โธมัส มอร์(1478-1535)
เองเกลส์ได้กล่าวไว้ว่า อุตสาหกรรมสมัยใหม่เริ่มต้นในอังกฤษก่อน เพราะอังกฤษเป็นประเทศแรกที่มีการปฏิวัติอุตสาหกรรมในระหว่างปี
1778-1840 ซึ่งสืบเนื่องมาจากการประดิษฐ์เครื่องจักรพลังไอน้ำ เป็นขั้นตอนของการพัฒนาระบอบทุนนิยมให้ก้าวหน้ายิ่งขึ้นไปอีก
แต่เมื่อย้อนเวลาไปสู่ศตวรรษที่ 15 ได้มีนักคิดชาวอังกฤษชื่อ โทมัส มอร์ที่มีพื้นฐานมาจากตระกูลผู้ดีระดับสูง จบการศึกษาจากมหาวิทยาลัย อ๊อกซฟอร์ด
ได้รับเลือกเข้าไปนั่งในสภาขุนนางเมื่อมีอายุเพียง 26 ปี ในรัชสมัยพระเจ้า เฮนรี่ที่ 7
แต่ก็ถูกบีบให้ออกจากแวดวงการเมืองเพราะพระเจ้าเฮนรี่ ที่ 7
ไม่พอใจนโยบายของเขาที่เห็นใจคนยากจนซึ่งขัดกับนโยบายของพระองค์เสมอมา
ในยุคนั้นระบอบทุนนิยมในอังกฤษนับได้ว่ามีความก้าวหน้าที่สุด การผลิตสินค้าโดยเฉพาะผ้าขนสัตว์เป็นที่ต้องการของตลาดเป็นอย่างมากทำให้นายทุนเจ้าของกิจการสิ่งทอ(โรงหัตถกรรม)ได้กำไรมหาศาล ประกอบกับการล่าอาณานิคมเพื่อแสวงหาวัตถุดิบมาป้อนกิจการและการขยายตลาดเพื่อขายสินค้าของตน บรรดานายทุนเจ้าของกิจการส่วนมากได้แก่เจ้าที่ดินศักดินาซึ่งถือครองที่ดินที่ใช้ในการเกษตรกรรมเป็นจำนวนมากได้ยกเลิกการผลิตด้านเกษตรกรรมในระบอบศักดินาแบบเดิม
โดยเรียกคืนที่ดินจากเกษตรกรผู้เช่าเปลี่ยนมาเป็นทุ่งหญ้าเลี้ยงแกะเพื่อตัดขนป้อนโรงงานของพวกเขา ทำให้ชาวนาผู้เช่า ไพร่ติดที่ ดินนับล้านคนต้องสูญเสียที่ดินทำกิน ล้มละลาย
พากันอพยพเข้าเมืองเพื่อหางานทำ
แต่โรงงานต่างๆก็ไม่สามารถสนองแหล่งงานได้
ผู้ที่โชคดีได้งานทำจำเป็นต้องรักษางานของตนไว้อย่างสุดชีวิตแม้จะถูกกดขี่แรงงานอย่างหนักหน่วงก็ตาม
ต่อสภาพสังคมเช่นนี้กระทบกระเทือนความรู้สึกของโทมัส
มอร์ เป็นอย่างมาก ท่านเห็นว่าการปกครองแบบกษัตริย์เป็นใหญ่นั้นเป็นรากฐานของความยากจน
เพราะกษัตริย์และราชวงศ์ถือครองที่ดินกันเป็นจำนวนมาก เป็นเจ้าชีวิตของประชาชนทั้งปวงโดยไม่มีขอบเขตจำกัด มูลเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดความยากจนอีกประการหนึ่งก็คือในสังคมมีอภิสิทธิ์ชนมากเกินไป ตั้งแต่กษัตริย์ลงมาจนถึงพวกขุนนาง เจ้าที่ดิน
ทหาร ข้าราชการ คนพวกนี้ยังชีพอยู่ด้วยการอาศัยแรงงานของผู้อื่น นอกจากปัญหาต่างๆในสัง คมแล้ว ท่านยังได้มองเห็นว่าสังคมแบ่งออกเป็นชนชั้น ความคิดของท่านในการจะขจัดความเลวร้ายเหล่านี้ให้หมดสิ้นไป จำเป็นต้องชักจูงใจชนชั้นสูงและอภิสิทธิ์ชนทั้งหลายให้กลับใจมาทำนุบำรุงเอาใจใส่ดูแลประชาชนแทนการเอารัดเอาเปรียบและการกดขี่ ดังนั้นจึงได้เขียนหนังสือขึ้นมาเล่มหนึ่งเป็นภาษาลาตินชื่อว่า
