ทำไมระบอบเผด็จการจึงประสบความสำเร็จในสังคมไทย’
งานวิจัยชิ้นใหม่ของ ประจักษ์ ก้องกีรติ 28-09-2016
HIGHLIGHTS:
· ประชาธิปไตยไม่ใช่ OS (ระบบปฏิบัติการ) ทางการเมืองที่สมบูรณ์แบบที่สุด แต่เป็น OS ที่พร้อมจะอัพเดตได้ง่ายที่สุด ต่างจากเผด็จการที่เป็นเหมือน OS ที่อัพเดตไม่ได้
· อาวุธลับของเผด็จการไทย
คือการเปรียบเทียบอดีตที่วุ่นวายกับปัจจุบันที่สงบ เพื่อค่อยๆ
นวดให้ประชาชนรู้สึกว่าแบบนี้ก็ดีอยู่แล้ว
· อำนาจเด็ดขาดและความสงบเป็นเพียงภาพลวงตา
แท้จริงแล้วยังมีปัญหาอีกมากมายที่เผด็จการไม่เคยแก้ไข
ระบอบเผด็จการกับการเมืองไทยคือสิ่งที่อยู่คู่กันมาอย่างยาวนาน
แม้เราอยากจะปฏิเสธแค่ไหน ก็คงหนีความจริงข้อนี้ไปไม่พ้น ถ้าประชาธิปไตยคือจุดหมายปลายทางที่สำคัญของประเทศ
แทนที่จะตีอกชกหัวพร่ำโทษว่าทำไมประเทศไทยไม่เป็นประชาธิปไตย เราอยากชวนคุณมากลับมุมคิดกับงานวิจัยชิ้นล่าสุดของ ผศ. ดร.ประจักษ์
ก้องกีรติ อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์
มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ที่ใช้เวลานานกว่า 6 เดือน
เก็บตัวอย่างศึกษาระบอบเผด็จการอย่างจริงจังที่ประเทศสิงคโปร์
จนสุดท้ายกลายมาเป็นผลงานวิจัยที่ใช้ชื่อว่า 'A Tales of Three
Authoritarianism' หรือ 'เรื่องเล่าจากระบอบเผด็จการ
3 ยุค'
แม้ว่าผลวิจัยนี้จะยังไม่เสร็จสมบูรณ์
แต่สิ่งที่เขาได้เรียนรู้จากการศึกษาครั้งนี้
น่าจะทำให้เราเห็นภาพของระบอบการปกครองเผด็จการได้ชัดเจนยิ่งขึ้น
ทำไมเราต้องเข้าใจเผด็จการ?
“ประโยคที่เราชอบพูดกันซ้ำๆ ว่าประชาธิปไตยไทยอายุ 80 กว่าปีแต่ก็ยังล้มเหลว จริงๆ ประโยคนี้ผิดตั้งแต่ต้น เพราะสังคมไทยไม่ได้แต่งงานกับประชาธิปไตย แล้วใช้ชีวิตคู่อย่างราบรื่นมาโดยตลอด มันมีการหย่าร้างกันหลายช่วง”
“ประโยคที่เราชอบพูดกันซ้ำๆ ว่าประชาธิปไตยไทยอายุ 80 กว่าปีแต่ก็ยังล้มเหลว จริงๆ ประโยคนี้ผิดตั้งแต่ต้น เพราะสังคมไทยไม่ได้แต่งงานกับประชาธิปไตย แล้วใช้ชีวิตคู่อย่างราบรื่นมาโดยตลอด มันมีการหย่าร้างกันหลายช่วง”
ประจักษ์เริ่มต้นตอบคำถามของเราด้วยการอ้างถึงความเข้าใจแบบผิดๆ
ที่เราถูกพร่ำสอนมานาน ก่อนจะเสริมว่า “หลังจากศึกษาเรื่องประชาธิปไตยมานาน
พอทำไปถึงจุดหนึ่งก็เริ่มรู้สึกถึงทางตันกับการตอบคำถามว่า ‘ทำไมประชาธิปไตยไทยถึงล้มเหลว’
ซึ่งนักวิชาการหลายคนสรุปแทบไม่ต่างกันเช่น
วัฒน ธรรมไทยไม่เอื้อ สังคมไทยเป็นสังคมอุปถัมภ์
ไม่ได้เชื่อเรื่องความเท่าเทียมกัน บางคนใช้คำว่าเนื้อดินมันไม่เอื้อ
วัฒนธรรมเราเป็นแบบหนึ่ง ประชาธิปไตยเป็นของนอก เอามาปลูกเลยไม่โต หรือคนมักจะบอกว่าช่องว่างทางเศรษฐกิจมันเยอะเกินไป
ยากที่ประชาธิปไตยจะเติบโตในสังคมที่มีช่องว่างระหว่างคนจนกับคนรวยสูง หรือบางคนก็อธิบายว่าไทยมีความพิเศษบางอย่าง
ทำให้จำเป็นต้องมีระบอบการปกครองเฉพาะของตัวเอง
“พอคำตอบที่ได้มันเริ่มวนและไปไหนต่อไม่ได้
เลยอยากหาโจทย์วิจัยใหม่ๆ ดังนั้นผมเลยอยากมองไปที่อีกด้านของเหรียญ
แทนที่จะมองว่าทำไม 84 ปีมานี้ประชาธิปไตยล้มเหลว
ก็มองว่าทำไมระบอบเผด็จการถึงประสบความสำเร็จ โดยใช้วิธีการเปรียบเทียบทั้ง 3
ยุค คือ ยุคสฤษดิ์-ถนอม ยุคสุจินดา และยุคปัจจุบัน”
