Wednesday, December 14, 2016

เรื่องที่น่าตื่นตระหนกห้าประการเกี่ยวกับสงครามกับจีนที่กำลังใกล้เข้ามา

 เรื่องที่น่าตื่นตระหนกห้าประการเกี่ยวกับสงครามกับจีนที่กำลังใกล้เข้ามา 
 จากภาพยนตร์สารคดี โดย จอห์น   พิลเกอร์  10 Dec, 2016  



จอห์น พิลเกอร์ นักหนังสือพิมพ์กล่าวว่า      ฐานทัพของอเมริกานับสิบๆแห่งที่ตั้งโอบล้อมจีนอยู่เป็นประหนึ่ง “บ่วงแร้วขนาดใหญ่” และประวัติศาสตร์ของการปรากฏตัวด้านอาวุธนิวเคลียร์ของอเมริกาในภูมิภาคแปซิฟิค,สงครามระหว่างมหาอำนาจทางการทหารที่ใหญ่ที่สุดกับประเทศที่มีเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับสองของโลก  ไม่ใช่เป็นเรื่องที่ไม่อาจคาดคิดอีกต่อไป

ในภาพยนต์สารคดีของเขาเรื่อง “สงครามที่จะมาถึงของจีน”  ที่ได้ออกอากาศทางช่อง อาร์ ที ด๊อคคิวเมนแทรี่ เมื่อปลายสัปดาห์นี้        นักข่าวและผู้สร้างภาพยนตร์สารคดีที่ได้รับรางวัลมากมายได้ยืนยันความตั้งใจของตนที่จะ “ทำลายความเงียบงัน” ลงไป     พิลเกอร์เริ่มต้นจากการสังเกตข้อเท็จจริงต่างๆทางประวัติศาสตร์ที่ละเลยการแสดงแสนยานุภาพของอเมริกาในย่านเอเซีย-แปซิฟิค

นักข่าวชาวออสเตรเลียกล่าวที่ฐานทัพของอังกฤษ  ในตะวันตกเห็นว่า..”การคุกคามของจีนได้กลายเป็นข่าวที่มีความสำคัญ...สื่อได้พากันประโคมโหมกระหน่ำกลองสงครามราวกับจะให้โลกเห็นและระมัดระวังจีนว่าเป็นศัตรูตัวใหม่ ”       สื่อหลักของโลกเช่น ซี เอ็น เอ็น ได้นำเสนอข่าวนี้แยกออกเป็นข่าวพิเศษในกรณีที่สหรัฐฯประกาศควบคุมเที่ยวบินต่างๆเหนือบริเวณหมู่เกาะที่เกิดกรณีพิพาทในทะเลจีนใต้  ภาพ
ยนต์ของพิลเกอร์ระบุว่า  “ฐานทัพของสหรัฐฯได้สร้างบ่วงแร้วขนาดยักษ์ในการปิดล้อมจีนด้วย ขีปนาวุธ..เครื่องบินทิ้งระเบิด  กองเรือรบ ในเส้นทางทั้งหมดตั้งแต่ออสเตรเลียตลอดทั้งแปซิฟิคไปยังเอเชียและไกลกว่านั้น”   เจมส์ แบรดเลย์ ในฐานะของผู้เผยแพร่ภาพยนต์ข่าวผู้หนึ่ง.. และเป็นผู้เขียนหนังสือเรื่อง  “จีน..ภาพลวงตา”   กล่าวว่า  “ถ้าคุณอยู่ในกรุงปักกิ่งและยืนอยู่บนตึกที่สูงที่สุดและมองไปยังมหาสมุทรแปซิฟิค...คุณจะเห็นเรือรบของสหรัฐฯ.คุณก็น่าจะเห็นเกาะกวมที่กำลังจะจมลงเพราะน้ำหนักของบรรดา ขีปนาวุธที่เล็งเป้าไปยังจีน”

ความลับของเกาะบิกินี
คือสถานที่ทดลองระเบิดนิวเคลียร์ของสหรัฐฯมานานหลายปี   เป็นชื่อที่ดังกระฉ่อนในเรื่องของความอื้อฉาว   เป็นเกาะปะการัง(Atoll)ที่ยืมชื่อมาจากการออกแบบชุดว่ายน้ำของสุภาพสตรี..เกาะปะการังนี้อยู่ในหมู่เกาะมาร์แชลที่เป็น”ยุทธศาสตร์ลับของอเมริกา”   ตั้งอยู่ในมหาสมุทรแปซิฟิคที่กว้างใหญ่ ระ  หว่างอเมริกาและเอเซีย  เป็นบันไดหินที่ดีเยี่ยมในการก้าวไปสู่เอเชียและจีน   ปี 1946 สหรัฐฯได้รับการมอบหมายให้ดูแลหมู่เกาะในแปซิฟิคเหล่านี้ภายใต้สนธิสัญญาของสหประชาชาติ แต่มันได้ถูกเปลี่ยนไปเป็น “ห้องทดลองของการทดสอบอาวุธนิวเคลียร์  ประชากรของที่นี่ก็ได้กลายเป็นหนูทดลอง”    ในภาพยนตร์กล่าวต่อไปว่า..รวมไปถึงผลการทดลองระเบิดนิวเคลียร์ที่ได้ทดสอบกับสัตว์ต่างๆด้วย

 
 ในขณะเดียวกันชุดว่ายน้ำบิกินีก็ได้ปรากฏขึ้นหลังจากการทดลองระเบิดไฮโดรเจนของสหรัฐฯที่เกาะปะการังบิกินี...แต่รูปร่างของชาวเกาะก็ไม่ได้โด่งดังอย่างผู้ที่สวมใส่    พวกเขากลับอาศัยอยู่ท่ามกลางสถานที่ๆมีกัมมันตภาพรังสีมากที่สุดในโลก   จากการทดลองในทะเล  อากาศ  บนแนวปะการัง และใต้น้ำ     ผลรวมของการทดลองระเบิดทั้งบนเกาะและรอบๆหมู่เกาะมาร์แชลนั้นมีปริมาณมากกว่าการทิ้งระเบิดที่ฮิโรชิมาถึง 7,200 เท่า    นั่นหมายความว่าเมื่อเทียบกันแล้วจะมากกว่า
การทิ้งระเบิดที่ฮิโรชิมาวันละหนึ่งลูกทุกๆวันนานถึง 12 ปี     พิลเกอร์กล่าวว่า จนถึงทุกวันนี้เกาะบิกินีก็ยังไม่เหมาะสำหรับมนุษย์ที่จะอยู่อาศัย

พื้นที่บริเวณรอบๆปล่องภูเขาไฟที่ใหญ่ที่สุดซึ่งมนุษย์ได้สร้างขึ้นจากการทดลองระเบิดไฮโดรเจนที่เรียกว่า “บราโว” คือแหล่งที่มีมลพิษเจือปนมากที่สุดบนโลกใบนี้   สารคดีได้อ้างคำพูดของเจ้าหน้าที่ สหรัฐฯที่เกี่ยวกับพลังงานนิวเคลียร์ว่า..”มันจะเป็นเรื่องน่าสนใจที่จะแสดงให้เห็นว่ามนุษย์สามารถจะอยู่อาศัยในสิ่งแวดล้อมที่มีการปนเปื้อนได้”...ในขณะที่ผู้ผลิตสารคดีนี้ได้สำรวจพบถึงภัยอันตรายว่าประชา  ชนที่อาศัยอยู่บนเกาะปะการังหลายคนเสียชีวิตจากโรคมะเร็ง  “สิ่งที่ชาวอเมริกันทำนั้นไม่ใช่อุบัติเหตุ  พวกเขามาที่นี่เพื่อทำลายแผ่นดินของเรา   พวกเขามาเพื่อทดสอบผลของการทดลองระเบิดนิวเคลียร์กับพวกเรา”   สตรีท้องถิ่นกล่าวกับคณะของเรา