“ยูโทเปีย”(Utopia)
ประหนึ่งว่าเป็นการเสนอแนวคิดของท่านต่อกษัตริย์และชนชั้น
สูงให้ปรับเปลี่ยนท่าทีของตนต่อพลเมืองเสียใหม่
ในหนังสือเล่มนี้ได้กล่าวถึงเกาะใหญ่แห่งหนึ่งซึ่งเรียกว่าประเทศ
ยูโทเปีย ซึ่งประกอบไปด้วยมหานคร 54 นคร มีกษัตริย์ที่ทรงภูมิปัญญาเป็นประมุข มีหลักการสำคัญๆได้แก่การยกเลิกกรรมสิทธิ์ส่วนบุคคล ทุกอย่างเป็นกรรมสิทธิ์ของส่วนรวม
เปลี่ยนแปลงความสัมพันธ์ทางการผลิตเสียใหม่โดยจัดการดำรงชีวิตเป็นหน่วยที่มีลักษณะครอบครัว แต่ละหน่วยจะประกอบด้วยชายหญิง 20 คู่
และมีทาสสองคน
ทาสในความหมายของท่านไม่ได้มีลักษณะชนชั้น
หากแต่มาจากผู้กระทำความผิดร้ายแรงถึงขั้นประหารชีวิต และให้ทำงานที่มีระดับต่ำกว่าสมาชิกของชุมชน
การผลิตด้านเกษตรกรรมเป็นหลัก
ซึ่งจะเป็นการผลิตร่วมกัน
แต่สมาชิกชุมชนที่มีความถนัดทางด้านอื่นๆเช่นช่างฝีมือแขนงต่างๆสามารถผลิตผลงานของตนออกมาได้ด้วย ผลิตผลทั้งหมดจะนำไปยังตลาดกลางใครต้องการสิ่งใดก็สามารถนำเอาไปได้
ทางด้านการปกครอง คณะผู้ปกครองของรัฐยูโทเปียมาจากการเลือกตั้งจากมหานครทั้ง
54 แห่ง
ทำหน้าที่บริหารควบคุมชีวิตทางเศรษฐกิจทั้งหมด, จัดสรรการผลิตและการบริโภคอย่างมีโครงการ ดังนั้นในสังคมของรัฐยูโทเปียจึงมีความเป็นประชาธิปไตย
ไม่มีวิกฤตเศรษฐกิจอันเนื่องมาจากไม่มีการผลิตที่ล้นเกิน ไม่มีการว่างงาน
ไม่มีความรุนแรง และไม่มีสงคราม
แนวคิดของท่านจะยังคงหวังพึ่งพากษัตริย์ ”ผู้ทรงทศพิธราชธรรม”อยู่ เป็นแนวคิดที่กำหนดจากชั้นบน ลงมา โดยยังมองไม่เห็นบทบาททางการเมืองของชนชั้นล่าง ดังนั้นความฝันอันบรรเจิดของท่านจึงไม่อาจบรรลุผลในการเปลี่ยนแปลงสังคม มันเป็นเพียงความใฝ่ฝันของนัก ”มนุษยธรรม” คนหนึ่งที่เห็นอกเห็นใจคนจนเท่านั้น อย่างไรก็ตามมันได้วางรากฐานความคิดที่ก้าวหน้าล้ำยุคของท่านไว้ให้คนรุ่นหลังได้สืบทอดความคิดและพยายามดัดแปลงมันมาตลอดเพื่อเปลี่ยนแปลงสังคมให้ดีขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการผลิตแบบรวมหมู่
การยกเลิกระบอบกรรมสิทธิ์เพื่อจะก้าวไปสู่สังคมที่ปราศจากชนชั้น ซึ่งเป็นหลักการสำคัญในการพัฒนาไปสู่ระบอบสังคมนิยมในอนาคต
ชาร์ล
ฟูริเยร์ (1772-1837).