"คนมักจะเข้าใจผิดว่าระบอบเผด็จการคือความสงบ
มั่นคง มีแบบแผน คาดเดาได้ แต่จริงๆ
แล้วหัวใจของระบอบเผด็จการคือการคาดเดาไม่ได้"
รัฐธรรมนูญ =
เครื่องมือสร้างการยอมรับของระบอบเผด็จการ
สิ่งหนึ่งที่ประจักษ์ได้ค้นพบจากการทำงานวิจัยชิ้นนี้ก็คือ ระบอบเผด็จการไทยมักจะยึดโยงตัวเองเข้ากับรัฐธรรมนูญในทุกยุคทุกสมัย นั่นเป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่ทำให้ประเทศไทยมีรัฐธรรมนูญหลายฉบับ เพราะหลังจากรัฐประหารเสร็จสิ้น สิ่งแรกที่รัฐบาลเผด็จการต้องทำก็คือการฉีกรัฐธรรมนูญฉบับเก่าทิ้ง และร่างรัฐธรรมนูญขึ้นมาใหม่ “มีบางคนล้อว่าการร่างรัฐธรรมนูญเป็นอุตสาหกรรมอย่างหนึ่ง เพราะมีคนที่มีชีวิตอยู่ได้ด้วยการรับจ้างร่างรัฐธรรมนูญ เหมือนเขียนหนังสือไตรภาค”
สิ่งหนึ่งที่ประจักษ์ได้ค้นพบจากการทำงานวิจัยชิ้นนี้ก็คือ ระบอบเผด็จการไทยมักจะยึดโยงตัวเองเข้ากับรัฐธรรมนูญในทุกยุคทุกสมัย นั่นเป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่ทำให้ประเทศไทยมีรัฐธรรมนูญหลายฉบับ เพราะหลังจากรัฐประหารเสร็จสิ้น สิ่งแรกที่รัฐบาลเผด็จการต้องทำก็คือการฉีกรัฐธรรมนูญฉบับเก่าทิ้ง และร่างรัฐธรรมนูญขึ้นมาใหม่ “มีบางคนล้อว่าการร่างรัฐธรรมนูญเป็นอุตสาหกรรมอย่างหนึ่ง เพราะมีคนที่มีชีวิตอยู่ได้ด้วยการรับจ้างร่างรัฐธรรมนูญ เหมือนเขียนหนังสือไตรภาค”
ที่เป็นแบบนั้นก็เพราะรัฐธรรมนูญคือเครื่องมือที่ระบอบเผด็จการมักจะนำมาใช้เพื่อสร้างการยอมรับต่อนานาประเทศ
“สังคมไทยไม่เคยเป็นสังคมปิดแบบพม่า
เผด็จการไทยจึงเป็นระบอบเผด็จการที่พยา- ยามมีความสัมพันธ์กับโลกภายนอกตลอดเวลา
เพราะถ้าปิดประเทศแบบพม่าก็จะเจ๊งกันหมด ชนชั้นนำก็เจ๊ง คนทำรัฐประหารก็เจ๊งด้วย
เพราะเราไม่สามารถกลับไปอยู่แบบทำไร่ทำนา
โดยไม่ต้องค้าขายกับโลกภายนอกได้ พอคุณพยายามจะสร้างความชอบธรรมกับต่างประเทศ คุณก็ต้องแสดงให้เห็นว่าระบอบเผด็จการของคุณไม่ใช่ระบอบป่าเถื่อนโหดร้าย
หรือใช้แต่อำนาจดิบ แต่ยังปกครองโดยยึดหลักกฎหมายด้วย”
นอกจากนี้รัฐธรรมนูญยังจะช่วยให้ระบอบเผด็จการสามารถปกครองได้ยาวๆ
แบบไม่ต้องเจอแรงกดดันมากนัก เมื่อมีรัฐธรรมนูญก็เท่ากับระบอบนั้นกำลังมีข้ออ้างชั้นดีต่อประชาชนของตัวเองและโลกภาย
นอก คนมักจะเข้าใจผิดว่าระบอบเผด็จการคือความสงบ
มั่นคง มีแบบแผน คาดเดาได้ แต่จริงๆ แล้วหัวใจของระบอบเผด็จการคือการคาดเดาไม่ได้
สมมติคุณอยากจะปลดผู้ว่าฯคนนี้คุณก็ปลด อันนี้แหละคือธรรมชาติของระบอบเผด็จการ
แต่ไม่มีใครชอบเจ้านายที่หุนหันพลันแล่นและคาดเดาไม่ได้
เพราะลูกน้องทุกคนจะกลัวและไม่แน่ใจว่าจะโดนปลดเมื่อไร
ฉะนั้นระบอบเผด็จการที่อยากจะอยู่ยาวหน่อย และได้รับการยอมรับจากคนใต้ปก ครองก็ต้องพยายามสร้างหลัก
หรือกฎระเบียบบางอย่างขึ้นมา
“แต่ไม่ได้หมายความว่าจะเป็นกฎระเบียบที่เคารพสิทธิเสรีภาพของประชาชนเหมือนรัฐธรรมนูญภายใต้ระบอบประชาธิปไตย
มันก็จะเป็นรัฐธรรมนูญแบบเผด็จการอย่างจีน หรือรัสเซียก็มีรัฐธรรมนูญ
ซึ่งเนื้อหาของรัฐธรรมนูญเหล่านี้จะให้อำนาจแก่ผู้นำเยอะ
ไม่ได้ให้เสรีภาพกับสื่อหรือประชาชนมากนัก แต่มันก็ยังสำคัญ