การเหยียดเชื้อชาติในแปซิฟิค
การสร้าวฐานทัพของอเมริกันในภูมิภาคนี้..ชี้ชัดว่า  “เป็นเรื่องที่มีความสำคัญและเป็นความลับสุดยอด”เรื่องหนึ่งที่รู้จักกันในนาม แหล่งทดลองของ โรนัล เรแกน   นักข่าวพบว่าฐานยิงจรวดของสหรัฐฯขึ้นตรงต่อเขาในการ  “ควบคุมเส้นทางทั้งหมดในมหาสมุทรแปซิฟิคที่จะไปสู่เอเชียและจีน”  ด้วยอาวุธทั้งมวลในการทำลายล้างที่ “ออกแบบมาสำหรับสงครามที่กำลังจะมาถึง”    ฐานทัพทั้งหลายคือส่วน ”น่าสัง เกตุ” ของแผนควบคุมทางอากาศของสหรัฐฯที่รู้กันในนาม “วิสัยทัศน์ 2020” ที่ออกแบบไว้เมื่อทศวรรษ ที่ 1990    สามารถอธิบายอย่างเป็นทางการว่าครอบคลุมอย่าง “เต็มรูปแบบ” วอชิงตันได้ทุ่มเงินจำนวน มหาศาลไปกับความทะเยอทะยานทางการทหาร     ด้วยการซ้อมรบทางอากาศ..ทดลองยิงจรวดข้ามทวีปจากแคลิฟอร์เนียไปยังหมู่เกาะมาแชลส์ ที่มีระยะทางถึง 5000 ไมล์   ในขณะที่คนท้องถิ่นยังจมอยู่กับความยากจน

อเมริกันปฏิบัติต่อประชาชนผู้อาศัยอยู่อีกฟากหนึ่งของอ่าวที่ตรงกันข้ามกับฐานทัพของตนอย่างที่พิลเกอร์ให้คำนิยามว่า “การเหยียดเชื้อชาติแห่งแปซิฟิค”  และที่อาศัยของชาวพื้นเมืองว่า “แหล่งเสื่อมโทรมแห่งแปซิฟิค”  ชาวเกาะกว่า 12,000 คนล้วนแต่เป็นผู้อพยพจากที่อยู่เดิมของตน ซึ่งปัจจุบันนี้คือฐานยิงจรวดของสหรัฐฯ  และผู้คนบนเกาะที่มีมลพิษจากการทดลองนิวเคลียร์ซึ่งถูกนำมาทำงานอยู่ในสนามกอล์ฟสำหรับชาวอเมริกันในฐานทัพ    หลังจากทำงานหนักทั้งวันพวกเขาก็ลงเรือเฟอร์รี่กลับบ้านไปสู่ความยากจนเช่นเดิม

ประชาชนชาวเกาะต่อต้านอำนาจกองทัพที่ใหญ่ที่สุดในโลก
เกาะ โอกินาวา ของญี่ปุ่นได้กลายเป็น ”แนวหน้าของการส่งสัญญานสงครามกับจีน”  ในขณะที่การต่อ ต้านคัดค้านอย่างสันติของฝ่ายประชาชนในท้องถิ่นได้ท้าทายนโยบาย สร้างความเข้มแข็งในเอเซียของสหรัฐฯ     เอกสารได้เปิดเผยว่า  เมื่อปี 1962 อาวุธนิวเคลียร์ของสหรัฐฯเกือบจะถูกยิงจากเกาะ...เมื่อฐานทัพที่นี่ยืนยันว่าได้รับคำสั่งให้เตรียมพร้อมในการโจมตีจีน..แต่มีคำสั่งให้ยุติอย่างกระทันหัน   หนึ่งในผู้ปฏิบัติงานของอเมริกาซึ่งมีหน้าที่ในการยิงขีปนาวุธบอกกับ พิลเกอร์ว่า  จีนคือเป้าหมายทางนิวเคลียร์ของสหรัฐฯ ในระหว่างวิกฤติขีปนาวุธในคิวบา

“ เราไม่ต้องการความทุกข์ยากจากสงครามอีก”   หนึ่งในผู้นำการเคลื่อนไหวปะท้วงที่โอกินาวาบอกกับผู้สื่อข่าว     พร้อมกล่าวว่า “ภาระหน้าที่” ของเธอในฐานะผู้รอดชีวิตจากสงครามโลกครั้งที่สอง  เธออยากเห็นฐานทัพของอเมริกาออกไปจากเกาะของญี่ปุ่น    แต่เครื่องบินรบของอเมริกาก็ยังบินขึ้นลงอยู่ในโอกินาวา  “การคุกคามก็ยังมีอยู่เป็นประจำ”

บ่อยครั้งที่ครูไม่สามารถทำการสอนได้เนื่องมาจากเสียงที่ดังรบกวนหรือความหวาดกลัว...ย้อนหลังไป เมื่อปี 1959  เครื่องบินรบของอเมริกันตกที่โรงเรียนประถม มิยาโมริ และบ้านเรือนใกล้เคียงยังคงเจิดจ้าอยู่ในความทรงจำ   นักบินดีดตัวออกอย่างปลอดภัย  แต่เครื่องบินได้ทำให้ผู้คน 200 คนจมอยู่ในกองเลือด  ส่วนใหญ่เป็นเด็กนักเรียนที่เสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บในอุบัติเหตุครั้งนั้น

 
รวมถึงโศกนาฏกรรมจากอุบัติเหตุ 44 ครั้งจากเครื่องบินรบของอเมริกาในหมู่เกาะโอกินาวา     รวมถึงเรื่องความรุนแรงทางเพศที่กระทำต่อสตรีท้องถิ่นซึ่งได้รับการยืนยันว่าล้วนแล้วเกิดจากผู้ปฏิบัติงานชาวอเมริกันทั้งสิ้น     หนึ่งใน ”สถานีรบของสหรัฐฯ” ที่ขึ้นชื่อที่สุดตั้งอยู่บนเกาะเซจู ในเกาหลีใต้    ซึ่งก็มีการเคลื่อนไหวต่อต้านฐานทัพเรือของอเมริกาซึ่งเป็น ”ฐานทัพที่ยั่วยุที่สุดในโลก” ที่สร้างขึ้นบนพื้นที่เกาะที่ได้รับการสถาปนาขึ้นเป็นมรดกโลก..เป้าหมายของมันคือเซี่ยงไฮ้  ที่อยู่ห่างไม่เกิน 400 ไมล์  ซึ่งเป็นเสมือนเส้นชีวิตของจีนในการซื้อขายน้ำมันและพลังงานระดับโลก
.
ยังมีฐานลับอีกมากมายที่วอชิงตันได้สร้างขึ้นภายในพื้นที่ของประเทศอื่นเพื่อการปกปิดอำพรางฐานะของสหรัฐฯ     ซึ่งโดยทั่วไปสถานที่เหล่านั้นไม่ได้แสดงว่าเป็นฐานทัพ    หลายแห่งเป็นการอ้างว่าเพื่อ “ต่อต้านอิทธิพลทางเศรษฐกิจของจีน”  ในขณะที่ฐานทัพหลายแห่งจ่อหน้าประตูบ้านจีน มีฐานะเป็นตัว “ ยั่วยุ ”