เมื่อเกิดการปฏิวัติใหญ่ในฝรั่งเศสขึ้นในปี 1789
เป็นการปฏิวัติของชนชั้นนายทุนฝรั่งเศสที่โค่นล้มระบอบ ศักดินาลงไป
ตอนนั้น ชาร์ล ฟูริเยร์ มีอายุ 17 ปี
อันเนื่องมาจากระบบการผลิตแบบศักดินาเป็นอุปสรรคต่อการขยายตัวของระบบการผลิตแบบใหม่ของทุนนิยมที่กำลังเติบใหญ่ขึ้นในฝรั่งเศส เมื่อโค่นล้มระบอบศักดินาลงไปแล้ว ชนชั้นปฏิวัติทั้งหลายได้แตกออกเป็นหลายขั้วอย่างชัดเจนตามแนวความคิดและอุดมคติทางการเมืองของตน
มีการตั้งกลุ่ม(คลับ)กันขึ้นมามากมาย เช่นกลุ่มนิยมระบอบกษัตริย์ที่สมาชิกส่วนมากจะเป็นพวกขุนนาง กลุ่มนิยมสาธารณรัฐ กลุ่มนิยมรัฐธรรมนูญ ไปจนถึงกลุ่มที่มีความ คิดแบบเสรีนิยม กระทั่งค่อนไปทางสังคมนิยม(อุดมคติ) กลุ่มคนที่มีความคิดแตกต่างกันเหล่านี้ต่างช่วงชิงอำนาจกันจนกระทั่งกลายเป็นการเข่นฆ่าล้างผลาญกันขึ้นที่เรียกขานกันว่า
“ยุคแห่งความสยดสยอง” ฟูริเยร์ ได้ประณามการผลิตแบบทุนนิยมอย่างเผ็ดร้อน ถึงกับกล่าวว่าการผลิตแบบทุนนิยมของชนชั้นนายทุนที่เรียกว่าเป็น
“อารยะ” นั้นก็คือระบอบทาสที่เกิดขึ้นใหม่
อีกทั้งยังได้ประณามการปฏิวัติของชนชั้นนายทุนที่ชูคำขวัญ เสมอภาค เสรีภาพ
ภราดรภาพ นั้นไม่ได้เกิดขึ้นจริงแต่อย่างใด
ประชาชนยังถูกทอดทิ้งให้จมอยู่ในความทุกข์ยาก ไม่มีงานทำ
อดอยากหิวโหย ในขณะที่ชนชั้นสูงกลับใช้ชีวิตกันอย่างหรูหราสุขสบายบนความอิ่มหนำสำราญอย่างไม่ทุกข์ร้อน
ดังนั้นฟูริเยร์จึงไม่ยอมเชื่อถือต่อการปฏิวัติใดๆทั้งสิ้น และมีแนวคิดในการสร้างสังคมใหม่ขึ้นมาโดยไม่ต้องผ่านการปฏิวัติ โดยอาศัยการเกลี้ยกล่อมชนชั้นนำในสังคมให้เห็นคล้อยตามความคิดของตนในการสร้างนิคมการเกษตรขึ้นมาเพราะถือว่ามันคือปัจจัยในการดำรงชีพของมนุษย์ ส่วนโรงงานอุตสาห กรรมนั้นไม่ให้รวมศูนย์อยู่ในเมือง แต่ให้กระจายออกไปตามชนบทและในนิคมการเกษตร นิคมตามแนวคิดของฟูริเยร์นี้จะประกอบด้วยสมาชิกที่มีความสมัครใจจำนวน
1500 – 1600 คน ประกอบเป็นชุม ชน ทำการผลิตตามความโดยแบ่งออกเป็นกลุ่มๆ
เพราะฟูริเยร์มีความเชื่อว่าถ้าทำงานกันเป็นกลุ่มแล้วจะเกิดความรักสามัคคีขึ้นภายในกลุ่ม ส่วนการแบ่งปันผลผลิตนั้นจะจัดสรรให้แก่ผู้ทำการผลิต
5 ส่วน ผู้ลงทุน 4 ส่วนและนักปราชญ์หรือนักวิชาการ
3 ส่วน เมื่อแต่ละคนได้รับส่วนแบ่งตามกำลังความสามารถ
โดยทั่วกันแล้ว สังคมก็จะมีแต่ความสงบสุข