เพราะอย่างน้อยก็ใช้อ้างกับประชาชนและโลกภายนอกได้”
เทียบอดีตที่วุ่นวายกับปัจจุบันที่มั่นคง… อาวุธลับของ ‘เผด็จการแบบนวด’
ประจักษ์ตั้งข้อสังเกตว่าหนึ่งในอาวุธลับที่ระบอบเผด็จการยุคปัจจุบันหยิบมาใช้บ่อยๆ และมักจะได้ผลทุกครั้งไปก็คือการเปรียบเทียบภาพความวุ่นวายในอดีตกับปัจจุบัน เพื่อค่อยๆ โน้มน้าวให้คนฟังรู้สึกคล้อยตามไปเรื่อยๆ “ผมว่าระบอบนี้น่าสนใจ เพราะวิธีหนึ่งที่เขาใช้มาตลอดคือ เขาจะไม่พูดถึงสิ่งที่เขาทำเฉยๆโดยไม่อ้างอิงกับอดีต เช่น จะกลับไปตีกันเหมือนเดิมไหมล่ะ คุณชอบเหรอ แล้วตอนนี้เสียหายตรงไหน บ้านเมืองสงบ เพื่อให้เห็นว่าปัจจุบันอาจจะไม่สมบูรณ์แบบ แต่มันก็ดีกว่าอดีตใช่ไหม”
เทียบอดีตที่วุ่นวายกับปัจจุบันที่มั่นคง… อาวุธลับของ ‘เผด็จการแบบนวด’
ประจักษ์ตั้งข้อสังเกตว่าหนึ่งในอาวุธลับที่ระบอบเผด็จการยุคปัจจุบันหยิบมาใช้บ่อยๆ และมักจะได้ผลทุกครั้งไปก็คือการเปรียบเทียบภาพความวุ่นวายในอดีตกับปัจจุบัน เพื่อค่อยๆ โน้มน้าวให้คนฟังรู้สึกคล้อยตามไปเรื่อยๆ “ผมว่าระบอบนี้น่าสนใจ เพราะวิธีหนึ่งที่เขาใช้มาตลอดคือ เขาจะไม่พูดถึงสิ่งที่เขาทำเฉยๆโดยไม่อ้างอิงกับอดีต เช่น จะกลับไปตีกันเหมือนเดิมไหมล่ะ คุณชอบเหรอ แล้วตอนนี้เสียหายตรงไหน บ้านเมืองสงบ เพื่อให้เห็นว่าปัจจุบันอาจจะไม่สมบูรณ์แบบ แต่มันก็ดีกว่าอดีตใช่ไหม”
“ซึ่งตามทฤษฎีอธิบายว่ามีระบอบเผด็จการบางประเภทที่มักจะอ้างอิงความชอบธรรมของตัวเองจากการเปรียบเทียบกับอดีต
คือรู้แหละว่าตัวเองบริหารงานไม่เก่งมาก
เศรษฐกิจอาจจะไม่ดีมาก ฉะนั้นวิธีที่จะสร้างความชอบธรรมอย่างได้ผลที่สุดก็คือ การบอกว่าอย่างน้อยข้าพเจ้าก็ดีกว่าระบอบที่เพิ่งล้มลงไป
ผมเรียกว่าเป็น ‘เผด็จการแบบนวด’ เขาจะค่อยๆนวดความคิดคุณไปเรื่อยๆ
จนถึงจุดที่คุณรู้สึกว่าต้องทำตามที่เขาบอกนั่นแหละ
เพราะเป็นทางเลือกที่เสียหายน้อยที่สุดแล้ว"
"ผมคิดว่าสังคมที่ดีไม่ควรจะมีแค่ความสงบเป็นเป้าหมายปลายทางเพียงอย่างเดียว
เพราะถ้าสมมติว่าความสงบคือเป้าหมายประการเดียวที่สำคัญที่สุดของการอยู่ร่วมกัน แบบนั้นเกาหลีเหนือคงเป็นสังคมที่น่าอยู่ที่สุดในโลก"
ความสงบที่แลกมาด้วยต้นทุนที่สูงลิ่ว
เมื่อผ่านเหตุการณ์ความวุ่นวายทางการเมืองที่ต่อเนื่องยาวนานมาจนชินชา ไม่ใช่เรื่องแปลกที่หลายคนจะโหยหาความสงบในสังคม ซึ่งถือเป็นจุดขายสำคัญของระบอบเผด็จการในปัจจุบัน แต่ถึงอย่างนั้นความสงบที่ผู้คนต้องการก็อาจจะมาพร้อมกับต้นทุนที่สูงลิ่ว ขึ้นอยู่กับว่าเราพร้อมจะแลกหรือเปล่า
เมื่อผ่านเหตุการณ์ความวุ่นวายทางการเมืองที่ต่อเนื่องยาวนานมาจนชินชา ไม่ใช่เรื่องแปลกที่หลายคนจะโหยหาความสงบในสังคม ซึ่งถือเป็นจุดขายสำคัญของระบอบเผด็จการในปัจจุบัน แต่ถึงอย่างนั้นความสงบที่ผู้คนต้องการก็อาจจะมาพร้อมกับต้นทุนที่สูงลิ่ว ขึ้นอยู่กับว่าเราพร้อมจะแลกหรือเปล่า
“ถามว่าอะไรคือสังคมที่ดี
ไม่ต้องพูดถึงเรื่องการเมืองก็ได้ ผมคิดว่าสังคมที่ดีไม่ควรจะมีแค่ความสงบเป็นเป้าหมายปลายทางเพียงอย่างเดียว
เพราะถ้าสมมติว่าความสงบคือเป้าหมายประการเดียวที่สำคัญที่สุดของการอยู่ร่วมกัน
แบบนั้นเกาหลีเหนือคงเป็นสังคมที่น่าอยู่ที่สุดในโลก เพราะไม่ต้องมีความขัด แย้งใดๆ
