Tuesday, March 24, 2015

รัฐสวัสดิการเป็นอย่างไร?

รัฐสวัสดิการ  มีรากฐานจากแนวคิดแบบสังคมนิยม ที่ค่อย ๆ ปรับให้คนมีความเท่าเทียมกันด้วยการเพิ่มพลังการผลิต ทำให้สินค้ามีมากพอสนองความต้องการของสังคม แต่ความมั่งคั่งร่ำรวย (ที่เกิดจากมูลค่าส่วนเกิน) ไม่ได้เป็นของกลุ่มทุนใหญ่อย่างในระบอบทุนนิยม เพราะผ่านการปฏิวัติสังคม เปลี่ยนแปลงโครงสร้างความสัมพันธ์ทางการผลิตไปแล้ว  กลุ่มทุนใหญ่จึงมิได้เป็นเจ้าของวิสาหกิจขนาดใหญ่ที่มีกำไรมหาศาล    แต่รัฐจะเป็นเจ้าของเสียเอง    ดังนั้นความมั่งคั่งร่ำรวยจึงไปรวมอยู่ที่รัฐ    รัฐจะร่ำรวยขึ้น ๆ  จึงสามารถจัดสรรความมั่งคั่งเหล่านี้กลับมาเป็นสวัสดิการจำนวนมากให้กับประชาชนจนเรียกกันติดปากว่า รัฐสวัสดิการได้

ทั้งนี้ แนวคิดแบบสังคมนิยมเห็นว่า การกดขี่ขูดรีดอย่างหนักของระบอบทุนนิยม จะเป็นสาเหตุสำคัญที่จะทำให้ระบอบทุนนิยมล่มสลาย เพราะชนชั้นกรรมกรผู้ใช้แรงงานซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่ของสังคมจะทนไม่ไหว ต้องลุกขึ้นสู้ ออกมาต่อต้าน หยุดงาน  เดินขบวน  ดังนั้นเพื่อหลีกเลี่ยงไม่ต้องเผชิญหน้ากับปัญหายุ่งยากใหญ่โตเหล่านี้อย่างที่ประเทศทุนนิยมรุ่นพี่ในยุโรปตะวันตกเช่น  เยอรมัน  ฝรั่งเศส อังกฤษ หรือแม้แต่สหรัฐอเมริกาในอีกทวีปหนึ่งเคยปวดหัวมาก่อน แนวคิดรัฐสวัสดิการจึงเกิดขึ้นเพื่อกำจัดจุดอ่อน    ป้องกันมิให้ชนชั้นกรรมกรผู้ใช้แรงงานลุกขึ้นมาต่อต้าน ทำให้ชนชั้นล่างรู้สึกว่าตนมีหลักประกันในสังคม ทั้ง ๆ ที่เงินที่เอามาจ่ายเป็นสวัสดิการสังคมก็เก็บมาจากเงินภาษีของชนชั้นผู้ใช้แรงงานเป็นส่วนใหญ่     

แต่วิธีการแบบนี้พวกกลุ่มทุนใหญ่หรือชนชั้นนายทุนยอมรับได้เนื่องจากยังสามารถขูดรีดมูลค่าส่วนส่วนเกินมหาศาลได้ต่อไป     ต่างกับในระบอบสังคมนิยมที่ส่วนใหญ่ของมูลค่าส่วนเกิน (ที่อยู่ในรูปของความมั่งคั่งต่าง ๆ ) นี้ได้ตกไปเป็นของรัฐ    จึงเห็นได้ว่ารัฐบาลในประเทศทุนนิยมที่ลอกเลียนระบบรัฐสวัสดิการของแนวคิดแบบสังคมนิยมไปใช้ จึงจนลงๆ ถังแตกหน้าซีดลงทุกวัน ไม่ว่าประเทศแถบสแกนดิเนเวีย ยุโรปตะวันตก ญี่ปุ่น หรือแม้แต่สหรัฐอเมริกา    สาเหตุสำคัญก็เพราะยังปล่อยให้ชนชั้นนายทุนกอบโกยขูดรีดมูลค่าส่วนเกินนี้ไปสะสมเป็นความมั่งคั่งส่วนตัวซึ่งมีมูลค่ามหาศาล   ดูได้จากรายชื่อมหาเศรษฐีอันดับต้นๆ    จะ เป็นนายทุนใหญ่จากประเทศทุนนิยมเหล่านี้เกือบทั้งหมด     

