Wednesday, December 14, 2016

เรื่องที่น่าตื่นตระหนกห้าประการเกี่ยวกับสงครามกับจีนที่กำลังใกล้เข้ามา

 เรื่องที่น่าตื่นตระหนกห้าประการเกี่ยวกับสงครามกับจีนที่กำลังใกล้เข้ามา 
 จากภาพยนตร์สารคดี โดย จอห์น   พิลเกอร์  10 Dec, 2016  



จอห์น พิลเกอร์ นักหนังสือพิมพ์กล่าวว่า      ฐานทัพของอเมริกานับสิบๆแห่งที่ตั้งโอบล้อมจีนอยู่เป็นประหนึ่ง “บ่วงแร้วขนาดใหญ่” และประวัติศาสตร์ของการปรากฏตัวด้านอาวุธนิวเคลียร์ของอเมริกาในภูมิภาคแปซิฟิค,สงครามระหว่างมหาอำนาจทางการทหารที่ใหญ่ที่สุดกับประเทศที่มีเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับสองของโลก  ไม่ใช่เป็นเรื่องที่ไม่อาจคาดคิดอีกต่อไป

ในภาพยนต์สารคดีของเขาเรื่อง “สงครามที่จะมาถึงของจีน”  ที่ได้ออกอากาศทางช่อง อาร์ ที ด๊อคคิวเมนแทรี่ เมื่อปลายสัปดาห์นี้        นักข่าวและผู้สร้างภาพยนตร์สารคดีที่ได้รับรางวัลมากมายได้ยืนยันความตั้งใจของตนที่จะ “ทำลายความเงียบงัน” ลงไป     พิลเกอร์เริ่มต้นจากการสังเกตข้อเท็จจริงต่างๆทางประวัติศาสตร์ที่ละเลยการแสดงแสนยานุภาพของอเมริกาในย่านเอเซีย-แปซิฟิค

นักข่าวชาวออสเตรเลียกล่าวที่ฐานทัพของอังกฤษ  ในตะวันตกเห็นว่า..”การคุกคามของจีนได้กลายเป็นข่าวที่มีความสำคัญ...สื่อได้พากันประโคมโหมกระหน่ำกลองสงครามราวกับจะให้โลกเห็นและระมัดระวังจีนว่าเป็นศัตรูตัวใหม่ ”       สื่อหลักของโลกเช่น ซี เอ็น เอ็น ได้นำเสนอข่าวนี้แยกออกเป็นข่าวพิเศษในกรณีที่สหรัฐฯประกาศควบคุมเที่ยวบินต่างๆเหนือบริเวณหมู่เกาะที่เกิดกรณีพิพาทในทะเลจีนใต้  ภาพ
ยนต์ของพิลเกอร์ระบุว่า  “ฐานทัพของสหรัฐฯได้สร้างบ่วงแร้วขนาดยักษ์ในการปิดล้อมจีนด้วย ขีปนาวุธ..เครื่องบินทิ้งระเบิด  กองเรือรบ ในเส้นทางทั้งหมดตั้งแต่ออสเตรเลียตลอดทั้งแปซิฟิคไปยังเอเชียและไกลกว่านั้น”   เจมส์ แบรดเลย์ ในฐานะของผู้เผยแพร่ภาพยนต์ข่าวผู้หนึ่ง.. และเป็นผู้เขียนหนังสือเรื่อง  “จีน..ภาพลวงตา”   กล่าวว่า  “ถ้าคุณอยู่ในกรุงปักกิ่งและยืนอยู่บนตึกที่สูงที่สุดและมองไปยังมหาสมุทรแปซิฟิค...คุณจะเห็นเรือรบของสหรัฐฯ.คุณก็น่าจะเห็นเกาะกวมที่กำลังจะจมลงเพราะน้ำหนักของบรรดา ขีปนาวุธที่เล็งเป้าไปยังจีน”