ไม่ต้องมีสื่อมาคอยวุ่นวาย ไม่มีการประท้วง ไม่มีคนออกมาโหวกเหวกโวยวาย
แต่ทำไมเวลานึกถึงเกาหลีเหนือแล้ว ถึงไม่มีใครอยากไปอยู่ล่ะ”
“ก็หมายความว่ามันต้องมีอะไรมากกว่าความสงบใช่ไหม
ที่คุณก็รู้ว่าคุณต้องการเพื่อที่จะมีชีวิตในสังคมที่ดี ทั้งการศึกษาที่ดี
เสรีภาพในการแสดงออกได้ ไม่ใช่แค่ทางการเมืองอย่างเดียว แต่รวมถึงการแสดงความคิดเห็น
อัตลักษณ์ของคุณที่จะได้รับความเคารพ สิทธิเสรีภาพของสื่อ หรือสิทธิมนุษยชน คุณอยากอยู่ในสังคมที่อยู่ดีๆก็มีเจ้าหน้าที่รัฐมาเคาะประตูบ้านแล้วลักพาตัวสามีคุณไปเลยไหม
ซึ่งสิ่งเหล่า นี้คือสิ่งที่เกิดขึ้นในระบอบเผด็จการทั่วโลก ทั้งจีน รัสเซีย อิหร่าน หรือแม้กระทั่งเวียดนาม”
อำนาจเด็ดขาดของระบอบเผด็จการอาจเป็นสิ่งที่หลายคนต้องการ เพราะมันมาพร้อมกับความฉับไวในการแก้ปัญหาความสงบเรียบร้อยในสังคม แต่ประจักษ์มองว่าสิ่งเหล่านั้นอาจเป็นเพียงภาพลวงตา เพราะปัญหาต่างๆ ถูกซุกไว้ใต้พรมจนเราเผลอเข้าใจไปว่าทุกอย่างเรียบร้อยดี “ปัญหาของอำนาจเด็ดขาดก็คือ อำนาจแบบนี้ไม่ได้แก้ไขปัญหาระยะยาว หรือไม่ได้แก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้าง คือถ้าสัง คมไทยป่วยเป็นโรค มันมีสาเหตุพื้นฐานหลายอย่างที่ทำให้เรามาถึงจุดนี้ แต่อำนาจเด็ดขาดเหมือนฝิ่น คือจะมีฤทธิ์แรงมาก ช่วยระงับความเจ็บปวด พอใช้ปุ๊บก็ฟินเลย แต่วันหนึ่งที่คุณตื่นขึ้นมาแล้ว คุณก็จะรู้ว่ามูลเหตุพื้นฐานทั้งหลายทางเศรษฐกิจ สังคม ความเหลื่อมล้ำ การศึกษา หรือระบบราชการที่ไม่มีประสิทธิภาพมันยังไม่ได้รับการแก้ไข ตอนนี้เราก็แค่สะใจที่ได้ลุ้นว่าวันนี้เขาจะปลดคนไหน แต่มันแก้ไขปัญหาจริงๆ หรือเปล่าล่ะ”
สิงคโปร์โมเดล’ ความเข้าใจผิดเกี่ยวกับเผด็จการของคนไทย
เมื่อมีประเด็นเกี่ยวกับระบอบเผด็จการ ตัวอย่างที่คนไทยมักจะหยิบยกมาพูดถึงคือประเทศสิงคโปร์ ที่มีภาพลักษณ์เป็นเผด็จการที่อาจจะมีเสรีภาพไม่มากเท่าประเทศประชาธิปไตย แต่การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจกลับแซงหน้าประเทศเพื่อนบ้าน จนหลายคนขนานนามว่าเป็น ‘สิงคโปร์โมเดล’
อำนาจเด็ดขาดของระบอบเผด็จการอาจเป็นสิ่งที่หลายคนต้องการ เพราะมันมาพร้อมกับความฉับไวในการแก้ปัญหาความสงบเรียบร้อยในสังคม แต่ประจักษ์มองว่าสิ่งเหล่านั้นอาจเป็นเพียงภาพลวงตา เพราะปัญหาต่างๆ ถูกซุกไว้ใต้พรมจนเราเผลอเข้าใจไปว่าทุกอย่างเรียบร้อยดี “ปัญหาของอำนาจเด็ดขาดก็คือ อำนาจแบบนี้ไม่ได้แก้ไขปัญหาระยะยาว หรือไม่ได้แก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้าง คือถ้าสัง คมไทยป่วยเป็นโรค มันมีสาเหตุพื้นฐานหลายอย่างที่ทำให้เรามาถึงจุดนี้ แต่อำนาจเด็ดขาดเหมือนฝิ่น คือจะมีฤทธิ์แรงมาก ช่วยระงับความเจ็บปวด พอใช้ปุ๊บก็ฟินเลย แต่วันหนึ่งที่คุณตื่นขึ้นมาแล้ว คุณก็จะรู้ว่ามูลเหตุพื้นฐานทั้งหลายทางเศรษฐกิจ สังคม ความเหลื่อมล้ำ การศึกษา หรือระบบราชการที่ไม่มีประสิทธิภาพมันยังไม่ได้รับการแก้ไข ตอนนี้เราก็แค่สะใจที่ได้ลุ้นว่าวันนี้เขาจะปลดคนไหน แต่มันแก้ไขปัญหาจริงๆ หรือเปล่าล่ะ”
สิงคโปร์โมเดล’ ความเข้าใจผิดเกี่ยวกับเผด็จการของคนไทย