สาเหตุสำคัญที่รัฐในประเทศที่นำระบบสวัสดิการสังคมมาใช้อย่างเต็มที่ต้องยากจนถังแตกก็เพราะว่า กลุ่มทุนใหญ่โยกย้ายเงินทุนไปลงทุนในประเทศอื่นที่ไม่มีรัฐสวัสดิการหรือมีน้อย   เนื่องจากเสียภาษีน้อยกว่ามาก  กำไรจึงงดงามกว่า   เงินกำไรที่ได้ก็ไม่เอากลับประเทศ  จะได้ไม่ต้องเสียภาษี แต่เอาไปลงทุนต่อในประเทศที่ส่งเสริมการลงทุนมาก ๆ (ไทยไม่ต้องเสียภาษี 8 ปี อีก 5 ปีหลังจากนั้นเสียแค่ครึ่งเดียว ประเทศอื่น ๆ มีเงื่อนไขล่อใจมากกว่านี้อีก)  ทำให้การลงทุนจ้างงานในประเทศทุนนิยมที่มีรัฐสวัสดิการสูงลดน้อยลง คนว่างงานมหาศาล บางประเทศอย่างสเปนว่างงานถึง 25 % คนที่เดินสวนกับเราทุก ๆ 4 คนจะว่างงาน 1 คน ในสหรัฐอเมริกาก็ว่างงาน 8-9 % ซึ่งมากกว่าไทย 20 เท่า ของไทยราว 0.4 %

เมื่อนายทุนใหญ่ ๆ ต่างก็พากันหันไปลงทุนต่างประเทศ รัฐก็เก็บภาษี (แบบโหด ๆ 40 กว่า %) ได้น้อย  แถมคนว่างงานเพราะไม่มีการลงทุนเปิดโรงงานใหม่ ๆ หรือการค้า การบริการต่าง ๆ ที่ต้องใช้แรงงานมาก ๆ เพิ่ม (ค่าแรงก็แพงจัด มากกว่าไทย 10 เท่าหรือกว่านั้น) รัฐก็ต้องจ่ายสวัสดิการคนว่างงาน แถมเก็บภาษีรายได้จากคนว่างงานไม่ได้อีก อย่างนี้จะไม่ให้รัฐบาลเหล่านี้ยากจนหน้าซีดได้อย่างไร


ในภาษากำลังภายในเขาบอกว่า มันลอกเลียนได้แต่กระบวนท่าแต่ไม่รู้เคล็ดวิชา  เพราะเคล็ดวิชานี้มันต้องปฏิวัติเปลี่ยนแปลงความสัมพันธ์ทางการผลิตเสียก่อน ซึ่งชนชั้นนายทุนไม่ยอมแน่  อย่างไรก็ตาม ชนชั้นนายทุนก็ใช้กลยุทธ์นี้ยืดอายุระบอบทุนนิยมออกไปได้หลายสิบปี  แถมยังตบตาพวกนักสังคมนิยมไร้เดียงสาให้โหยหาแต่รัฐสวัสดิการเสียเองอีก  แทนที่จะเรียกร้องให้คว่ำระบอบทุน !

กล่าวสำหรับประเทศไทย ปัญหานี้อาจจะไม่ใช่ปัญหาเฉพาะหน้า เพราะตราบใดที่ ทุนผูกขาดศักดินาเหนือรัฐ ยังควบคุมได้ทุกอย่าง เราต้องผ่านด่านสำคัญนี้ไปก่อน  เพื่อจัดการมิให้ ทุนผูกขาดศักดินาเหนือรัฐ   ขัดขวางพลังการผลิต   กดขี่ขูดรีด   กอบโกยความมั่งคั่งไว้จนร่ำรวยมหาศาล  ไม่เช่นนั้นการพูดถึงรัฐสวัสดิการไปก็ไม่มีความหมาย