เหมืองทองของยาเสพย์ติดและโรคหวาดระแวง
นโยบายต่อต้านจีนที่เป็น ”ต้นแบบของความรุนแรง” เริ่มตั้งแต่ศตวรรษที่ 19   และได้แพร่กระจายไปทั่วสหรัฐฯ   ในภาพยนตร์..เสนอว่านโยบายเช่นนี้ได้ปกปิดนัยที่แอบแฝงอยู่เบื้องลึก...คือฝิ่น   เบื้องหลังชนชั้นสูงของสหรัฐฯ... จีนคือ “เหมืองทองของยาเสพย์ติด”      วอร์เรน  เดลาโน ตาของแฟรงกลิน ดี.รูสเวลท์  ประธานาธิบดีคนที่ 32 ของสหรัฐฯคือเจ้าพ่อฝิ่นชาวอเมริกันในจีน   เจมส์ แบรดเลย์ นักเขียนกล่าวว่า  “ความรุ่งโรจน์ของมหาวิทยาลัยส่วนใหญ่ทางฝั่งตะวันออกของอเมริกาเช่นโคลัมเบีย  ฮาวาร์ด  เยลส์  ปรินซตัน  ล้วนแต่เกิดจากเงินของฝิ่น       การปฏิวัติอุตสาหกรรมของอเมริกาได้รับการอุดหนุนจากเงินกองทุนที่มาจากยาเสพย์ติดที่ผิดกฎหมาย(จาก)ตลาดที่ใหญ่ที่สุดในโลก..นั่นคือจีน”   สาเหตุจากอะไรนั้นเขาไม่ได้พูดถึงแต่เรียกมันว่า “การค้ากับจีน”

หลังศตวรรษที่ 20 เป็นต้นมา..แนวทางใหม่ในการนำเสนอจีนได้ถูกประดิษฐ์ขึ้น...  จากการปฏิวัติของเหมา  ได้จุดชนวนความหวาดวิตกขึ้นในวอชิงตัน   ริชาร์ด นิกสัน  ประกาศว่าจีนคือ “สาเหตุพื้นฐานของของความยุ่งยากทั้งหมดของเราในเอเซีย ”     ปี 1953  เอ็ดเวิร์ด เทลเลอร์  บิดาแห่งระเบิดไฮโดรเจนได้กล่าวไว้เป็นสิบๆปีถึงความจำเป็นในการป้องกันอำนาจตะวันออก    ภาพยนต์ได้นำเสนอคำพูดของเขา..”ในนามของความปลอดภัยของเรา..ผมเชื่อว่า..มีความจำเป็นที่จะต้องตระเตรียมการป้องกันการโจมตีของจีนต่อสหรัฐฯด้วยขีปนาวุธ”

พิลเกอร์กล่าวว่า..”จีน..คู่ปรับของอเมริกาและการต่อสู้กับระบอบทุนนิยม  เป็นสิ่งที่ไม่อาจอภัยให้ได้”เขาได้เปิดเผยสาส์นลับของ เหมา เจ๋อ ตุง ที่ส่งมายังวอชิงตันเมื่อห้าปีก่อนการปฏิวัติของพรรคคอม มิวนิสต์ ในปี 1949....มีใจความตอนหนึ่งว่า. ”(เรา)ต้องสร้างจีนให้เป็นประเทศอุตสาหกรรมอย่างเร่ง ด่วน  เรื่องนี้สามารถทำได้โดยวิสาหกิจแบบเสรี    ผลประโยชน์ของประชาชนจีนและประชาชนอเมริกันมีความสอดคล้องกันทั้งทางด้านเศรษฐกิจและการเมือง      อเมริกาไม่มีความจำเป็นต้องกลัวว่าเราจะร่วมมือกันไม่ได้     เราไม่อาจเสี่ยงในการก้าวก่ายอเมริกา  เราไม่อาจเสี่ยงต่อการมีความขัดแย้งใดๆ”    แต่ผู้นำจีนไม่ได้รับคำตอบใดๆ  และการยื่นมือมาได้ถูกปัดทิ้งไปอย่างสิ้นเชิง

อาวุธที่แยบยลที่สุดคือการให้ผลประโยชน์แก่ศัตรู
สารคดียังเสนอ...”ต้นแบบของเผด็จการคอมมิวนิสต์”  ที่กระจายไปทั่วโดยสหรัฐอเมริกาจากความเข้าใจที่ไม่ถูกต้องว่า “จีนเป็นเช่นนั้น”   อีริค ลี  นักบริหารวิสาหกิจและนักรัฐศาสตร์กล่าวว่า….ในอเมริกาคุณสามารถเปลี่ยนพรรคการเมืองได้แต่คุณไม่สามารถเปลี่ยนแปลงนโยบายได้  จีนเป็นประเทศที่ใช้เศรษฐกิจการตลาดที่ยืดหยุ่น แต่ไม่ใช่ประเทศทุนนิยม  เขากล่าวต่อไปว่า “ในประเทศจีน.ทุนไม่อาจอยู่เหนืออำนาจทางการเมือง       ดังนั้นมหาเศรษฐีทั้งหลายจึงไม่อาจควบคุมคณะกรรมการกรมการเมืองได้   เหมือนเช่นบรรดามหาเศรษฐีอเมริกันที่เป็นผู้สร้างนโยบายของชาติเสียเอง

ลีกล่าวว่า  รัฐบาลจีน “ไม่มีความพยายามที่จะชี้นำโลก  ไม่แม้แต่จะชี้นำเอเชีย-แปซิฟิค       ผมคิดว่าพวกเขาต้องการเพียงมิให้อเมริกาเข้ามาครอบงำภูมิภาคนี้      ดังนั้นพวกเขาจำต้องทำอย่างที่พวกเขาเชื่อ...ว่ามันเป็นสิ่งที่ถูกต้องอันเนื่องมาจากมันเป็นภาาระหน้าที่ทางประวัติศาสตร์ที่มีมาอย่างยาวนาน” และกล่าวต่อไปว่า.. ” จีน... โดยปกติแล้วค่อนข้างจะอ่อนน้อมเมื่อเปรียบกับศักยภาพของพวกเขา”
เมื่อพลังทางเศรษฐกิจของโลกเคลื่อนย้ายเข้าสู่เอเชียอย่างรวดเร็ว  ความรับผิดชอบของอเมริกาคือการเคลื่อนกำลังทางเรือเข้าสู่ภูมิภาคอย่างที่พิลเกอร์กล่าว...”การเสริมกำลังทางการทหารขนาดใหญ่เป็นที่รู้กันในวอชิงตันว่า เพื่อสร้างความมั่นคงแก่เอเซียนั้น..มีเป้าหมายอยู่ที่จีน” อย่างที่ประธานาธิบดี บารัค โอบามาได้กล่าวไว้ในปี 2011ว่า  การเข้าไปในเอเชีย- แปซิฟิค คือ “ภารกิจแรกๆที่มีความสำคัญ”