เมื่อมีประเด็นเกี่ยวกับระบอบเผด็จการ ตัวอย่างที่คนไทยมักจะหยิบยกมาพูดถึงคือประเทศสิงคโปร์ ที่มีภาพลักษณ์เป็นเผด็จการที่อาจจะมีเสรีภาพไม่มากเท่าประเทศประชาธิปไตย แต่การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจกลับแซงหน้าประเทศเพื่อนบ้าน จนหลายคนขนานนามว่าเป็น ‘สิงคโปร์โมเดล’
“จากที่ผมไปเป็นนักวิจัยอยู่ที่สิงคโปร์
6-7 เดือน
จึงพบว่าสังคมไทยสร้างสมการที่ผิดมาตลอดเวลาพูดถึงสิงคโปร์โมเดล ที่มีความเจริญ
เศรษฐกิจดี โดยไม่ต้องมีประชาธิปไตยก็ได้ ซึ่งเราต้องเข้าใจก่อนว่าสิงคโปร์ไม่ใช่ประชาธิปไตยเต็มร้อยแน่นอน
แต่เขาก็ไม่ใช่เผด็จการอย่างที่เราเข้าใจ คือสิงคโปร์ไม่ใช่เผด็จการทหาร ถ้าจะเรียกว่าเผด็จการก็เป็นเผด็จการพรรคการเมือง
แต่เขามีที่มาจากการเลือกตั้ง”
“ที่พรรคของลีกวนยูชนะการเลือกตั้งมาตลอด
ก่อนจะขึ้นสู่อำนาจแต่ละครั้ง เขาต้องมีการแข่งขันกับพรรคการเมืองอื่น
อาจจะมีคนกล่าวหาว่าเขาใช้งบประมาณทุกอย่างเพื่อทำให้ตัวเองได้เปรียบ แต่คนเลือกเขาก็เพราะเขาทำผลงานดี
สร้างระบบคมนาคมที่ดี การศึกษาดี และอีกเรื่องที่ทำให้เขาเป็นที่นิยมมากคือนโยบาย Government Housing หรือการจัดโครงการที่อยู่อาศัยให้คนรายได้น้อย
แค่ทำ
3-4 เรื่องนี้ได้ คนก็แฮปปี้แล้ว
เวลาเลือกตั้งคนก็ต้องเลือกพรรคนี้ เพราะเขาพิสูจน์แล้วว่าทำงานได้
เขาเลยชนะมาตลอด ถามว่าเขาเป็นเผด็จการที่มาจากการยึดอำนาจ
หรือกดขี่ข่มเหงประชาชนไหม ก็ต้องบอกว่าไม่ใช่
แค่เป็นพรรคการเมืองที่ประสบความสำเร็จในการเลือกตั้งมาอย่างยาวนาน”
ขนาดสีเทายังมีหลายเฉด เผด็จการหรือประชาธิปไตยก็คงไม่ต่างกัน ที่ต้องทำก็คือแยกให้ออกว่าเผด็จการแต่ละแบบเป็นอย่างไร เพื่อจะได้รับมือกับระบอบนั้นได้อย่างตรงจุด
ขนาดสีเทายังมีหลายเฉด เผด็จการหรือประชาธิปไตยก็คงไม่ต่างกัน ที่ต้องทำก็คือแยกให้ออกว่าเผด็จการแต่ละแบบเป็นอย่างไร เพื่อจะได้รับมือกับระบอบนั้นได้อย่างตรงจุด
“ถ้าเราไม่สามารถแยกเผด็จการที่มีหลายเฉดออกจากกันได้
เราก็จะไม่เข้าใจวิธีการทำงานของเผด็จการ ประชาธิปไตยก็มีหลายแบบเผด็จการก็มีหลายประเภท
วิธีแยกง่ายๆ คือดูว่าอำนาจกระจุกตัวอยู่ที่ใคร อย่างจีนถือเป็นเผด็จการพรรคการเมือง
สิงคโปร์ก็เช่นกัน ส่วนเกาหลีเหนือเป็นเผด็จการครอบครัว เราต้องเข้าใจว่า OS หรือระบบปฏิบัติการของแต่ละระบอบมีความต่างกัน
ของไทยเป็นเผด็จการแบบกองทัพ
เพราะฉะนั้นถ้าจะไปเปรียบเทียบกับจีนหรือสิงคโปร์ก็จะเป็นการเปรียบเทียบแบบผิดฝาผิดตัว”
"เรากำลังใช้ระบบปฏิบัติการ
หรือ OS ที่โลกเลิกใช้ไปแล้ว แต่เราหยิบมาใช้
แล้วยังคาดหวังว่ามันจะเวิร์ก แรงเสียดทานจึงสูงมาก เพราะโลกได้ก้าวไปสู่ OS
อื่นๆ แล้ว"
ประเทศไทยเป็นเผด็จการกองทัพที่เหลืออยู่เพียงหนึ่งเดียวในโลก!
“ตอนนี้เราเป็นเผด็จการโดยกองทัพประเทศเดียวในโลกที่ยังคงมีอำนาจอยู่ในปัจจุบัน...
ก่อนหน้านี้มีเยอะแยะ เพราะช่วงพีกของเผด็จการโดยกองทัพคือช่วงปี 1970 ซึ่งมีประมาณ 20-30 ประเทศ โดยเฉพาะในลาตินอเมริกาอย่าง ชิลี บราซิล อาร์เจนตินา หรือแม้แต่เกาหลีใต้ และอีกหลายประเทศ ถ้าเป็นเมื่อก่อนถือว่าอินเทรนด์นะ”
“ตอนนี้เราเป็นเผด็จการโดยกองทัพประเทศเดียวในโลกที่ยังคงมีอำนาจอยู่ในปัจจุบัน...