ที่สำคัญเมื่อต่อสู้เปลี่ยนแปลงสังคมจนประชาชนได้อำนาจรัฐ มีอำนาจอธิปไตยอย่างแท้จริงแล้ว ยังต้องส่งเสริมให้ระบอบเศรษฐกิจแบบทุนนิยมเจริญก้าวหน้าไปอีกระยะยาวช่วงหนึ่ง   จนกระทั่งความ สัมพันธ์ทางการผลิต (ใครมีกรรมสิทธิ์ในปัจจัยการผลิตต่าง ๆ ใครเป็นเจ้าของมูลค่าส่วนเกิน ใครเป็นผู้กำหนดการแบ่งปันมูลค่าส่วนเกิน) มันเริ่มสร้างปัญหา  ขัดขวางพลังการผลิตของสังคม ก็จึงค่อย ๆ ดำเนินการต่อไป   แต่เมื่อถึงตอนนั้นอำนาจรัฐอยู่ในมือของประชาชนแล้ว        วิธีการจัดการเปลี่ยน แปลงความสัมพันธ์ทางการผลิตก็จะแตกต่างกับปัจจุบัน

สวัสดิการสังคม จึงเป็นหลักประกันที่สำคัญอย่างหนึ่งของสังคมตามแนวคิดแบบสังคมนิยม  ประชา ชนจะต้องได้รับหลักประกันนี้อย่างทั่วถึง มีคุณภาพ  เสมอภาค  และเท่าเทียมกัน แต่รัฐสวัสดิการจะเกิดขึ้นได้อย่างแท้จริงและยั่งยืนนั้น ประชาชนต้องได้อำนาจรัฐมาก่อน  หากยังมองไม่ทะลุปัญหานี้ รัฐสวัสดิการก็แค่ถูกใช้เป็นเครื่องมือยืดอายุของระบอบทุน หรือไม่ก็เป็นแค่ความเพ้อฝันลม ๆ แล้ง ๆ
สำหรับสังคมไทย อย่าว่าแต่ยึดอำนาจรัฐให้เป็นของประชาชนเลย แค่ประชานิยมยังกลายเป็นผู้ร้ายต้องจับเข้าคุกเข้าตาราง....  หรือว่าท่านผู้อ่านเห็นเป็นเช่นใด

Tuesday, March 17, 2015

สังคมนิยมอุดมคติ และสังคมนิยมวิทยาศาสตร์

โธมัส มอร์(1478-1535)
เองเกลส์ได้กล่าวไว้ว่า  อุตสาหกรรมสมัยใหม่เริ่มต้นในอังกฤษก่อน  เพราะอังกฤษเป็นประเทศแรกที่มีการปฏิวัติอุตสาหกรรมในระหว่างปี 1778-1840  ซึ่งสืบเนื่องมาจากการประดิษฐ์เครื่องจักรพลังไอน้ำ   เป็นขั้นตอนของการพัฒนาระบอบทุนนิยมให้ก้าวหน้ายิ่งขึ้นไปอีก แต่เมื่อย้อนเวลาไปสู่ศตวรรษที่ 15 ได้มีนักคิดชาวอังกฤษชื่อ โทมัส มอร์ที่มีพื้นฐานมาจากตระกูลผู้ดีระดับสูง   จบการศึกษาจากมหาวิทยาลัย อ๊อกซฟอร์ด  ได้รับเลือกเข้าไปนั่งในสภาขุนนางเมื่อมีอายุเพียง 26 ปี  ในรัชสมัยพระเจ้า เฮนรี่ที่ 7   แต่ก็ถูกบีบให้ออกจากแวดวงการเมืองเพราะพระเจ้าเฮนรี่ ที่ 7 ไม่พอใจนโยบายของเขาที่เห็นใจคนยากจนซึ่งขัดกับนโยบายของพระองค์เสมอมา