จะเห็นได้ว่าความคิดของฟูริเยร์นั้นยังมีความหวังอยู่กับความเมตตาของบรรดานายทุนหรือชนชั้นสูงอยู่โดยหวังให้พวกเขาอุทิศทรัพย์สินที่ได้มาจากการกดขี่ขูดรีดมาสร้างนิคมการเกษตร และหวังว่าจะสา มารถเปลี่ยนแปลงสังคมได้ด้วย ”สันติวิธี” เพราะมีความคิดเช่นนี้ท่านจึงคัดค้านการต่อสู้การเคลื่อนไหวปฏิวัติของมวลชนไม่ว่าในกรณีใดๆ สังคมในอุดมคติของฟูริเยร์นั้นไม่ได้กล่าวถึงรัฐ
จึงพอจะอนุมานได้ว่าปฏิเสธรัฐ แต่ในการแบ่งปันผลผลิตของท่าน(5
: 4 : 3) ได้แสดงออกอย่างชัดเจนถึงลักษณะของสังคมที่มีชนชั้น จะมีก็แต่สังคมที่ปราศจากชนชั้นเท่านั้นที่รัฐไม่มีความจำเป็นใดๆในการดำรงอยู่เพราะการต่อสู้ทางชนชั้นนั้นไม่มีอยู่แล้ว
คุณูปการอันยิ่งใหญ่ของฟูริเยร์ก็คือ ท่านได้เปิดโปงธาตุแท้ของระบอบทุนนิยมที่กำลังพัฒนาในสมัยของท่าน
โดยชี้ให้เห็นว่าสังคมทุนนิยมคือสังคมแห่งการปล้นชิงที่มีความเหี้ยมโหดไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าสังคม ศักดินา
และแสดงให้เห็นว่ารัฐของชนชั้นนายทุนไม่ว่าจะเรียกว่าสาธารณรัฐหรืออะไรก็ตามนั้น มันไม่ได้
เป็นรัฐของสาธารณชนหรือชนทั่วไปอย่างแท้จริง
หากแต่เป็นเพียงเครื่องมือในการกดขี่ชนชั้นอื่นเท่านั้น
โรเบิร์ต โอเวน (1771 – 1858)
เกิดในครอบครัวที่ยากจน เมื่ออายุ 10 ขวบต้องออกจากบ้านไปแสวงโชคที่กรุงลอนดอนโดยไปสมัครเป็นเด็กฝึกงานในโรงงานแห่งหนึ่ง เมื่ออายุ 19 ปี
ได้ขยับฐานะขึ้นไปเป็นผู้จัดการโรงงานทอผ้าที่ใหญ่ที่สุดในเมืองแมนเชสเตอร์ หลังจากนั้นสองสามปีก็ได้ลาออกจากตำ
แหน่ง ในเวลาต่อมาได้แต่งงานกับบุตรีเจ้าของโรงงานทอผ้าใหญ่ในเมืองกลาสโกลว์,สกอตแลนด์และต่อมาก็ได้ซื้อกิจการทั้งหมดจากพ่อตามาดำเนินการเอง
จากความเชื่อที่ว่าบุคลิกภาพของคน..ด้านหนึ่งมาจากองคาพยพทางธรรมชาติ
อีกด้านหนึ่งเกิดจากสภาวะแวดล้อมโดยเฉพาะอย่างยิ่งในระยะที่กำลังเจริญวัย แนวคิดเช่นนี้อาจจะสรุปมาจากบทเรียนและประสบการณ์จริงในชีวิตของตน โอเว่นได้ปรับปรุงชีวิตความเป็นอยู่ของกรรมกรในโรงงานให้ดีขึ้นโดยไม่เคยมีใครทำมาก่อน ด้วยการลดเวลาทำงานให้น้อยลงกว่ากรรมกรในที่อื่นๆลง
3 ถึง4 ชั่วโมง ให้สวัสดิการที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิต สร้างโรงเรียนเพื่อให้การศึกษาแก่กรรมกร ผลลัพธ์ก็คือทำให้กิจการของเขาได้กำไรอย่างงามมากกว่าที่อื่นๆ