ก่อนหน้านี้มีเยอะแยะ เพราะช่วงพีกของเผด็จการโดยกองทัพคือช่วงปี 1970 ซึ่งมีประมาณ 20-30 ประเทศ โดยเฉพาะในลาตินอเมริกาอย่าง ชิลี บราซิล อาร์เจนตินา หรือแม้แต่เกาหลีใต้ และอีกหลายประเทศ ถ้าเป็นเมื่อก่อนถือว่าอินเทรนด์นะ”
ตัดภาพกลับมาในยุคปัจจุบัน
ระบอบที่ได้รับความนิยมเมื่อ 46
ปีที่แล้วกลับกลายเป็นระบอบที่ค่อยๆ หายไปจากแผนที่โลก “เหตุผลที่ตายไปเพราะมันไม่มีประสิทธิภาพ
นอกจากไม่มีประสิทธิภาพแล้วยังปิดกั้นสิทธิเสรีภาพอีก คือไม่ตอบโจทย์ทั้งสองทาง
อย่างจีนถึงจะปิดกั้นสิทธิเสรีภาพ แต่ยังมีความสา มารถในการพัฒนาเศรษฐกิจ
เป็นโมเดลเผด็จการพรรคการเมืองที่ใช้เทคโนแครตที่มีความสามารถมาช่วยบริหารเศรษฐกิจ
ยิ่งมีโลกาภิวัตน์ ทั่วโลกก็ยิ่งต้องการระบอบการเมืองการปกครองที่รู้เท่าทันการจัดการระบบเศรษฐกิจสมัยใหม่
ซึ่งเผด็จการกองทัพจะสวนทางกับแนวทางนี้ เพราะฉะนั้นจึงค่อยๆ
สูญพันธุ์ไปเรื่อยๆ “ พูดง่ายๆ ว่าเรากำลังใช้ระบบปฏิบัติการ หรือ OS
ที่โลกเลิกใช้ไปแล้ว แต่เราหยิบมาใช้ แล้วยังคาดหวังว่ามันจะเวิร์ก
แรงเสียดทานจึงสูงมาก เพราะโลกได้ก้าวไปสู่ OS อื่นๆ แล้ว
ขนาดพม่าก็ยังรู้แล้วว่า OS นี้ไม่เวิร์ก เขาจึงต้องปรับตัว”
ถ้าทุกคนถูกดัดแปลงความคิดจนคิดเหมือนกันหมด
ไม่มีใครแตกต่างกัน แล้วความคิดนั้นตรงกับรัฐ
ก็จะไม่มีสิ่งที่เรียกว่าการเมืองอีกต่อไป จะเหลือแต่การปกครอง
ทุกคนจะเป็นพลเมืองเชื่องๆ เหมือนหุ่นยนต์
ทำไมเผด็จการจึงยังไม่ตายไปจากสังคมไทย?
ในเมื่อหลายประเทศเลิกใช้ระบอบการปกครองนี้ไปแล้ว สงสัยไหมว่าทำไมระบอบเผด็จการทหารถึงยังใช้ได้ในประเทศไทย คำตอบที่ได้คือ...
ในเมื่อหลายประเทศเลิกใช้ระบอบการปกครองนี้ไปแล้ว สงสัยไหมว่าทำไมระบอบเผด็จการทหารถึงยังใช้ได้ในประเทศไทย คำตอบที่ได้คือ...
“เผด็จการจะอยู่ได้ด้วยเครื่องมือ 2-3 อย่าง
อย่างแรกคือควบคุมด้วยอำนาจดิบ หรือความกลัว ซึ่งถือเป็นพื้นฐานที่สุดแต่ไม่ยั่งยืนที่สุด
เพราะไม่มีใครชอบโดนกดขี่บังคับไปตลอด เมื่อไม่มีทางเลือกอื่นให้ประชาชนเลย
สักวันก็ต้องโดนประท้วงขับไล่“
ฉะนั้นจึงต้องมีเครื่องมือตัวที่ 2 คือคุณต้องบริหารจัดการประเทศให้ดี
ให้เศรษฐกิจยังพอไปได้ ให้คนรู้สึกว่าต่อให้ไม่มีสิทธิเสรีภาพ แต่ชีวิตด้านอื่นๆ
ก็ยังได้รับความสะดวกสบาย แต่เครื่องมือนี้ก็ยังมีความเปราะบาง
เพราะวันหนึ่งเมื่อเศรษฐกิจล่มสลาย ชีวิตไม่ได้ดีเหมือนก่อน
การบริหารจัดการล้มเหลว คนก็จะออกมาเรียกร้องหาระบอบอื่น
เหมือนอินโดนีเซียที่ซูฮาร์โตอยู่มา 31 ปี
พอเจอวิกฤตเศรษฐกิจก็เกิดการประท้วงจนอยู่ไม่ได้
“แต่จะอยู่ได้นานต้องใช้เครื่องมือที่
3 ซึ่งลึกซึ้งที่สุด ถ้าทำได้ก็จะอยู่ได้นานที่สุด
คือการควบคุมทางอุดมการณ์ ถ้าคุณสามารถควบคุมความคิดคนให้เห็นว่าการปกครองของคุณ
ต่อให้ล้มเหลวทางเศรษฐ กิจ ถูกลิดรอนสิทธิเสรีภาพ
แต่เป็นทางเลือกเดียวที่ดีที่สุดสำหรับสังคม ไม่มีทางอื่นที่ดีกว่านี้
ถ้าทุกคนถูกดัดแปลงความคิดจนคิดเหมือนกันหมด ไม่มีใครแตกต่างกัน
แล้วความคิดนั้นตรงกับรัฐ ก็จะไม่มีสิ่งที่เรียกว่าการเมืองอีกต่อไป
จะเหลือแต่การปกครอง ทุกคนจะเป็นพลเมืองเชื่องๆ เหมือนหุ่นยนต์
ถ้าอย่างนั้นคุณก็ปกครองได้ตลอดไป”
แล้วเราจะรับมือกับระบอบเผด็จการได้อย่างไร?
ถ้าใครเคยได้อ่านงานเขียนของ จอร์จ ออร์เวลล์ เรื่อง 1984 จะพบว่าสิ่งหนึ่งที่พี่เบิ้ม หรือ Big Brother หวาดกลัวที่สุดก็คือพลเมืองที่สามารถรักษาความคิดอิสระของตัวเองไว้ได้ แม้จะเป็นเพียงนิยาย แต่หลายอย่างใน 1984 ก็ทาบทับได้อย่างพอดิบพอดีกับโลกความเป็นจริง และ Big Brother ในเรื่องก็ไม่ต่างจากระบอบเผด็จการในยุคปัจจุบันมากนัก ดังนั้นวิธีรับมือกับระบอบนี้ได้ดีที่สุดจึงเป็นการรักษาจุดยืนทางความคิดของตัวเองเอาไว้ให้มั่นคง และไม่สั่นคลอนไปตามวาทกรรมชวนเชื่อที่รัฐพยายามปลูกฝัง
แล้วเราจะรับมือกับระบอบเผด็จการได้อย่างไร?