ในยุคนั้นระบอบทุนนิยมในอังกฤษนับได้ว่ามีความก้าวหน้าที่สุด    การผลิตสินค้าโดยเฉพาะผ้าขนสัตว์เป็นที่ต้องการของตลาดเป็นอย่างมากทำให้นายทุนเจ้าของกิจการสิ่งทอ(โรงหัตถกรรม)ได้กำไรมหาศาล   ประกอบกับการล่าอาณานิคมเพื่อแสวงหาวัตถุดิบมาป้อนกิจการและการขยายตลาดเพื่อขายสินค้าของตน     บรรดานายทุนเจ้าของกิจการส่วนมากได้แก่เจ้าที่ดินศักดินาซึ่งถือครองที่ดินที่ใช้ในการเกษตรกรรมเป็นจำนวนมากได้ยกเลิกการผลิตด้านเกษตรกรรมในระบอบศักดินาแบบเดิม   โดยเรียกคืนที่ดินจากเกษตรกรผู้เช่าเปลี่ยนมาเป็นทุ่งหญ้าเลี้ยงแกะเพื่อตัดขนป้อนโรงงานของพวกเขา  ทำให้ชาวนาผู้เช่า  ไพร่ติดที่ ดินนับล้านคนต้องสูญเสียที่ดินทำกิน  ล้มละลาย  พากันอพยพเข้าเมืองเพื่อหางานทำ   แต่โรงงานต่างๆก็ไม่สามารถสนองแหล่งงานได้  ผู้ที่โชคดีได้งานทำจำเป็นต้องรักษางานของตนไว้อย่างสุดชีวิตแม้จะถูกกดขี่แรงงานอย่างหนักหน่วงก็ตาม

ต่อสภาพสังคมเช่นนี้กระทบกระเทือนความรู้สึกของโทมัส มอร์ เป็นอย่างมาก ท่านเห็นว่าการปกครองแบบกษัตริย์เป็นใหญ่นั้นเป็นรากฐานของความยากจน    เพราะกษัตริย์และราชวงศ์ถือครองที่ดินกันเป็นจำนวนมาก   เป็นเจ้าชีวิตของประชาชนทั้งปวงโดยไม่มีขอบเขตจำกัด   มูลเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดความยากจนอีกประการหนึ่งก็คือในสังคมมีอภิสิทธิ์ชนมากเกินไป  ตั้งแต่กษัตริย์ลงมาจนถึงพวกขุนนาง เจ้าที่ดิน ทหาร ข้าราชการ คนพวกนี้ยังชีพอยู่ด้วยการอาศัยแรงงานของผู้อื่น    นอกจากปัญหาต่างๆในสัง คมแล้ว  ท่านยังได้มองเห็นว่าสังคมแบ่งออกเป็นชนชั้น    ความคิดของท่านในการจะขจัดความเลวร้ายเหล่านี้ให้หมดสิ้นไป   จำเป็นต้องชักจูงใจชนชั้นสูงและอภิสิทธิ์ชนทั้งหลายให้กลับใจมาทำนุบำรุงเอาใจใส่ดูแลประชาชนแทนการเอารัดเอาเปรียบและการกดขี่      ดังนั้นจึงได้เขียนหนังสือขึ้นมาเล่มหนึ่งเป็นภาษาลาตินชื่อว่า “ยูโทเปีย”(Utopia)    ประหนึ่งว่าเป็นการเสนอแนวคิดของท่านต่อกษัตริย์และชนชั้น สูงให้ปรับเปลี่ยนท่าทีของตนต่อพลเมืองเสียใหม่

ในหนังสือเล่มนี้ได้กล่าวถึงเกาะใหญ่แห่งหนึ่งซึ่งเรียกว่าประเทศ ยูโทเปีย ซึ่งประกอบไปด้วยมหานคร 54 นคร มีกษัตริย์ที่ทรงภูมิปัญญาเป็นประมุข    มีหลักการสำคัญๆได้แก่การยกเลิกกรรมสิทธิ์ส่วนบุคคล  ทุกอย่างเป็นกรรมสิทธิ์ของส่วนรวม    เปลี่ยนแปลงความสัมพันธ์ทางการผลิตเสียใหม่โดยจัดการดำรงชีวิตเป็นหน่วยที่มีลักษณะครอบครัว     แต่ละหน่วยจะประกอบด้วยชายหญิง 20 คู่ และมีทาสสองคน   ทาสในความหมายของท่านไม่ได้มีลักษณะชนชั้น  หากแต่มาจากผู้กระทำความผิดร้ายแรงถึงขั้นประหารชีวิต และให้ทำงานที่มีระดับต่ำกว่าสมาชิกของชุมชน   การผลิตด้านเกษตรกรรมเป็นหลัก ซึ่งจะเป็นการผลิตร่วมกัน   แต่สมาชิกชุมชนที่มีความถนัดทางด้านอื่นๆเช่นช่างฝีมือแขนงต่างๆสามารถผลิตผลงานของตนออกมาได้ด้วย   ผลิตผลทั้งหมดจะนำไปยังตลาดกลางใครต้องการสิ่งใดก็สามารถนำเอาไปได้

