
จนถึงทุกวันนี้เกาะบิกินีก็ยังไม่เหมาะสำหรับมนุษย์ที่จะอยู่อาศัย
พื้นที่บริเวณรอบๆปล่องภูเขาไฟที่ใหญ่ที่สุดซึ่งมนุษย์ได้สร้างขึ้นจากการทดลองระเบิดไฮโดรเจนที่เรียกว่า
“บราโว” คือแหล่งที่มีมลพิษเจือปนมากที่สุดบนโลกใบนี้ สารคดีได้อ้างคำพูดของเจ้าหน้าที่
สหรัฐฯที่เกี่ยวกับพลังงานนิวเคลียร์ว่า..”มันจะเป็นเรื่องน่าสนใจที่จะแสดงให้เห็นว่ามนุษย์สามารถจะอยู่อาศัยในสิ่งแวดล้อมที่มีการปนเปื้อนได้”...ในขณะที่ผู้ผลิตสารคดีนี้ได้สำรวจพบถึงภัยอันตรายว่าประชา ชนที่อาศัยอยู่บนเกาะปะการังหลายคนเสียชีวิตจากโรคมะเร็ง
“สิ่งที่ชาวอเมริกันทำนั้นไม่ใช่อุบัติเหตุ พวกเขามาที่นี่เพื่อทำลายแผ่นดินของเรา
พวกเขามาเพื่อทดสอบผลของการทดลองระเบิดนิวเคลียร์กับพวกเรา” สตรีท้องถิ่นกล่าวกับคณะของเรา
การเหยียดเชื้อชาติในแปซิฟิค
การสร้าวฐานทัพของอเมริกันในภูมิภาคนี้..ชี้ชัดว่า “เป็นเรื่องที่มีความสำคัญและเป็นความลับสุดยอด”เรื่องหนึ่งที่รู้จักกันในนาม
แหล่งทดลองของ โรนัล เรแกน
นักข่าวพบว่าฐานยิงจรวดของสหรัฐฯขึ้นตรงต่อเขาในการ “ควบคุมเส้นทางทั้งหมดในมหาสมุทรแปซิฟิคที่จะไปสู่เอเชียและจีน”
ด้วยอาวุธทั้งมวลในการทำลายล้างที่
“ออกแบบมาสำหรับสงครามที่กำลังจะมาถึง”
ฐานทัพทั้งหลายคือส่วน ”น่าสัง เกตุ”
ของแผนควบคุมทางอากาศของสหรัฐฯที่รู้กันในนาม “วิสัยทัศน์ 2020” ที่ออกแบบไว้เมื่อทศวรรษ
ที่ 1990
สามารถอธิบายอย่างเป็นทางการว่าครอบคลุมอย่าง “เต็มรูปแบบ”
วอชิงตันได้ทุ่มเงินจำนวน มหาศาลไปกับความทะเยอทะยานทางการทหาร
ด้วยการซ้อมรบทางอากาศ..ทดลองยิงจรวดข้ามทวีปจากแคลิฟอร์เนียไปยังหมู่เกาะมาแชลส์
ที่มีระยะทางถึง 5000 ไมล์ ในขณะที่คนท้องถิ่นยังจมอยู่กับความยากจน
อเมริกันปฏิบัติต่อประชาชนผู้อาศัยอยู่อีกฟากหนึ่งของอ่าวที่ตรงกันข้ามกับฐานทัพของตนอย่างที่พิลเกอร์ให้คำนิยามว่า
“การเหยียดเชื้อชาติแห่งแปซิฟิค”
และที่อาศัยของชาวพื้นเมืองว่า “แหล่งเสื่อมโทรมแห่งแปซิฟิค” ชาวเกาะกว่า 12,000 คนล้วนแต่เป็นผู้อพยพจากที่อยู่เดิมของตน
ซึ่งปัจจุบันนี้คือฐานยิงจรวดของสหรัฐฯ
และผู้คนบนเกาะที่มีมลพิษจากการทดลองนิวเคลียร์ซึ่งถูกนำมาทำงานอยู่ในสนามกอล์ฟสำหรับชาวอเมริกันในฐานทัพ