ความลับของเกาะบิกินี
คือสถานที่ทดลองระเบิดนิวเคลียร์ของสหรัฐฯมานานหลายปี   เป็นชื่อที่ดังกระฉ่อนในเรื่องของความอื้อฉาว   เป็นเกาะปะการัง(Atoll)ที่ยืมชื่อมาจากการออกแบบชุดว่ายน้ำของสุภาพสตรี..เกาะปะการังนี้อยู่ในหมู่เกาะมาร์แชลที่เป็น”ยุทธศาสตร์ลับของอเมริกา”   ตั้งอยู่ในมหาสมุทรแปซิฟิคที่กว้างใหญ่ ระ  หว่างอเมริกาและเอเซีย  เป็นบันไดหินที่ดีเยี่ยมในการก้าวไปสู่เอเชียและจีน   ปี 1946 สหรัฐฯได้รับการมอบหมายให้ดูแลหมู่เกาะในแปซิฟิคเหล่านี้ภายใต้สนธิสัญญาของสหประชาชาติ แต่มันได้ถูกเปลี่ยนไปเป็น “ห้องทดลองของการทดสอบอาวุธนิวเคลียร์  ประชากรของที่นี่ก็ได้กลายเป็นหนูทดลอง”    ในภาพยนตร์กล่าวต่อไปว่า..รวมไปถึงผลการทดลองระเบิดนิวเคลียร์ที่ได้ทดสอบกับสัตว์ต่างๆด้วย

 
 ในขณะเดียวกันชุดว่ายน้ำบิกินีก็ได้ปรากฏขึ้นหลังจากการทดลองระเบิดไฮโดรเจนของสหรัฐฯที่เกาะปะการังบิกินี...แต่รูปร่างของชาวเกาะก็ไม่ได้โด่งดังอย่างผู้ที่สวมใส่    พวกเขากลับอาศัยอยู่ท่ามกลางสถานที่ๆมีกัมมันตภาพรังสีมากที่สุดในโลก   จากการทดลองในทะเล  อากาศ  บนแนวปะการัง และใต้น้ำ     ผลรวมของการทดลองระเบิดทั้งบนเกาะและรอบๆหมู่เกาะมาร์แชลนั้นมีปริมาณมากกว่าการทิ้งระเบิดที่ฮิโรชิมาถึง 7,200 เท่า    นั่นหมายความว่าเมื่อเทียบกันแล้วจะมากกว่า
การทิ้งระเบิดที่ฮิโรชิมาวันละหนึ่งลูกทุกๆวันนานถึง 12 ปี     พิลเกอร์กล่าวว่า จนถึงทุกวันนี้เกาะบิกินีก็ยังไม่เหมาะสำหรับมนุษย์ที่จะอยู่อาศัย

พื้นที่บริเวณรอบๆปล่องภูเขาไฟที่ใหญ่ที่สุดซึ่งมนุษย์ได้สร้างขึ้นจากการทดลองระเบิดไฮโดรเจนที่เรียกว่า “บราโว” คือแหล่งที่มีมลพิษเจือปนมากที่สุดบนโลกใบนี้   สารคดีได้อ้างคำพูดของเจ้าหน้าที่ สหรัฐฯที่เกี่ยวกับพลังงานนิวเคลียร์ว่า..”มันจะเป็นเรื่องน่าสนใจที่จะแสดงให้เห็นว่ามนุษย์สามารถจะอยู่อาศัยในสิ่งแวดล้อมที่มีการปนเปื้อนได้”...ในขณะที่ผู้ผลิตสารคดีนี้ได้สำรวจพบถึงภัยอันตรายว่าประชา  ชนที่อาศัยอยู่บนเกาะปะการังหลายคนเสียชีวิตจากโรคมะเร็ง  “สิ่งที่ชาวอเมริกันทำนั้นไม่ใช่อุบัติเหตุ  พวกเขามาที่นี่เพื่อทำลายแผ่นดินของเรา   พวกเขามาเพื่อทดสอบผลของการทดลองระเบิดนิวเคลียร์กับพวกเรา”   สตรีท้องถิ่นกล่าวกับคณะของเรา

การเหยียดเชื้อชาติในแปซิฟิค
การสร้าวฐานทัพของอเมริกันในภูมิภาคนี้..ชี้ชัดว่า  “เป็นเรื่องที่มีความสำคัญและเป็นความลับสุดยอด”เรื่องหนึ่งที่รู้จักกันในนาม แหล่งทดลองของ โรนัล เรแกน   นักข่าวพบว่าฐานยิงจรวดของสหรัฐฯขึ้นตรงต่อเขาในการ  “ควบคุมเส้นทางทั้งหมดในมหาสมุทรแปซิฟิคที่จะไปสู่เอเชียและจีน”  ด้วยอาวุธทั้งมวลในการทำลายล้างที่ “ออกแบบมาสำหรับสงครามที่กำลังจะมาถึง”    ฐานทัพทั้งหลายคือส่วน ”น่าสัง เกตุ” ของแผนควบคุมทางอากาศของสหรัฐฯที่รู้กันในนาม “วิสัยทัศน์ 2020” ที่ออกแบบไว้เมื่อทศวรรษ ที่ 1990    สามารถอธิบายอย่างเป็นทางการว่าครอบคลุมอย่าง “เต็มรูปแบบ” วอชิงตันได้ทุ่มเงินจำนวน มหาศาลไปกับความทะเยอทะยานทางการทหาร     ด้วยการซ้อมรบทางอากาศ..ทดลองยิงจรวดข้ามทวีปจากแคลิฟอร์เนียไปยังหมู่เกาะมาแชลส์ ที่มีระยะทางถึง 5000 ไมล์   ในขณะที่คนท้องถิ่นยังจมอยู่กับความยากจน