Monday, December 12, 2016

ทำไมระบอบเผด็จการจึงประสบความสำเร็จในสังคมไทย

ทำไมระบอบเผด็จการจึงประสบความสำเร็จในสังคมไทย’ 
งานวิจัยชิ้นใหม่ของ ประจักษ์ ก้องกีรติ        28-09-2016
HIGHLIGHTS:
·      ประชาธิปไตยไม่ใช่ OS (ระบบปฏิบัติการ) ทางการเมืองที่สมบูรณ์แบบที่สุด แต่เป็น OS ที่พร้อมจะอัพเดตได้ง่ายที่สุด ต่างจากเผด็จการที่เป็นเหมือน OS ที่อัพเดตไม่ได้
·      อาวุธลับของเผด็จการไทย คือการเปรียบเทียบอดีตที่วุ่นวายกับปัจจุบันที่สงบ เพื่อค่อยๆ นวดให้ประชาชนรู้สึกว่าแบบนี้ก็ดีอยู่แล้ว
·      อำนาจเด็ดขาดและความสงบเป็นเพียงภาพลวงตา แท้จริงแล้วยังมีปัญหาอีกมากมายที่เผด็จการไม่เคยแก้ไข
ระบอบเผด็จการกับการเมืองไทยคือสิ่งที่อยู่คู่กันมาอย่างยาวนาน แม้เราอยากจะปฏิเสธแค่ไหน ก็คงหนีความจริงข้อนี้ไปไม่พ้น    ถ้าประชาธิปไตยคือจุดหมายปลายทางที่สำคัญของประเทศ แทนที่จะตีอกชกหัวพร่ำโทษว่าทำไมประเทศไทยไม่เป็นประชาธิปไตย     เราอยากชวนคุณมากลับมุมคิดกับงานวิจัยชิ้นล่าสุดของ ผศ. ดร.ประจักษ์ ก้องกีรติ อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ที่ใช้เวลานานกว่า 6 เดือน เก็บตัวอย่างศึกษาระบอบเผด็จการอย่างจริงจังที่ประเทศสิงคโปร์ จนสุดท้ายกลายมาเป็นผลงานวิจัยที่ใช้ชื่อว่า 'A Tales of Three Authoritarianism' หรือ 'เรื่องเล่าจากระบอบเผด็จการ 3 ยุค'

แม้ว่าผลวิจัยนี้จะยังไม่เสร็จสมบูรณ์ แต่สิ่งที่เขาได้เรียนรู้จากการศึกษาครั้งนี้ น่าจะทำให้เราเห็นภาพของระบอบการปกครองเผด็จการได้ชัดเจนยิ่งขึ้น

ทำไมเราต้องเข้าใจเผด็จการ?
ประโยคที่เราชอบพูดกันซ้ำๆ ว่าประชาธิปไตยไทยอายุ 80 กว่าปีแต่ก็ยังล้มเหลว จริงๆ ประโยคนี้ผิดตั้งแต่ต้น เพราะสังคมไทยไม่ได้แต่งงานกับประชาธิปไตย แล้วใช้ชีวิตคู่อย่างราบรื่นมาโดยตลอด มันมีการหย่าร้างกันหลายช่วง

ประจักษ์เริ่มต้นตอบคำถามของเราด้วยการอ้างถึงความเข้าใจแบบผิดๆ ที่เราถูกพร่ำสอนมานาน ก่อนจะเสริมว่า   หลังจากศึกษาเรื่องประชาธิปไตยมานาน พอทำไปถึงจุดหนึ่งก็เริ่มรู้สึกถึงทางตันกับการตอบคำถามว่า ทำไมประชาธิปไตยไทยถึงล้มเหลว   ซึ่งนักวิชาการหลายคนสรุปแทบไม่ต่างกันเช่น วัฒน ธรรมไทยไม่เอื้อ   สังคมไทยเป็นสังคมอุปถัมภ์ ไม่ได้เชื่อเรื่องความเท่าเทียมกัน บางคนใช้คำว่าเนื้อดินมันไม่เอื้อ วัฒนธรรมเราเป็นแบบหนึ่ง ประชาธิปไตยเป็นของนอก  เอามาปลูกเลยไม่โต   หรือคนมักจะบอกว่าช่องว่างทางเศรษฐกิจมันเยอะเกินไป ยากที่ประชาธิปไตยจะเติบโตในสังคมที่มีช่องว่างระหว่างคนจนกับคนรวยสูง   หรือบางคนก็อธิบายว่าไทยมีความพิเศษบางอย่าง ทำให้จำเป็นต้องมีระบอบการปกครองเฉพาะของตัวเอง

พอคำตอบที่ได้มันเริ่มวนและไปไหนต่อไม่ได้ เลยอยากหาโจทย์วิจัยใหม่ๆ ดังนั้นผมเลยอยากมองไปที่อีกด้านของเหรียญ แทนที่จะมองว่าทำไม 84 ปีมานี้ประชาธิปไตยล้มเหลว ก็มองว่าทำไมระบอบเผด็จการถึงประสบความสำเร็จ โดยใช้วิธีการเปรียบเทียบทั้ง 3 ยุค คือ ยุคสฤษดิ์-ถนอม   ยุคสุจินดา และยุคปัจจุบัน

"คนมักจะเข้าใจผิดว่าระบอบเผด็จการคือความสงบ มั่นคง มีแบบแผน คาดเดาได้   แต่จริงๆ แล้วหัวใจของระบอบเผด็จการคือการคาดเดาไม่ได้"

รัฐธรรมนูญ = เครื่องมือสร้างการยอมรับของระบอบเผด็จการ
สิ่งหนึ่งที่ประจักษ์ได้ค้นพบจากการทำงานวิจัยชิ้นนี้ก็คือ ระบอบเผด็จการไทยมักจะยึดโยงตัวเองเข้ากับรัฐธรรมนูญในทุกยุคทุกสมัย   นั่นเป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่ทำให้ประเทศไทยมีรัฐธรรมนูญหลายฉบับ เพราะหลังจากรัฐประหารเสร็จสิ้น สิ่งแรกที่รัฐบาลเผด็จการต้องทำก็คือการฉีกรัฐธรรมนูญฉบับเก่าทิ้ง และร่างรัฐธรรมนูญขึ้นมาใหม่  มีบางคนล้อว่าการร่างรัฐธรรมนูญเป็นอุตสาหกรรมอย่างหนึ่ง เพราะมีคนที่มีชีวิตอยู่ได้ด้วยการรับจ้างร่างรัฐธรรมนูญ เหมือนเขียนหนังสือไตรภาค

ที่เป็นแบบนั้นก็เพราะรัฐธรรมนูญคือเครื่องมือที่ระบอบเผด็จการมักจะนำมาใช้เพื่อสร้างการยอมรับต่อนานาประเทศ    สังคมไทยไม่เคยเป็นสังคมปิดแบบพม่า เผด็จการไทยจึงเป็นระบอบเผด็จการที่พยา- ยามมีความสัมพันธ์กับโลกภายนอกตลอดเวลา เพราะถ้าปิดประเทศแบบพม่าก็จะเจ๊งกันหมด ชนชั้นนำก็เจ๊ง   คนทำรัฐประหารก็เจ๊งด้วย   เพราะเราไม่สามารถกลับไปอยู่แบบทำไร่ทำนา โดยไม่ต้องค้าขายกับโลกภายนอกได้       พอคุณพยายามจะสร้างความชอบธรรมกับต่างประเทศ  คุณก็ต้องแสดงให้เห็นว่าระบอบเผด็จการของคุณไม่ใช่ระบอบป่าเถื่อนโหดร้าย หรือใช้แต่อำนาจดิบ แต่ยังปกครองโดยยึดหลักกฎหมายด้วย