เขาได้เปรียบเทียบกำไรจากผลผลิตจากแรงงานของกรรมกร
2500 คนของเขาที่สามารถทำผลงานได้เท่ากับกรรมกรถึง 600,000 คนเมื่อห้าสิบปีก่อน
และเมื่อหักค่าใช้จ่ายแล้ว ส่วนต่างของกำไรจากผล
ผลิตทั้งหมดนั้นมันหายไปไหน? ....แน่นอนมันหายไปเป็นเงินปันผล 5
เปอร์เซ็นต์ให้แก่ผู้ถือหุ้น
และยังจ่ายให้เขาอีกถึง 3000,000 ปอนด์ จากแง่คิดนี้เขาเห็นว่า
พลังการผลิตขนาดมหึมานี้ควรจะใช้เป็นรากฐานในการจัดสรรผลตอบแทนเพื่อสังคม มันควรเป็นสาธารณะสมบัติ
เพื่ออำนวยผลประโยชน์ให้แก่ประชาชนมากกว่าปัจเจกชน
เขาได้ชี้ให้เห็นว่า..นับตั้งแต่ได้มีการนำเครื่องจักรเข้ามาใช้ในการผลิต การปฏิบัติต่อมนุษย์เป็นเสมือนหนึ่งปฏิบัติต่อเครื่องจักรที่ล้าสมัย
นายทุนสนใจแต่จะปรับปรุงคุณภาพของสินค้ามากกว่าที่จะมาสนใจส่งเสริมพัฒนาสุขภาพร่างกายและสติปัญญาของกรรมกร เมื่อขาดการพัฒนาทางปัญญาจึงเป็นมูลเหตุให้กรรมกร(อังกฤษ)ต้องประพฤติตนออกนอกลู่นอกทาง หยาบคาย ก้าวร้าว และติดสุรา ในทัศนะของ
เขาเห็นว่าในโลกนี้มีสิ่งเลวร้ายอยู่ 3 สิ่งคือ
1.ทรัพย์สินของเอกชนเป็นบ่อเกิดของปัญหาที่เลวร้ายทั้งปวง ไม่ว่าจะเป็นการกดขี่ เอารัดเอาเปรียบ
การปล้นชิงทรัพยากร ความอดอยากยากจน
2.การแต่งงานที่ตั้งอยู่บนทรัพย์สินของเอกชน
เช่นการแต่งงานเพื่อประสานผลประโยชน์ไม่ว่าจะเป็นผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจหรือทางการเมือง การคลุมถุงชนฯลฯ เขาเรียกการแต่งงานเช่นนี้ว่าเป็นรูปแบบของการค้าประเวณีที่ถูกกฎหมาย
3.การสมรสควรเป็นการใช้ชีวิตร่วมกันตามธรรมชาติของหญิงชาย
บนพื้นฐานของความรักและความเสมอภาคทางเพศ
ส่วนแนวคิดในการดัดแปลงสังคมของโอเวนคือการสร้างชุมชนสหกรณ์ขึ้นมา ซึ่งท่านถือว่าเป็นรากฐานของสังคม โดยมีการผลิตที่ใช้แรงงานร่วมกัน เป็นผลิตผลที่เป็นไปตามความต้องการในชีวิตประจำวัน และไม่เห็นด้วยกับระบบการแบ่งปันโดยมีพ่อค้าเป็นคนกลาง เพราะเห็นว่าพ่อค้าคนกลางมิได้มีส่วนในการสร้างมูลค่า
มีแต่จะเพิ่มราคาสินค้าโดยบวกค่าใช้จ่ายของตนเข้าไปด้วย สหกรณ์ชนิดนี้โอเว่นเรียกมันว่า ”นิคม” (community)
แต่โอเว่นก็ยังฝากความหวังไว้กับนายทุนทั้งหลายโดยตัวเขาเองได้ลงมือสร้างนิคมขึ้นตามแบบฉบับของเขาเป็นการแสดงรูปธรรมให้ประจักษ์ เพื่อจูงใจนายทุนให้สนับสนุนแนว