หลังจากทำงานหนักทั้งวันพวกเขาก็ลงเรือเฟอร์รี่กลับบ้านไปสู่ความยากจนเช่นเดิม
ประชาชนชาวเกาะต่อต้านอำนาจกองทัพที่ใหญ่ที่สุดในโลก
เกาะ โอกินาวา ของญี่ปุ่นได้กลายเป็น
”แนวหน้าของการส่งสัญญานสงครามกับจีน”
ในขณะที่การต่อ
ต้านคัดค้านอย่างสันติของฝ่ายประชาชนในท้องถิ่นได้ท้าทายนโยบาย
สร้างความเข้มแข็งในเอเซียของสหรัฐฯ
เอกสารได้เปิดเผยว่า เมื่อปี 1962
อาวุธนิวเคลียร์ของสหรัฐฯเกือบจะถูกยิงจากเกาะ...เมื่อฐานทัพที่นี่ยืนยันว่าได้รับคำสั่งให้เตรียมพร้อมในการโจมตีจีน..แต่มีคำสั่งให้ยุติอย่างกระทันหัน
หนึ่งในผู้ปฏิบัติงานของอเมริกาซึ่งมีหน้าที่ในการยิงขีปนาวุธบอกกับ
พิลเกอร์ว่า
จีนคือเป้าหมายทางนิวเคลียร์ของสหรัฐฯ ในระหว่างวิกฤติขีปนาวุธในคิวบา
“ เราไม่ต้องการความทุกข์ยากจากสงครามอีก”
หนึ่งในผู้นำการเคลื่อนไหวปะท้วงที่โอกินาวาบอกกับผู้สื่อข่าว พร้อมกล่าวว่า “ภาระหน้าที่”
ของเธอในฐานะผู้รอดชีวิตจากสงครามโลกครั้งที่สอง
เธออยากเห็นฐานทัพของอเมริกาออกไปจากเกาะของญี่ปุ่น แต่เครื่องบินรบของอเมริกาก็ยังบินขึ้นลงอยู่ในโอกินาวา “การคุกคามก็ยังมีอยู่เป็นประจำ”
บ่อยครั้งที่ครูไม่สามารถทำการสอนได้เนื่องมาจากเสียงที่ดังรบกวนหรือความหวาดกลัว...ย้อนหลังไป
เมื่อปี 1959
เครื่องบินรบของอเมริกันตกที่โรงเรียนประถม มิยาโมริ
และบ้านเรือนใกล้เคียงยังคงเจิดจ้าอยู่ในความทรงจำ นักบินดีดตัวออกอย่างปลอดภัย แต่เครื่องบินได้ทำให้ผู้คน 200
คนจมอยู่ในกองเลือด ส่วนใหญ่เป็นเด็กนักเรียนที่เสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บในอุบัติเหตุครั้งนั้น
![]() |
รวมถึงโศกนาฏกรรมจากอุบัติเหตุ 44
ครั้งจากเครื่องบินรบของอเมริกาในหมู่เกาะโอกินาวา รวมถึงเรื่องความรุนแรงทางเพศที่กระทำต่อสตรีท้องถิ่นซึ่งได้รับการยืนยันว่าล้วนแล้วเกิดจากผู้ปฏิบัติงานชาวอเมริกันทั้งสิ้น หนึ่งใน ”สถานีรบของสหรัฐฯ” ที่ขึ้นชื่อที่สุดตั้งอยู่บนเกาะเซจู
ในเกาหลีใต้ ซึ่งก็มีการเคลื่อนไหวต่อต้านฐานทัพเรือของอเมริกาซึ่งเป็น
”ฐานทัพที่ยั่วยุที่สุดในโลก” ที่สร้างขึ้นบนพื้นที่เกาะที่ได้รับการสถาปนาขึ้นเป็นมรดกโลก..เป้าหมายของมันคือเซี่ยงไฮ้ ที่อยู่ห่างไม่เกิน 400 ไมล์ ซึ่งเป็นเสมือนเส้นชีวิตของจีนในการซื้อขายน้ำมันและพลังงานระดับโลก
.