นอกจากนี้รัฐธรรมนูญยังจะช่วยให้ระบอบเผด็จการสามารถปกครองได้ยาวๆ แบบไม่ต้องเจอแรงกดดันมากนัก    เมื่อมีรัฐธรรมนูญก็เท่ากับระบอบนั้นกำลังมีข้ออ้างชั้นดีต่อประชาชนของตัวเองและโลกภาย นอก     คนมักจะเข้าใจผิดว่าระบอบเผด็จการคือความสงบ มั่นคง มีแบบแผน คาดเดาได้ แต่จริงๆ แล้วหัวใจของระบอบเผด็จการคือการคาดเดาไม่ได้ สมมติคุณอยากจะปลดผู้ว่าฯคนนี้คุณก็ปลด  อันนี้แหละคือธรรมชาติของระบอบเผด็จการ    แต่ไม่มีใครชอบเจ้านายที่หุนหันพลันแล่นและคาดเดาไม่ได้ เพราะลูกน้องทุกคนจะกลัวและไม่แน่ใจว่าจะโดนปลดเมื่อไร ฉะนั้นระบอบเผด็จการที่อยากจะอยู่ยาวหน่อย และได้รับการยอมรับจากคนใต้ปก ครองก็ต้องพยายามสร้างหลัก หรือกฎระเบียบบางอย่างขึ้นมา

แต่ไม่ได้หมายความว่าจะเป็นกฎระเบียบที่เคารพสิทธิเสรีภาพของประชาชนเหมือนรัฐธรรมนูญภายใต้ระบอบประชาธิปไตย มันก็จะเป็นรัฐธรรมนูญแบบเผด็จการอย่างจีน หรือรัสเซียก็มีรัฐธรรมนูญ ซึ่งเนื้อหาของรัฐธรรมนูญเหล่านี้จะให้อำนาจแก่ผู้นำเยอะ ไม่ได้ให้เสรีภาพกับสื่อหรือประชาชนมากนัก แต่มันก็ยังสำคัญ เพราะอย่างน้อยก็ใช้อ้างกับประชาชนและโลกภายนอกได้

เทียบอดีตที่วุ่นวายกับปัจจุบันที่มั่นคงอาวุธลับของ เผด็จการแบบนวด
ประจักษ์ตั้งข้อสังเกตว่าหนึ่งในอาวุธลับที่ระบอบเผด็จการยุคปัจจุบันหยิบมาใช้บ่อยๆ และมักจะได้ผลทุกครั้งไปก็คือการเปรียบเทียบภาพความวุ่นวายในอดีตกับปัจจุบัน เพื่อค่อยๆ โน้มน้าวให้คนฟังรู้สึกคล้อยตามไปเรื่อยๆ  ผมว่าระบอบนี้น่าสนใจ เพราะวิธีหนึ่งที่เขาใช้มาตลอดคือ เขาจะไม่พูดถึงสิ่งที่เขาทำเฉยๆโดยไม่อ้างอิงกับอดีต เช่น จะกลับไปตีกันเหมือนเดิมไหมล่ะ คุณชอบเหรอ แล้วตอนนี้เสียหายตรงไหน บ้านเมืองสงบ เพื่อให้เห็นว่าปัจจุบันอาจจะไม่สมบูรณ์แบบ แต่มันก็ดีกว่าอดีตใช่ไหม

ซึ่งตามทฤษฎีอธิบายว่ามีระบอบเผด็จการบางประเภทที่มักจะอ้างอิงความชอบธรรมของตัวเองจากการเปรียบเทียบกับอดีต    คือรู้แหละว่าตัวเองบริหารงานไม่เก่งมาก เศรษฐกิจอาจจะไม่ดีมาก ฉะนั้นวิธีที่จะสร้างความชอบธรรมอย่างได้ผลที่สุดก็คือ    การบอกว่าอย่างน้อยข้าพเจ้าก็ดีกว่าระบอบที่เพิ่งล้มลงไป ผมเรียกว่าเป็น เผด็จการแบบนวดเขาจะค่อยๆนวดความคิดคุณไปเรื่อยๆ จนถึงจุดที่คุณรู้สึกว่าต้องทำตามที่เขาบอกนั่นแหละ เพราะเป็นทางเลือกที่เสียหายน้อยที่สุดแล้ว"
 
"ผมคิดว่าสังคมที่ดีไม่ควรจะมีแค่ความสงบเป็นเป้าหมายปลายทางเพียงอย่างเดียว เพราะถ้าสมมติว่าความสงบคือเป้าหมายประการเดียวที่สำคัญที่สุดของการอยู่ร่วมกัน   แบบนั้นเกาหลีเหนือคงเป็นสังคมที่น่าอยู่ที่สุดในโลก"
ความสงบที่แลกมาด้วยต้นทุนที่สูงลิ่ว
เมื่อผ่านเหตุการณ์ความวุ่นวายทางการเมืองที่ต่อเนื่องยาวนานมาจนชินชา ไม่ใช่เรื่องแปลกที่หลายคนจะโหยหาความสงบในสังคม ซึ่งถือเป็นจุดขายสำคัญของระบอบเผด็จการในปัจจุบัน      แต่ถึงอย่างนั้นความสงบที่ผู้คนต้องการก็อาจจะมาพร้อมกับต้นทุนที่สูงลิ่ว    ขึ้นอยู่กับว่าเราพร้อมจะแลกหรือเปล่า
ถามว่าอะไรคือสังคมที่ดี ไม่ต้องพูดถึงเรื่องการเมืองก็ได้ ผมคิดว่าสังคมที่ดีไม่ควรจะมีแค่ความสงบเป็นเป้าหมายปลายทางเพียงอย่างเดียว เพราะถ้าสมมติว่าความสงบคือเป้าหมายประการเดียวที่สำคัญที่สุดของการอยู่ร่วมกัน แบบนั้นเกาหลีเหนือคงเป็นสังคมที่น่าอยู่ที่สุดในโลก เพราะไม่ต้องมีความขัด แย้งใดๆ  ไม่ต้องมีสื่อมาคอยวุ่นวาย  ไม่มีการประท้วง ไม่มีคนออกมาโหวกเหวกโวยวาย แต่ทำไมเวลานึกถึงเกาหลีเหนือแล้ว ถึงไม่มีใครอยากไปอยู่ล่ะ”

ก็หมายความว่ามันต้องมีอะไรมากกว่าความสงบใช่ไหม ที่คุณก็รู้ว่าคุณต้องการเพื่อที่จะมีชีวิตในสังคมที่ดี ทั้งการศึกษาที่ดี เสรีภาพในการแสดงออกได้ ไม่ใช่แค่ทางการเมืองอย่างเดียว แต่รวมถึงการแสดงความคิดเห็น    อัตลักษณ์ของคุณที่จะได้รับความเคารพ  สิทธิเสรีภาพของสื่อ หรือสิทธิมนุษยชน  คุณอยากอยู่ในสังคมที่อยู่ดีๆก็มีเจ้าหน้าที่รัฐมาเคาะประตูบ้านแล้วลักพาตัวสามีคุณไปเลยไหม ซึ่งสิ่งเหล่า นี้คือสิ่งที่เกิดขึ้นในระบอบเผด็จการทั่วโลก  ทั้งจีน  รัสเซีย  อิหร่าน  หรือแม้กระทั่งเวียดนาม