คิดและรูปแบบในการปรับปรุงสังคมของเขาผู้ที่จะดำเนินการได้แก่รัฐบาล
และสุดท้ายเมื่อนิคมเกษตรขยายตัวออกไปทั่วประเทศก็จะสามารถรวมตัวกันเป็นสันนิบาตนิคม ในขั้นตอนนี้ก็ไม่จำเป็นจะต้องมีรัฐอีกต่อไป โอเว่นเพ้อฝันว่าชนชั้นปกครอง”ผู้ทรงคุณธรรม”จะเห็นด้วยกับแนวคิดของเขา แต่แล้วต้องพบกับความผิดหวังอย่างสิ้นเชิง
เพราะอำนาจรัฐที่อยู่ในกำมือของชนชั้นนายทุนก็ย่อมจะคุ้มครองผลประโยชน์ของชนชั้นนายทุนอยู่นั่นเอง
ในความคิดเกี่ยวกับการเมือง โอเว่นคัดค้านการเคลื่อนไหวทางการเมืองโดยเห็นว่าความสุขของประชา
ชนนั้นขึ้นอยู่กับระบอบสังคมไม่ใช่การเมือง เพราะถ้ามุ่งจะปรับปรุงแต่ระบอบการเมืองก็ไม่ทำให้เกิดประสิทธิภาพอะไรขึ้นมา
อีกทั้งไม่อาจดำเนินการปฏิรูปใดๆได้อย่างสมเหตุผล
เขาย้ำว่าการจัดตั้งนิคมไม่จำเป็นจะต้องได้มาซึ่งสิทธิในทางการเมืองใดๆ(การเลือกตั้งและสมัครรับเลือกตั้ง
และการได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งในทางการเมือง) อีกทั้งไม่สนับสนุนการหยุดงานของกรรมกร แม้เขาจะเห็นว่าการนัดหยุดงานเป็นเครื่องมือสำคัญที่ทรงประสิทธิภาพอย่างแท้จริงของสหบาลกรรมกรก็จริง แต่ในทางกลับกันก็จะเกิดผลร้ายหรือภัยพิบัติแก่กรรมกรได้ การนัดหยุดงานไม่สามารถนำไปสู่การปฏิรูปได้
และ บรรดานายทุนจะหันมาใช้เครื่องจักรมากขึ้นและจ้างงานน้อยลง
เพราะความเข้าใจเช่นนี้ทำให้โอเว่นปฏิเสธทั้งการต่อสู้ทางเศรษฐกิจและการเมือง แต่จะแก้ปัญหาสังคมด้วย”นิคมการเกษตร”
เพื่อรองรับกรรมกรที่ไม่มีงานทำโดยการเรียกร้องนักการเมืองในสภาให้ช่วยเหลือผลักดันในการตั้งนิคม
เราจะเห็นว่าแนวทางสังคมนิยมอุดมคตินั้นไม่สามารถบรรลุการเปลี่ยนแปลงสังคมได้เลย เพราะมองข้ามพลังการต่อสู้ของประชาชน โดยส่วนใหญ่แล้วจะเป็นการหวังพึ่งหรือวิงวอนร้องขออย่าง”สันติ”ต่อผู้มีอำนาจให้มีความเมตตาซึ่งเป็นแนวทางปฏิรูป มีลักษณะยอมจำนน เป็นแนวคิดที่มีลักษณะด้านเดียว เพราะพวกท่านเป็นนักมนุษยธรรม แม้จะมองเห็นความเลวร้ายในการกดขี่เอารัดเอาเปรียบของระบอบทุนนิยม แต่ไม่เข้าใจถึงผลประโยชน์ทางชนชั้นที่ไม่สามารถประนีประนอมกันได้
แนวทางสังคมนิยมของท่านเกิดขึ้นจากอุดมคติส่วนตัว มีลักษณะที่อยากจะให้เป็นไปตามความต้องการของตนเอง
ไม่สอดคล้องกับสภาพที่แท้จริงทางภววิสัย