ยังมีฐานลับอีกมากมายที่วอชิงตันได้สร้างขึ้นภายในพื้นที่ของประเทศอื่นเพื่อการปกปิดอำพรางฐานะของสหรัฐฯ ซึ่งโดยทั่วไปสถานที่เหล่านั้นไม่ได้แสดงว่าเป็นฐานทัพ หลายแห่งเป็นการอ้างว่าเพื่อ
“ต่อต้านอิทธิพลทางเศรษฐกิจของจีน”
ในขณะที่ฐานทัพหลายแห่งจ่อหน้าประตูบ้านจีน มีฐานะเป็นตัว “ ยั่วยุ ”
เหมืองทองของยาเสพย์ติดและโรคหวาดระแวง
นโยบายต่อต้านจีนที่เป็น ”ต้นแบบของความรุนแรง”
เริ่มตั้งแต่ศตวรรษที่ 19
และได้แพร่กระจายไปทั่วสหรัฐฯ
ในภาพยนตร์..เสนอว่านโยบายเช่นนี้ได้ปกปิดนัยที่แอบแฝงอยู่เบื้องลึก...คือฝิ่น เบื้องหลังชนชั้นสูงของสหรัฐฯ... จีนคือ
“เหมืองทองของยาเสพย์ติด” วอร์เรน
เดลาโน ตาของแฟรงกลิน ดี.รูสเวลท์
ประธานาธิบดีคนที่ 32 ของสหรัฐฯคือเจ้าพ่อฝิ่นชาวอเมริกันในจีน เจมส์ แบรดเลย์ นักเขียนกล่าวว่า “ความรุ่งโรจน์ของมหาวิทยาลัยส่วนใหญ่ทางฝั่งตะวันออกของอเมริกาเช่นโคลัมเบีย ฮาวาร์ด
เยลส์ ปรินซตัน ล้วนแต่เกิดจากเงินของฝิ่น การปฏิวัติอุตสาหกรรมของอเมริกาได้รับการอุดหนุนจากเงินกองทุนที่มาจากยาเสพย์ติดที่ผิดกฎหมาย(จาก)ตลาดที่ใหญ่ที่สุดในโลก..นั่นคือจีน”
สาเหตุจากอะไรนั้นเขาไม่ได้พูดถึงแต่เรียกมันว่า “การค้ากับจีน”
หลังศตวรรษที่ 20
เป็นต้นมา..แนวทางใหม่ในการนำเสนอจีนได้ถูกประดิษฐ์ขึ้น... จากการปฏิวัติของเหมา ได้จุดชนวนความหวาดวิตกขึ้นในวอชิงตัน ริชาร์ด นิกสัน ประกาศว่าจีนคือ
“สาเหตุพื้นฐานของของความยุ่งยากทั้งหมดของเราในเอเซีย ” ปี 1953
เอ็ดเวิร์ด เทลเลอร์
บิดาแห่งระเบิดไฮโดรเจนได้กล่าวไว้เป็นสิบๆปีถึงความจำเป็นในการป้องกันอำนาจตะวันออก
ภาพยนต์ได้นำเสนอคำพูดของเขา..”ในนามของความปลอดภัยของเรา..ผมเชื่อว่า..มีความจำเป็นที่จะต้องตระเตรียมการป้องกันการโจมตีของจีนต่อสหรัฐฯด้วยขีปนาวุธ”
พิลเกอร์กล่าวว่า..”จีน..คู่ปรับของอเมริกาและการต่อสู้กับระบอบทุนนิยม
เป็นสิ่งที่ไม่อาจอภัยให้ได้”เขาได้เปิดเผยสาส์นลับของ เหมา เจ๋อ ตุง
ที่ส่งมายังวอชิงตันเมื่อห้าปีก่อนการปฏิวัติของพรรคคอม มิวนิสต์ ในปี 1949....มีใจความตอนหนึ่งว่า.