อเมริกันปฏิบัติต่อประชาชนผู้อาศัยอยู่อีกฟากหนึ่งของอ่าวที่ตรงกันข้ามกับฐานทัพของตนอย่างที่พิลเกอร์ให้คำนิยามว่า “การเหยียดเชื้อชาติแห่งแปซิฟิค”  และที่อาศัยของชาวพื้นเมืองว่า “แหล่งเสื่อมโทรมแห่งแปซิฟิค”  ชาวเกาะกว่า 12,000 คนล้วนแต่เป็นผู้อพยพจากที่อยู่เดิมของตน ซึ่งปัจจุบันนี้คือฐานยิงจรวดของสหรัฐฯ  และผู้คนบนเกาะที่มีมลพิษจากการทดลองนิวเคลียร์ซึ่งถูกนำมาทำงานอยู่ในสนามกอล์ฟสำหรับชาวอเมริกันในฐานทัพ    หลังจากทำงานหนักทั้งวันพวกเขาก็ลงเรือเฟอร์รี่กลับบ้านไปสู่ความยากจนเช่นเดิม

ประชาชนชาวเกาะต่อต้านอำนาจกองทัพที่ใหญ่ที่สุดในโลก
เกาะ โอกินาวา ของญี่ปุ่นได้กลายเป็น ”แนวหน้าของการส่งสัญญานสงครามกับจีน”  ในขณะที่การต่อ ต้านคัดค้านอย่างสันติของฝ่ายประชาชนในท้องถิ่นได้ท้าทายนโยบาย สร้างความเข้มแข็งในเอเซียของสหรัฐฯ     เอกสารได้เปิดเผยว่า  เมื่อปี 1962 อาวุธนิวเคลียร์ของสหรัฐฯเกือบจะถูกยิงจากเกาะ...เมื่อฐานทัพที่นี่ยืนยันว่าได้รับคำสั่งให้เตรียมพร้อมในการโจมตีจีน..แต่มีคำสั่งให้ยุติอย่างกระทันหัน   หนึ่งในผู้ปฏิบัติงานของอเมริกาซึ่งมีหน้าที่ในการยิงขีปนาวุธบอกกับ พิลเกอร์ว่า  จีนคือเป้าหมายทางนิวเคลียร์ของสหรัฐฯ ในระหว่างวิกฤติขีปนาวุธในคิวบา

“ เราไม่ต้องการความทุกข์ยากจากสงครามอีก”   หนึ่งในผู้นำการเคลื่อนไหวปะท้วงที่โอกินาวาบอกกับผู้สื่อข่าว     พร้อมกล่าวว่า “ภาระหน้าที่” ของเธอในฐานะผู้รอดชีวิตจากสงครามโลกครั้งที่สอง  เธออยากเห็นฐานทัพของอเมริกาออกไปจากเกาะของญี่ปุ่น    แต่เครื่องบินรบของอเมริกาก็ยังบินขึ้นลงอยู่ในโอกินาวา  “การคุกคามก็ยังมีอยู่เป็นประจำ”

บ่อยครั้งที่ครูไม่สามารถทำการสอนได้เนื่องมาจากเสียงที่ดังรบกวนหรือความหวาดกลัว...ย้อนหลังไป เมื่อปี 1959  เครื่องบินรบของอเมริกันตกที่โรงเรียนประถม มิยาโมริ และบ้านเรือนใกล้เคียงยังคงเจิดจ้าอยู่ในความทรงจำ   นักบินดีดตัวออกอย่างปลอดภัย  แต่เครื่องบินได้ทำให้ผู้คน 200 คนจมอยู่ในกองเลือด  ส่วนใหญ่เป็นเด็กนักเรียนที่เสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บในอุบัติเหตุครั้งนั้น