อำนาจเด็ดขาดของระบอบเผด็จการอาจเป็นสิ่งที่หลายคนต้องการ เพราะมันมาพร้อมกับความฉับไวในการแก้ปัญหาความสงบเรียบร้อยในสังคม      แต่ประจักษ์มองว่าสิ่งเหล่านั้นอาจเป็นเพียงภาพลวงตา เพราะปัญหาต่างๆ ถูกซุกไว้ใต้พรมจนเราเผลอเข้าใจไปว่าทุกอย่างเรียบร้อยดี      ปัญหาของอำนาจเด็ดขาดก็คือ อำนาจแบบนี้ไม่ได้แก้ไขปัญหาระยะยาว หรือไม่ได้แก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้าง คือถ้าสัง คมไทยป่วยเป็นโรค มันมีสาเหตุพื้นฐานหลายอย่างที่ทำให้เรามาถึงจุดนี้   แต่อำนาจเด็ดขาดเหมือนฝิ่น คือจะมีฤทธิ์แรงมาก  ช่วยระงับความเจ็บปวด  พอใช้ปุ๊บก็ฟินเลย   แต่วันหนึ่งที่คุณตื่นขึ้นมาแล้ว คุณก็จะรู้ว่ามูลเหตุพื้นฐานทั้งหลายทางเศรษฐกิจ สังคม ความเหลื่อมล้ำ การศึกษา  หรือระบบราชการที่ไม่มีประสิทธิภาพมันยังไม่ได้รับการแก้ไข ตอนนี้เราก็แค่สะใจที่ได้ลุ้นว่าวันนี้เขาจะปลดคนไหน แต่มันแก้ไขปัญหาจริงๆ หรือเปล่าล่ะ

สิงคโปร์โมเดลความเข้าใจผิดเกี่ยวกับเผด็จการของคนไทย
เมื่อมีประเด็นเกี่ยวกับระบอบเผด็จการ ตัวอย่างที่คนไทยมักจะหยิบยกมาพูดถึงคือประเทศสิงคโปร์ ที่มีภาพลักษณ์เป็นเผด็จการที่อาจจะมีเสรีภาพไม่มากเท่าประเทศประชาธิปไตย  แต่การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจกลับแซงหน้าประเทศเพื่อนบ้าน จนหลายคนขนานนามว่าเป็น สิงคโปร์โมเดล

จากที่ผมไปเป็นนักวิจัยอยู่ที่สิงคโปร์ 6-7 เดือน จึงพบว่าสังคมไทยสร้างสมการที่ผิดมาตลอดเวลาพูดถึงสิงคโปร์โมเดล ที่มีความเจริญ เศรษฐกิจดี โดยไม่ต้องมีประชาธิปไตยก็ได้ ซึ่งเราต้องเข้าใจก่อนว่าสิงคโปร์ไม่ใช่ประชาธิปไตยเต็มร้อยแน่นอน แต่เขาก็ไม่ใช่เผด็จการอย่างที่เราเข้าใจ คือสิงคโปร์ไม่ใช่เผด็จการทหาร   ถ้าจะเรียกว่าเผด็จการก็เป็นเผด็จการพรรคการเมือง     แต่เขามีที่มาจากการเลือกตั้ง”
 
ที่พรรคของลีกวนยูชนะการเลือกตั้งมาตลอด ก่อนจะขึ้นสู่อำนาจแต่ละครั้ง     เขาต้องมีการแข่งขันกับพรรคการเมืองอื่น อาจจะมีคนกล่าวหาว่าเขาใช้งบประมาณทุกอย่างเพื่อทำให้ตัวเองได้เปรียบ    แต่คนเลือกเขาก็เพราะเขาทำผลงานดี สร้างระบบคมนาคมที่ดี การศึกษาดี และอีกเรื่องที่ทำให้เขาเป็นที่นิยมมากคือนโยบาย Government Housing หรือการจัดโครงการที่อยู่อาศัยให้คนรายได้น้อย   แค่ทำ 3-4 เรื่องนี้ได้ คนก็แฮปปี้แล้ว เวลาเลือกตั้งคนก็ต้องเลือกพรรคนี้ เพราะเขาพิสูจน์แล้วว่าทำงานได้ เขาเลยชนะมาตลอด ถามว่าเขาเป็นเผด็จการที่มาจากการยึดอำนาจ หรือกดขี่ข่มเหงประชาชนไหม  ก็ต้องบอกว่าไม่ใช่ แค่เป็นพรรคการเมืองที่ประสบความสำเร็จในการเลือกตั้งมาอย่างยาวนาน
ขนาดสีเทายังมีหลายเฉด เผด็จการหรือประชาธิปไตยก็คงไม่ต่างกัน ที่ต้องทำก็คือแยกให้ออกว่าเผด็จการแต่ละแบบเป็นอย่างไร เพื่อจะได้รับมือกับระบอบนั้นได้อย่างตรงจุด
 
ถ้าเราไม่สามารถแยกเผด็จการที่มีหลายเฉดออกจากกันได้    เราก็จะไม่เข้าใจวิธีการทำงานของเผด็จการ   ประชาธิปไตยก็มีหลายแบบเผด็จการก็มีหลายประเภท วิธีแยกง่ายๆ คือดูว่าอำนาจกระจุกตัวอยู่ที่ใคร   อย่างจีนถือเป็นเผด็จการพรรคการเมือง สิงคโปร์ก็เช่นกัน ส่วนเกาหลีเหนือเป็นเผด็จการครอบครัว      เราต้องเข้าใจว่า OS หรือระบบปฏิบัติการของแต่ละระบอบมีความต่างกัน ของไทยเป็นเผด็จการแบบกองทัพ เพราะฉะนั้นถ้าจะไปเปรียบเทียบกับจีนหรือสิงคโปร์ก็จะเป็นการเปรียบเทียบแบบผิดฝาผิดตัว
 
"เรากำลังใช้ระบบปฏิบัติการ หรือ OS ที่โลกเลิกใช้ไปแล้ว แต่เราหยิบมาใช้ แล้วยังคาดหวังว่ามันจะเวิร์ก แรงเสียดทานจึงสูงมาก เพราะโลกได้ก้าวไปสู่ OS อื่นๆ แล้ว"
ประเทศไทยเป็นเผด็จการกองทัพที่เหลืออยู่เพียงหนึ่งเดียวในโลก!
ตอนนี้เราเป็นเผด็จการโดยกองทัพประเทศเดียวในโลกที่ยังคงมีอำนาจอยู่ในปัจจุบัน...
 ก่อนหน้านี้มีเยอะแยะ เพราะช่วงพีกของเผด็จการโดยกองทัพคือช่วงปี 1970 ซึ่งมีประมาณ 20-30 ประเทศ โดยเฉพาะในลาตินอเมริกาอย่าง ชิลี บราซิล อาร์เจนตินา หรือแม้แต่เกาหลีใต้ และอีกหลายประเทศ ถ้าเป็นเมื่อก่อนถือว่าอินเทรนด์นะ