”(เรา)ต้องสร้างจีนให้เป็นประเทศอุตสาหกรรมอย่างเร่ง ด่วน เรื่องนี้สามารถทำได้โดยวิสาหกิจแบบเสรี ผลประโยชน์ของประชาชนจีนและประชาชนอเมริกันมีความสอดคล้องกันทั้งทางด้านเศรษฐกิจและการเมือง อเมริกาไม่มีความจำเป็นต้องกลัวว่าเราจะร่วมมือกันไม่ได้ เราไม่อาจเสี่ยงในการก้าวก่ายอเมริกา เราไม่อาจเสี่ยงต่อการมีความขัดแย้งใดๆ” แต่ผู้นำจีนไม่ได้รับคำตอบใดๆ และการยื่นมือมาได้ถูกปัดทิ้งไปอย่างสิ้นเชิง
อาวุธที่แยบยลที่สุดคือการให้ผลประโยชน์แก่ศัตรู
สารคดียังเสนอ...”ต้นแบบของเผด็จการคอมมิวนิสต์” ที่กระจายไปทั่วโดยสหรัฐอเมริกาจากความเข้าใจที่ไม่ถูกต้องว่า
“จีนเป็นเช่นนั้น” อีริค ลี
นักบริหารวิสาหกิจและนักรัฐศาสตร์กล่าวว่า….” ในอเมริกาคุณสามารถเปลี่ยนพรรคการเมืองได้แต่คุณไม่สามารถเปลี่ยนแปลงนโยบายได้ จีนเป็นประเทศที่ใช้เศรษฐกิจการตลาดที่ยืดหยุ่น
แต่ไม่ใช่ประเทศทุนนิยม”
เขากล่าวต่อไปว่า “ในประเทศจีน.ทุนไม่อาจอยู่เหนืออำนาจทางการเมือง ” ดังนั้นมหาเศรษฐีทั้งหลายจึงไม่อาจควบคุมคณะกรรมการกรมการเมืองได้ เหมือนเช่นบรรดามหาเศรษฐีอเมริกันที่เป็นผู้สร้างนโยบายของชาติเสียเอง
ลีกล่าวว่า รัฐบาลจีน “ไม่มีความพยายามที่จะชี้นำโลก ไม่แม้แต่จะชี้นำเอเชีย-แปซิฟิค ผมคิดว่าพวกเขาต้องการเพียงมิให้อเมริกาเข้ามาครอบงำภูมิภาคนี้ ดังนั้นพวกเขาจำต้องทำอย่างที่พวกเขาเชื่อ...ว่ามันเป็นสิ่งที่ถูกต้องอันเนื่องมาจากมันเป็นภาาระหน้าที่ทางประวัติศาสตร์ที่มีมาอย่างยาวนาน”
และกล่าวต่อไปว่า.. ” จีน... โดยปกติแล้วค่อนข้างจะอ่อนน้อมเมื่อเปรียบกับศักยภาพของพวกเขา”
เมื่อพลังทางเศรษฐกิจของโลกเคลื่อนย้ายเข้าสู่เอเชียอย่างรวดเร็ว
ความรับผิดชอบของอเมริกาคือการเคลื่อนกำลังทางเรือเข้าสู่ภูมิภาคอย่างที่พิลเกอร์กล่าว...”การเสริมกำลังทางการทหารขนาดใหญ่เป็นที่รู้กันในวอชิงตันว่า
เพื่อสร้างความมั่นคงแก่เอเซียนั้น..มีเป้าหมายอยู่ที่จีน” อย่างที่ประธานาธิบดี
บารัค โอบามาได้กล่าวไว้ในปี 2011ว่า
การเข้าไปในเอเชีย- แปซิฟิค คือ “ภารกิจแรกๆที่มีความสำคัญ”