 
รวมถึงโศกนาฏกรรมจากอุบัติเหตุ 44 ครั้งจากเครื่องบินรบของอเมริกาในหมู่เกาะโอกินาวา     รวมถึงเรื่องความรุนแรงทางเพศที่กระทำต่อสตรีท้องถิ่นซึ่งได้รับการยืนยันว่าล้วนแล้วเกิดจากผู้ปฏิบัติงานชาวอเมริกันทั้งสิ้น     หนึ่งใน ”สถานีรบของสหรัฐฯ” ที่ขึ้นชื่อที่สุดตั้งอยู่บนเกาะเซจู ในเกาหลีใต้    ซึ่งก็มีการเคลื่อนไหวต่อต้านฐานทัพเรือของอเมริกาซึ่งเป็น ”ฐานทัพที่ยั่วยุที่สุดในโลก” ที่สร้างขึ้นบนพื้นที่เกาะที่ได้รับการสถาปนาขึ้นเป็นมรดกโลก..เป้าหมายของมันคือเซี่ยงไฮ้  ที่อยู่ห่างไม่เกิน 400 ไมล์  ซึ่งเป็นเสมือนเส้นชีวิตของจีนในการซื้อขายน้ำมันและพลังงานระดับโลก
.
ยังมีฐานลับอีกมากมายที่วอชิงตันได้สร้างขึ้นภายในพื้นที่ของประเทศอื่นเพื่อการปกปิดอำพรางฐานะของสหรัฐฯ     ซึ่งโดยทั่วไปสถานที่เหล่านั้นไม่ได้แสดงว่าเป็นฐานทัพ    หลายแห่งเป็นการอ้างว่าเพื่อ “ต่อต้านอิทธิพลทางเศรษฐกิจของจีน”  ในขณะที่ฐานทัพหลายแห่งจ่อหน้าประตูบ้านจีน มีฐานะเป็นตัว “ ยั่วยุ ”

เหมืองทองของยาเสพย์ติดและโรคหวาดระแวง
นโยบายต่อต้านจีนที่เป็น ”ต้นแบบของความรุนแรง” เริ่มตั้งแต่ศตวรรษที่ 19   และได้แพร่กระจายไปทั่วสหรัฐฯ   ในภาพยนตร์..เสนอว่านโยบายเช่นนี้ได้ปกปิดนัยที่แอบแฝงอยู่เบื้องลึก...คือฝิ่น   เบื้องหลังชนชั้นสูงของสหรัฐฯ... จีนคือ “เหมืองทองของยาเสพย์ติด”      วอร์เรน  เดลาโน ตาของแฟรงกลิน ดี.รูสเวลท์  ประธานาธิบดีคนที่ 32 ของสหรัฐฯคือเจ้าพ่อฝิ่นชาวอเมริกันในจีน   เจมส์ แบรดเลย์ นักเขียนกล่าวว่า  “ความรุ่งโรจน์ของมหาวิทยาลัยส่วนใหญ่ทางฝั่งตะวันออกของอเมริกาเช่นโคลัมเบีย  ฮาวาร์ด  เยลส์  ปรินซตัน  ล้วนแต่เกิดจากเงินของฝิ่น       การปฏิวัติอุตสาหกรรมของอเมริกาได้รับการอุดหนุนจากเงินกองทุนที่มาจากยาเสพย์ติดที่ผิดกฎหมาย(จาก)ตลาดที่ใหญ่ที่สุดในโลก..นั่นคือจีน”   สาเหตุจากอะไรนั้นเขาไม่ได้พูดถึงแต่เรียกมันว่า “การค้ากับจีน”

หลังศตวรรษที่ 20 เป็นต้นมา..แนวทางใหม่ในการนำเสนอจีนได้ถูกประดิษฐ์ขึ้น...  จากการปฏิวัติของเหมา  ได้จุดชนวนความหวาดวิตกขึ้นในวอชิงตัน   ริชาร์ด นิกสัน  ประกาศว่าจีนคือ “สาเหตุพื้นฐานของของความยุ่งยากทั้งหมดของเราในเอเซีย ”     ปี 1953  เอ็ดเวิร์ด เทลเลอร์  บิดาแห่งระเบิดไฮโดรเจนได้กล่าวไว้เป็นสิบๆปีถึงความจำเป็นในการป้องกันอำนาจตะวันออก    ภาพยนต์ได้นำเสนอคำพูดของเขา..”ในนามของความปลอดภัยของเรา..ผมเชื่อว่า..มีความจำเป็นที่จะต้องตระเตรียมการป้องกันการโจมตีของจีนต่อสหรัฐฯด้วยขีปนาวุธ”