ตัดภาพกลับมาในยุคปัจจุบัน ระบอบที่ได้รับความนิยมเมื่อ 46 ปีที่แล้วกลับกลายเป็นระบอบที่ค่อยๆ หายไปจากแผนที่โลก เหตุผลที่ตายไปเพราะมันไม่มีประสิทธิภาพ นอกจากไม่มีประสิทธิภาพแล้วยังปิดกั้นสิทธิเสรีภาพอีก คือไม่ตอบโจทย์ทั้งสองทาง อย่างจีนถึงจะปิดกั้นสิทธิเสรีภาพ แต่ยังมีความสา มารถในการพัฒนาเศรษฐกิจ เป็นโมเดลเผด็จการพรรคการเมืองที่ใช้เทคโนแครตที่มีความสามารถมาช่วยบริหารเศรษฐกิจ  ยิ่งมีโลกาภิวัตน์  ทั่วโลกก็ยิ่งต้องการระบอบการเมืองการปกครองที่รู้เท่าทันการจัดการระบบเศรษฐกิจสมัยใหม่ ซึ่งเผด็จการกองทัพจะสวนทางกับแนวทางนี้ เพราะฉะนั้นจึงค่อยๆ สูญพันธุ์ไปเรื่อยๆ “  พูดง่ายๆ ว่าเรากำลังใช้ระบบปฏิบัติการ หรือ OS ที่โลกเลิกใช้ไปแล้ว แต่เราหยิบมาใช้ แล้วยังคาดหวังว่ามันจะเวิร์ก แรงเสียดทานจึงสูงมาก เพราะโลกได้ก้าวไปสู่ OS อื่นๆ แล้ว ขนาดพม่าก็ยังรู้แล้วว่า OS นี้ไม่เวิร์ก เขาจึงต้องปรับตัว

ถ้าทุกคนถูกดัดแปลงความคิดจนคิดเหมือนกันหมด ไม่มีใครแตกต่างกัน แล้วความคิดนั้นตรงกับรัฐ ก็จะไม่มีสิ่งที่เรียกว่าการเมืองอีกต่อไป จะเหลือแต่การปกครอง ทุกคนจะเป็นพลเมืองเชื่องๆ เหมือนหุ่นยนต์
ทำไมเผด็จการจึงยังไม่ตายไปจากสังคมไทย?
ในเมื่อหลายประเทศเลิกใช้ระบอบการปกครองนี้ไปแล้ว สงสัยไหมว่าทำไมระบอบเผด็จการทหารถึงยังใช้ได้ในประเทศไทย คำตอบที่ได้คือ...

เผด็จการจะอยู่ได้ด้วยเครื่องมือ 2-3 อย่าง อย่างแรกคือควบคุมด้วยอำนาจดิบ หรือความกลัว ซึ่งถือเป็นพื้นฐานที่สุดแต่ไม่ยั่งยืนที่สุด เพราะไม่มีใครชอบโดนกดขี่บังคับไปตลอด เมื่อไม่มีทางเลือกอื่นให้ประชาชนเลย สักวันก็ต้องโดนประท้วงขับไล่

ฉะนั้นจึงต้องมีเครื่องมือตัวที่ 2 คือคุณต้องบริหารจัดการประเทศให้ดี ให้เศรษฐกิจยังพอไปได้ ให้คนรู้สึกว่าต่อให้ไม่มีสิทธิเสรีภาพ แต่ชีวิตด้านอื่นๆ ก็ยังได้รับความสะดวกสบาย แต่เครื่องมือนี้ก็ยังมีความเปราะบาง เพราะวันหนึ่งเมื่อเศรษฐกิจล่มสลาย ชีวิตไม่ได้ดีเหมือนก่อน การบริหารจัดการล้มเหลว คนก็จะออกมาเรียกร้องหาระบอบอื่น เหมือนอินโดนีเซียที่ซูฮาร์โตอยู่มา 31 ปี พอเจอวิกฤตเศรษฐกิจก็เกิดการประท้วงจนอยู่ไม่ได้

แต่จะอยู่ได้นานต้องใช้เครื่องมือที่ 3 ซึ่งลึกซึ้งที่สุด ถ้าทำได้ก็จะอยู่ได้นานที่สุด คือการควบคุมทางอุดมการณ์ ถ้าคุณสามารถควบคุมความคิดคนให้เห็นว่าการปกครองของคุณ ต่อให้ล้มเหลวทางเศรษฐ กิจ ถูกลิดรอนสิทธิเสรีภาพ แต่เป็นทางเลือกเดียวที่ดีที่สุดสำหรับสังคม ไม่มีทางอื่นที่ดีกว่านี้ ถ้าทุกคนถูกดัดแปลงความคิดจนคิดเหมือนกันหมด ไม่มีใครแตกต่างกัน แล้วความคิดนั้นตรงกับรัฐ ก็จะไม่มีสิ่งที่เรียกว่าการเมืองอีกต่อไป จะเหลือแต่การปกครอง ทุกคนจะเป็นพลเมืองเชื่องๆ เหมือนหุ่นยนต์ ถ้าอย่างนั้นคุณก็ปกครองได้ตลอดไป

แล้วเราจะรับมือกับระบอบเผด็จการได้อย่างไร?
ถ้าใครเคยได้อ่านงานเขียนของ จอร์จ ออร์เวลล์ เรื่อง 1984 จะพบว่าสิ่งหนึ่งที่พี่เบิ้ม หรือ Big Brother หวาดกลัวที่สุดก็คือพลเมืองที่สามารถรักษาความคิดอิสระของตัวเองไว้ได้    แม้จะเป็นเพียงนิยาย แต่หลายอย่างใน 1984 ก็ทาบทับได้อย่างพอดิบพอดีกับโลกความเป็นจริง และ Big Brother ในเรื่องก็ไม่ต่างจากระบอบเผด็จการในยุคปัจจุบันมากนัก ดังนั้นวิธีรับมือกับระบอบนี้ได้ดีที่สุดจึงเป็นการรักษาจุดยืนทางความคิดของตัวเองเอาไว้ให้มั่นคง และไม่สั่นคลอนไปตามวาทกรรมชวนเชื่อที่รัฐพยายามปลูกฝัง

 “ในฐานะคนสอนหนังสือก็ต้องใช้ชีวิตต่อไปตามปกติ โดยที่ยังสามารถรักษาความคิดอิสระของตัวเองไว้ได้ เพราะหน้าที่ของคนที่เป็นนักคิดคือ    การชี้ให้คนทั่วไปเห็นว่าโลกไม่จำเป็นต้องเป็นในแบบที่มันเป็นอยู่มันมีโอกาสที่จะมีสิ่งที่ดีกว่านี้เกิดขึ้นได้       ฉะนั้นถ้าระบอบเผด็จการทำงานอยู่บนฐานของการเปรียบเทียบอดีตกับปัจจุบันให้คุณยอมรับว่าตอนนี้ดีที่สุดแล้ว ความหวังของสังคมไทยก็อยู่ที่นักคิดที่ต้องชี้ให้เห็นว่ามันมีอนาคตที่ดีกว่าปัจจุบัน