ถ้าใครเคยได้อ่านงานเขียนของ จอร์จ ออร์เวลล์ เรื่อง 1984 จะพบว่าสิ่งหนึ่งที่พี่เบิ้ม หรือ Big Brother หวาดกลัวที่สุดก็คือพลเมืองที่สามารถรักษาความคิดอิสระของตัวเองไว้ได้ แม้จะเป็นเพียงนิยาย แต่หลายอย่างใน 1984 ก็ทาบทับได้อย่างพอดิบพอดีกับโลกความเป็นจริง และ Big Brother ในเรื่องก็ไม่ต่างจากระบอบเผด็จการในยุคปัจจุบันมากนัก ดังนั้นวิธีรับมือกับระบอบนี้ได้ดีที่สุดจึงเป็นการรักษาจุดยืนทางความคิดของตัวเองเอาไว้ให้มั่นคง และไม่สั่นคลอนไปตามวาทกรรมชวนเชื่อที่รัฐพยายามปลูกฝัง
“ในฐานะคนสอนหนังสือก็ต้องใช้ชีวิตต่อไปตามปกติ
โดยที่ยังสามารถรักษาความคิดอิสระของตัวเองไว้ได้
เพราะหน้าที่ของคนที่เป็นนักคิดคือ การชี้ให้คนทั่วไปเห็นว่าโลกไม่จำเป็นต้องเป็นในแบบที่มันเป็นอยู่มันมีโอกาสที่จะมีสิ่งที่ดีกว่านี้เกิดขึ้นได้
ฉะนั้นถ้าระบอบเผด็จการทำงานอยู่บนฐานของการเปรียบเทียบอดีตกับปัจจุบันให้คุณยอมรับว่าตอนนี้ดีที่สุดแล้ว
ความหวังของสังคมไทยก็อยู่ที่นักคิดที่ต้องชี้ให้เห็นว่ามันมีอนาคตที่ดีกว่าปัจจุบัน”
ทำไมต้องประชาธิปไตย?
ในทางรัฐศาสตร์ เผด็จการ หรือประชาธิปไตย ไม่ได้เป็นอะไรมากไปกว่าระบอบการปกครองรูปแบบหนึ่งที่ต่างก็มีทั้งข้อดีและข้อเสียในตัวของมันเอง แต่ถ้าเลือกได้คุณอยากจะอยู่ในสังคมที่ปกครองด้วยระบอบไหน อย่าเพิ่งตอบคำถามนี้จนกว่าได้จะฟังแนวคิดของประจักษ์ที่มีต่อระบอบการปกครองทั้ง 2 แบบ “ผมไม่ได้มองว่าระบอบประชาธิปไตยเป็นสิ่งที่เลิศเลอ เผด็จการก็เช่นกัน สำหรับนักรัฐศาสตร์เวลาพูดถึงระบอบการปกครองจะถือว่าเป็นความหมายธรรมดาสามัญมากเลย แค่พูดถึงระบอบการเมืองต่างชนิดกัน เหมือนเป็น OS ทางการเมือง “ทีนี้ทำไมผมถึงเชื่อในระบอบประชาธิปไตยมากกว่า ก็เพราะอย่างน้อยมันผ่านการพิสูจน์ และทดลองใช้มาแล้วในที่ต่างๆ ทั่วโลก มันเป็น OS ที่มีศักยภาพในการปรับตัวได้มากกว่าระบอบเผด็จการ โดยเฉพาะระบอบเผด็จการแบบทหารซึ่งเป็น OS ที่ล้าหลังที่สุด”
ทำไมต้องประชาธิปไตย?
ในทางรัฐศาสตร์ เผด็จการ หรือประชาธิปไตย ไม่ได้เป็นอะไรมากไปกว่าระบอบการปกครองรูปแบบหนึ่งที่ต่างก็มีทั้งข้อดีและข้อเสียในตัวของมันเอง แต่ถ้าเลือกได้คุณอยากจะอยู่ในสังคมที่ปกครองด้วยระบอบไหน อย่าเพิ่งตอบคำถามนี้จนกว่าได้จะฟังแนวคิดของประจักษ์ที่มีต่อระบอบการปกครองทั้ง 2 แบบ “ผมไม่ได้มองว่าระบอบประชาธิปไตยเป็นสิ่งที่เลิศเลอ เผด็จการก็เช่นกัน สำหรับนักรัฐศาสตร์เวลาพูดถึงระบอบการปกครองจะถือว่าเป็นความหมายธรรมดาสามัญมากเลย แค่พูดถึงระบอบการเมืองต่างชนิดกัน เหมือนเป็น OS ทางการเมือง “ทีนี้ทำไมผมถึงเชื่อในระบอบประชาธิปไตยมากกว่า ก็เพราะอย่างน้อยมันผ่านการพิสูจน์ และทดลองใช้มาแล้วในที่ต่างๆ ทั่วโลก มันเป็น OS ที่มีศักยภาพในการปรับตัวได้มากกว่าระบอบเผด็จการ โดยเฉพาะระบอบเผด็จการแบบทหารซึ่งเป็น OS ที่ล้าหลังที่สุด”
คุณจะไปคาดหวังให้เขาเป็นในสิ่งที่ไม่ใช่ไม่ได้
ไม่ว่าคุณจะเอาทหารประเทศไหนก็ตามมาบริหารประเทศก็ต้องเจอแบบนี้แหละ
เพราะทหารส่วนใหญ่ถูกฝึกมาให้คิดถึงเรื่องความมั่นคงเป็นหลัก
นอกนั้นเป็นเรื่องรองหมด
ถึงแม้จะยอมรับว่าระบอบประชาธิปไตยอาจจะยังไม่ใช่ระบอบที่สมบูรณ์แบบที่สุดในปัจจุบัน
แต่ข้อดีของมันคือเป็นระบอบที่ยังอัพเดตให้ดีขึ้นได้ ต่างจากระบอบเผด็จการที่อาจเดินทางมาถึงทางตันจนไม่สามารถพัฒนาต่อไปได้