พิลเกอร์กล่าวว่า..”จีน..คู่ปรับของอเมริกาและการต่อสู้กับระบอบทุนนิยม  เป็นสิ่งที่ไม่อาจอภัยให้ได้”เขาได้เปิดเผยสาส์นลับของ เหมา เจ๋อ ตุง ที่ส่งมายังวอชิงตันเมื่อห้าปีก่อนการปฏิวัติของพรรคคอม มิวนิสต์ ในปี 1949....มีใจความตอนหนึ่งว่า. ”(เรา)ต้องสร้างจีนให้เป็นประเทศอุตสาหกรรมอย่างเร่ง ด่วน  เรื่องนี้สามารถทำได้โดยวิสาหกิจแบบเสรี    ผลประโยชน์ของประชาชนจีนและประชาชนอเมริกันมีความสอดคล้องกันทั้งทางด้านเศรษฐกิจและการเมือง      อเมริกาไม่มีความจำเป็นต้องกลัวว่าเราจะร่วมมือกันไม่ได้     เราไม่อาจเสี่ยงในการก้าวก่ายอเมริกา  เราไม่อาจเสี่ยงต่อการมีความขัดแย้งใดๆ”    แต่ผู้นำจีนไม่ได้รับคำตอบใดๆ  และการยื่นมือมาได้ถูกปัดทิ้งไปอย่างสิ้นเชิง

อาวุธที่แยบยลที่สุดคือการให้ผลประโยชน์แก่ศัตรู
สารคดียังเสนอ...”ต้นแบบของเผด็จการคอมมิวนิสต์”  ที่กระจายไปทั่วโดยสหรัฐอเมริกาจากความเข้าใจที่ไม่ถูกต้องว่า “จีนเป็นเช่นนั้น”   อีริค ลี  นักบริหารวิสาหกิจและนักรัฐศาสตร์กล่าวว่า….ในอเมริกาคุณสามารถเปลี่ยนพรรคการเมืองได้แต่คุณไม่สามารถเปลี่ยนแปลงนโยบายได้  จีนเป็นประเทศที่ใช้เศรษฐกิจการตลาดที่ยืดหยุ่น แต่ไม่ใช่ประเทศทุนนิยม  เขากล่าวต่อไปว่า “ในประเทศจีน.ทุนไม่อาจอยู่เหนืออำนาจทางการเมือง       ดังนั้นมหาเศรษฐีทั้งหลายจึงไม่อาจควบคุมคณะกรรมการกรมการเมืองได้   เหมือนเช่นบรรดามหาเศรษฐีอเมริกันที่เป็นผู้สร้างนโยบายของชาติเสียเอง

ลีกล่าวว่า  รัฐบาลจีน “ไม่มีความพยายามที่จะชี้นำโลก  ไม่แม้แต่จะชี้นำเอเชีย-แปซิฟิค       ผมคิดว่าพวกเขาต้องการเพียงมิให้อเมริกาเข้ามาครอบงำภูมิภาคนี้      ดังนั้นพวกเขาจำต้องทำอย่างที่พวกเขาเชื่อ...ว่ามันเป็นสิ่งที่ถูกต้องอันเนื่องมาจากมันเป็นภาาระหน้าที่ทางประวัติศาสตร์ที่มีมาอย่างยาวนาน” และกล่าวต่อไปว่า.. ” จีน... โดยปกติแล้วค่อนข้างจะอ่อนน้อมเมื่อเปรียบกับศักยภาพของพวกเขา”
เมื่อพลังทางเศรษฐกิจของโลกเคลื่อนย้ายเข้าสู่เอเชียอย่างรวดเร็ว  ความรับผิดชอบของอเมริกาคือการเคลื่อนกำลังทางเรือเข้าสู่ภูมิภาคอย่างที่พิลเกอร์กล่าว...”การเสริมกำลังทางการทหารขนาดใหญ่เป็นที่รู้กันในวอชิงตันว่า เพื่อสร้างความมั่นคงแก่เอเซียนั้น..มีเป้าหมายอยู่ที่จีน” อย่างที่ประธานาธิบดี บารัค โอบามาได้กล่าวไว้ในปี 2011ว่า  การเข้าไปในเอเชีย- แปซิฟิค คือ “ภารกิจแรกๆที่มีความสำคัญ”



No comments:

Post a Comment