จึงไม่สามารถประสบความสำเร็จในการเปลี่ยนแปลงสังคมโดยรากฐานได้
ดังนั้นนักคิดรุ่นต่อๆมาจึงขนานนามแนวทางเช่นนี้ว่า
สังคมนิยมเพ้อฝันหรือสังคมนิยม ยูโธเปีย ของโธมัส มอร์ ในปัจจุบัน...แนวคิดเช่นนี้ก็ยังดำรงอยู่ตามลักษณะชนชั้นในสังคม
ต่อมามาร์กซและเองเกลส์ได้ใช้ปรัชญาวัตถุนิยมวิภาษของท่านไปค้นคว้าวิเคราะห์สังคม พบว่ากลุ่มคนในสังคมมีความขัดแย้งกันในด้านการผลิต
การแบ่งปันผลผลิต อันสืบเนื่องมาจากการเป็นเจ้าของหรือการยึดครองปัจจัยการผลิตของกลุ่มชนที่มีฐานะเหนือกว่าในสังคม ซึ่งท่านเรียกว่าความขัดแย้งทางชนชั้น ดังนั้นหากจะทำการเปลี่ยนแปลงสังคมให้ดีขึ้นมีเพียงหนทางเดียวเท่านั้นคือชนชั้นผู้ถูกกดขี่จะต้องร่วมมือกันลุกขึ้นมาต่อสู้และโค่นล้มผู้กดขี่ลงไปแล้วสร้างสังคมใหม่ของชนชั้นตนขึ้นมาแทน ที่ท่านเสนอเช่นนี้ไม่ใช่เพราะว่าท่านสนับสนุนความรุนแรง หากแต่ชนชั้นผู้กดขี่ไม่ว่าที่ใดๆจะไม่มีวันยอมสูญเสียผลประโยชน์ของตนด้วยการประนีประนอม หรือยินยอมทำตามคำร้องขอของผู้ถูกกดขี่อย่างเด็ดขาด ไม่เพียงแต่ไม่ยินยอมยกเลิกความมีอภิสิทธิ์และการกดขี่ขูดรีดของตนเท่านั้น
ยังสร้างเครื่องมือ กลไกอำนาจในการกดขี่ขึ้นมาคุ้มครองชนชั้นตนเองและควบคุมปราบปรามชนชั้นอื่นที่ไม่เห็นด้วยกับชนชั้นตนอีกด้วย
เช่นอำนาจรัฐ กองกำ ลังติดอาวุธ กฎหมาย
ฯลฯ แม้แต่ในยามสงบสันติ เมื่อประชาชนผู้ถูกกดขี่ลุกขึ้นมาเรียกร้องด้วย”สันติวิธี”
ก็ยังมีความรุนแรงแฝงอยู่ในนั้น
อย่างที่ประชาชนไทยเคยได้ผ่านบทเรียนเช่นนี้มาแล้ว
สังคมนิยมของมาร์กซ มีความเป็นวิทยาศาสตร์และเรียบง่าย
ไม่ได้เกิดขึ้นมาจากความคิดเพ้อฝันใดๆทั้งสิ้น หากแต่เกิดขึ้นจากความเป็นจริงในสังคม สามารถปฏิบัติและจับต้องได้ มีความแตกต่างจากสังคมนิยมอุดมคติที่อุดมไปด้วยลักษณะนามธรรม ซึ่งเกิดจากความเพ้อฝันและไม่มีวันจะเกิดขึ้นได้จริง เนื่องจากสังคมนิยมอุดมคติ มองไม่เห็นพลังของประชาชน และไม่มีความเป็นวิทยาศาสตร์ แม้จะมองเห็นความขัดแย้งในผลประโยชน์ทางชนชั้น แต่ก็ปฏิเสธการต่อสู้ทางชนชั้นซึ่งถือได้ว่าเป็นสาเหตุในการเปลี่ยนแปลงสังคม ทั้งยังหวังพึ่งชนชั้นที่ได้เปรียบที่จะหยิบยื่นความเมตตามาให้ จึงไม่มีศักยภาพเพียงพอต่อภาระหน้าที่ทางประวัติศาสตร์ในการเปลี่ยนแปลงสังคม...และนำพาประชาชนให้หลุดพ้นจากแอกของการกดขี่ได้