ทำไมต้องประชาธิปไตย?
ในทางรัฐศาสตร์ เผด็จการ หรือประชาธิปไตย ไม่ได้เป็นอะไรมากไปกว่าระบอบการปกครองรูปแบบหนึ่งที่ต่างก็มีทั้งข้อดีและข้อเสียในตัวของมันเอง แต่ถ้าเลือกได้คุณอยากจะอยู่ในสังคมที่ปกครองด้วยระบอบไหน     อย่าเพิ่งตอบคำถามนี้จนกว่าได้จะฟังแนวคิดของประจักษ์ที่มีต่อระบอบการปกครองทั้ง 2 แบบ    “ผมไม่ได้มองว่าระบอบประชาธิปไตยเป็นสิ่งที่เลิศเลอ เผด็จการก็เช่นกัน สำหรับนักรัฐศาสตร์เวลาพูดถึงระบอบการปกครองจะถือว่าเป็นความหมายธรรมดาสามัญมากเลย แค่พูดถึงระบอบการเมืองต่างชนิดกัน เหมือนเป็น OS ทางการเมือง      ทีนี้ทำไมผมถึงเชื่อในระบอบประชาธิปไตยมากกว่า ก็เพราะอย่างน้อยมันผ่านการพิสูจน์ และทดลองใช้มาแล้วในที่ต่างๆ ทั่วโลก มันเป็น OS ที่มีศักยภาพในการปรับตัวได้มากกว่าระบอบเผด็จการ โดยเฉพาะระบอบเผด็จการแบบทหารซึ่งเป็น OS ที่ล้าหลังที่สุด

คุณจะไปคาดหวังให้เขาเป็นในสิ่งที่ไม่ใช่ไม่ได้     ไม่ว่าคุณจะเอาทหารประเทศไหนก็ตามมาบริหารประเทศก็ต้องเจอแบบนี้แหละ เพราะทหารส่วนใหญ่ถูกฝึกมาให้คิดถึงเรื่องความมั่นคงเป็นหลัก นอกนั้นเป็นเรื่องรองหมด
ถึงแม้จะยอมรับว่าระบอบประชาธิปไตยอาจจะยังไม่ใช่ระบอบที่สมบูรณ์แบบที่สุดในปัจจุบัน แต่ข้อดีของมันคือเป็นระบอบที่ยังอัพเดตให้ดีขึ้นได้       ต่างจากระบอบเผด็จการที่อาจเดินทางมาถึงทางตันจนไม่สามารถพัฒนาต่อไปได้

คุณจะไปคาดหวังให้เขาเป็นในสิ่งที่ไม่ใช่ไม่ได้ ไม่ว่าคุณจะเอาทหารประเทศไหนก็ตามมาบริหารประเทศก็ต้องเจอแบบนี้แหละ เพราะทหารส่วนใหญ่ถูกฝึกมาให้คิดถึงเรื่องความมั่นคงเป็นหลัก นอกนั้นเป็นเรื่องรองหมด ดังนั้นทหารจึงมองทุกอย่างจากเลนส์ของความมั่นคง    โปเกมอนโกก็เป็นภัยความมั่นคงได้ ถ้าคุณเป็นนักธุรกิจ โปเกมอนโกอาจเป็นโอกาสทางธุรกิจ   ถ้าคุณเป็นวัยรุ่น โปเกมอนโกคือการพักผ่อนหย่อนใจ       แต่ถ้าคุณเป็นทหาร คุณจะมองว่าโปเกมอนโกเป็นภัยความมั่นคงหรือเปล่า เพราะโดยธรรมชาติเขาถูกฝึกมาปกป้อง คุ้มครองความปลอดภัยของพวกเรานี่แหละ”

ฉะนั้นพอเราเอาเผด็จการทหารมาใช้ในฐานะระบอบการเมือง นี่คือสิ่งที่คุณจะได้ คุณจะไปคาดหวังในสิ่งที่เขาไม่มีไม่ได้ ทั้งความโชติช่วงทางเศรษฐกิจ เทคโนโลยีสมัยใหม่ การปรับตัวให้เข้ากับโลกภาย นอก       ในขณะที่ประชาธิปไตยมีความลื่นไหลยืดหยุ่นมากกว่า   แล้วก็มีตัวอย่างให้เห็นเป็นไม่รู้กี่สิบประเทศ     ระบอบเผด็จการสร้างแค่ความสงบ แต่เป็นความสงบที่มีต้นทุนสูงมาก และเป็นต้นทุนที่ถูกทำให้มองไม่เห็น เพราะมีการควบคุมข้อมูลข่าวสาร มีปัญหาเราก็พูดไม่ได้อย่างเต็มที่หรอก มันถึงดูสงบสุขดี ต้นทุนก็เลยสะสมมากขึ้นเรื่อยๆ ในการอยู่แบบสงบอย่างนี้

สุดท้ายถึงวันนี้เราจะเลือกไม่ได้ว่าจะอยู่ภายใต้ระบอบการปกครองรูปแบบไหน แต่สิ่งที่เราพอจะทำได้คือพยายามเรียนรู้จากสิ่งที่เป็นอยู่ให้ได้มากที่สุด เพื่อจะได้รู้เท่าทัน และช่วยกันเฝ้าระวังสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคตต่อไป เหมือนที่ประจักษ์ทิ้งท้ายไว้ว่า

วิกฤติในสังคมตอนนี้ ถ้าจะมีข้อดีอย่างหนึ่งที่ผมเห็นคือ อย่างน้อยสังคมไทยก็เรียนรู้แล้วว่าระบอบประชาธิปไตยมีความบกพร่องผิดพลาดได้ รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งอาจจะไม่ได้ดีเสมอไป เราจะได้รู้จักตรวจสอบนักการเมือง   รัฐบาล   หรือใครก็ตามที่ใช้อำนาจประชาชนผ่านการเลือกตั้งในนามของประชาธิปไตย “    แต่สิ่งที่ยังไม่เกิดก็คือ สังคมไทยยังไม่ได้วิพากษ์ หรือรู้เท่าทันระบอบเผด็จการเท่าๆ กับที่เราวิพากษ์ระบอบประชาธิปไตย พูดง่ายๆ คือสังคมไทยเป็นหนึ่งในไม่กี่ประเทศที่ยังโลกสวยกับเผด็จการ เวลาพูดถึงรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง เราจะตื่นตัวมาก อยากจะตรวจสอบ

แต่พอเป็นระบอบเผด็จการ เรากลับบอกว่า ให้เขาบริหารบ้านเมืองไปเถอะ เดี๋ยวทุกอย่างจะดีขึ้นเอง ซึ่งจะว่าไปมันก็ประหลาดนะ

FACT BOX:
1984: นวนิยายที่พูดถึงโลกซึ่งมีสงครามตลอดกาล การสอดส่องดูแลของรัฐบาลทุกหนแห่ง และการชักใยสาธารณะทางการเมือง ภายใต้การควบคุมของอภิชน พรรคในที่มีอภิสิทธิ์ในการก่อกวนการคิดอย่างอิสระ โดยมี พี่เบิ้มหรือ Big Brother เป็นผู้นำพรรคกึ่งเทพ ซึ่งได้ประโยชน์จากลัทธิบูชาบุคคลที่เข้มข้น แต่อาจไม่มีอยู่จริง ซึ่งพรรคใช้อ้างเหตุผลในการปกครองอย่างกดขี่   ประพันธ์โดย จอร์จ ออร์เวลล์ (George Orwell) นักประพันธ์ชาวอังกฤษ