“คุณจะไปคาดหวังให้เขาเป็นในสิ่งที่ไม่ใช่ไม่ได้
ไม่ว่าคุณจะเอาทหารประเทศไหนก็ตามมาบริหารประเทศก็ต้องเจอแบบนี้แหละ
เพราะทหารส่วนใหญ่ถูกฝึกมาให้คิดถึงเรื่องความมั่นคงเป็นหลัก
นอกนั้นเป็นเรื่องรองหมด ดังนั้นทหารจึงมองทุกอย่างจากเลนส์ของความมั่นคง โปเกมอนโกก็เป็นภัยความมั่นคงได้
ถ้าคุณเป็นนักธุรกิจ โปเกมอนโกอาจเป็นโอกาสทางธุรกิจ ถ้าคุณเป็นวัยรุ่น
โปเกมอนโกคือการพักผ่อนหย่อนใจ แต่ถ้าคุณเป็นทหาร
คุณจะมองว่าโปเกมอนโกเป็นภัยความมั่นคงหรือเปล่า
เพราะโดยธรรมชาติเขาถูกฝึกมาปกป้อง คุ้มครองความปลอดภัยของพวกเรานี่แหละ”
“ฉะนั้นพอเราเอาเผด็จการทหารมาใช้ในฐานะระบอบการเมือง
นี่คือสิ่งที่คุณจะได้ คุณจะไปคาดหวังในสิ่งที่เขาไม่มีไม่ได้
ทั้งความโชติช่วงทางเศรษฐกิจ เทคโนโลยีสมัยใหม่ การปรับตัวให้เข้ากับโลกภาย นอก ในขณะที่ประชาธิปไตยมีความลื่นไหลยืดหยุ่นมากกว่า
แล้วก็มีตัวอย่างให้เห็นเป็นไม่รู้กี่สิบประเทศ
ระบอบเผด็จการสร้างแค่ความสงบ
แต่เป็นความสงบที่มีต้นทุนสูงมาก และเป็นต้นทุนที่ถูกทำให้มองไม่เห็น
เพราะมีการควบคุมข้อมูลข่าวสาร มีปัญหาเราก็พูดไม่ได้อย่างเต็มที่หรอก
มันถึงดูสงบสุขดี ต้นทุนก็เลยสะสมมากขึ้นเรื่อยๆ ในการอยู่แบบสงบอย่างนี้”
สุดท้ายถึงวันนี้เราจะเลือกไม่ได้ว่าจะอยู่ภายใต้ระบอบการปกครองรูปแบบไหน แต่สิ่งที่เราพอจะทำได้คือพยายามเรียนรู้จากสิ่งที่เป็นอยู่ให้ได้มากที่สุด เพื่อจะได้รู้เท่าทัน และช่วยกันเฝ้าระวังสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคตต่อไป เหมือนที่ประจักษ์ทิ้งท้ายไว้ว่า
สุดท้ายถึงวันนี้เราจะเลือกไม่ได้ว่าจะอยู่ภายใต้ระบอบการปกครองรูปแบบไหน แต่สิ่งที่เราพอจะทำได้คือพยายามเรียนรู้จากสิ่งที่เป็นอยู่ให้ได้มากที่สุด เพื่อจะได้รู้เท่าทัน และช่วยกันเฝ้าระวังสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคตต่อไป เหมือนที่ประจักษ์ทิ้งท้ายไว้ว่า
“วิกฤติในสังคมตอนนี้
ถ้าจะมีข้อดีอย่างหนึ่งที่ผมเห็นคือ อย่างน้อยสังคมไทยก็เรียนรู้แล้วว่าระบอบประชาธิปไตยมีความบกพร่องผิดพลาดได้
รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งอาจจะไม่ได้ดีเสมอไป เราจะได้รู้จักตรวจสอบนักการเมือง รัฐบาล หรือใครก็ตามที่ใช้อำนาจประชาชนผ่านการเลือกตั้งในนามของประชาธิปไตย “
แต่สิ่งที่ยังไม่เกิดก็คือ
สังคมไทยยังไม่ได้วิพากษ์ หรือรู้เท่าทันระบอบเผด็จการเท่าๆ
กับที่เราวิพากษ์ระบอบประชาธิปไตย พูดง่ายๆ
คือสังคมไทยเป็นหนึ่งในไม่กี่ประเทศที่ยังโลกสวยกับเผด็จการ เวลาพูดถึงรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง
เราจะตื่นตัวมาก อยากจะตรวจสอบ
“แต่พอเป็นระบอบเผด็จการ
เรากลับบอกว่า ให้เขาบริหารบ้านเมืองไปเถอะ เดี๋ยวทุกอย่างจะดีขึ้นเอง
ซึ่งจะว่าไปมันก็ประหลาดนะ”
FACT BOX:
1984: นวนิยายที่พูดถึงโลกซึ่งมีสงครามตลอดกาล
การสอดส่องดูแลของรัฐบาลทุกหนแห่ง และการชักใยสาธารณะทางการเมือง
ภายใต้การควบคุมของอภิชน ‘พรรคใน’ ที่มีอภิสิทธิ์ในการก่อกวนการคิดอย่างอิสระ
โดยมี ‘พี่เบิ้ม’ หรือ Big
Brother เป็นผู้นำพรรคกึ่งเทพ
ซึ่งได้ประโยชน์จากลัทธิบูชาบุคคลที่เข้มข้น แต่อาจไม่มีอยู่จริง ซึ่งพรรคใช้อ้างเหตุผลในการปกครองอย่างกดขี่
ประพันธ์โดย
จอร์จ ออร์เวลล์ (George Orwell) นักประพันธ์ชาวอังกฤษ
No comments:
Post a Comment