ทางด้านการปกครอง     คณะผู้ปกครองของรัฐยูโทเปียมาจากการเลือกตั้งจากมหานครทั้ง 54 แห่ง   ทำหน้าที่บริหารควบคุมชีวิตทางเศรษฐกิจทั้งหมดจัดสรรการผลิตและการบริโภคอย่างมีโครงการ  ดังนั้นในสังคมของรัฐยูโทเปียจึงมีความเป็นประชาธิปไตย   ไม่มีวิกฤตเศรษฐกิจอันเนื่องมาจากไม่มีการผลิตที่ล้นเกิน    ไม่มีการว่างงาน   ไม่มีความรุนแรง  และไม่มีสงคราม 
แนวคิดของท่านจะยังคงหวังพึ่งพากษัตริย์ ”ผู้ทรงทศพิธราชธรรม”อยู่   เป็นแนวคิดที่กำหนดจากชั้นบน ลงมา  โดยยังมองไม่เห็นบทบาททางการเมืองของชนชั้นล่าง      ดังนั้นความฝันอันบรรเจิดของท่านจึงไม่อาจบรรลุผลในการเปลี่ยนแปลงสังคม    มันเป็นเพียงความใฝ่ฝันของนัก ”มนุษยธรรม” คนหนึ่งที่เห็นอกเห็นใจคนจนเท่านั้น      อย่างไรก็ตามมันได้วางรากฐานความคิดที่ก้าวหน้าล้ำยุคของท่านไว้ให้คนรุ่นหลังได้สืบทอดความคิดและพยายามดัดแปลงมันมาตลอดเพื่อเปลี่ยนแปลงสังคมให้ดีขึ้น   ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการผลิตแบบรวมหมู่   การยกเลิกระบอบกรรมสิทธิ์เพื่อจะก้าวไปสู่สังคมที่ปราศจากชนชั้น    ซึ่งเป็นหลักการสำคัญในการพัฒนาไปสู่ระบอบสังคมนิยมในอนาคต

ชาร์ล  ฟูริเยร์  (1772-1837).
เมื่อเกิดการปฏิวัติใหญ่ในฝรั่งเศสขึ้นในปี 1789 เป็นการปฏิวัติของชนชั้นนายทุนฝรั่งเศสที่โค่นล้มระบอบ  ศักดินาลงไป    ตอนนั้น ชาร์ล  ฟูริเยร์  มีอายุ 17 ปี      อันเนื่องมาจากระบบการผลิตแบบศักดินาเป็นอุปสรรคต่อการขยายตัวของระบบการผลิตแบบใหม่ของทุนนิยมที่กำลังเติบใหญ่ขึ้นในฝรั่งเศส     เมื่อโค่นล้มระบอบศักดินาลงไปแล้ว     ชนชั้นปฏิวัติทั้งหลายได้แตกออกเป็นหลายขั้วอย่างชัดเจนตามแนวความคิดและอุดมคติทางการเมืองของตน   มีการตั้งกลุ่ม(คลับ)กันขึ้นมามากมาย    เช่นกลุ่มนิยมระบอบกษัตริย์ที่สมาชิกส่วนมากจะเป็นพวกขุนนาง   กลุ่มนิยมสาธารณรัฐ   กลุ่มนิยมรัฐธรรมนูญ  ไปจนถึงกลุ่มที่มีความ  คิดแบบเสรีนิยม  กระทั่งค่อนไปทางสังคมนิยม(อุดมคติ)      กลุ่มคนที่มีความคิดแตกต่างกันเหล่านี้ต่างช่วงชิงอำนาจกันจนกระทั่งกลายเป็นการเข่นฆ่าล้างผลาญกันขึ้นที่เรียกขานกันว่า “ยุคแห่งความสยดสยอง”   ฟูริเยร์  ได้ประณามการผลิตแบบทุนนิยมอย่างเผ็ดร้อน  ถึงกับกล่าวว่าการผลิตแบบทุนนิยมของชนชั้นนายทุนที่เรียกว่าเป็น “อารยะ” นั้นก็คือระบอบทาสที่เกิดขึ้นใหม่     อีกทั้งยังได้ประณามการปฏิวัติของชนชั้นนายทุนที่ชูคำขวัญ เสมอภาค เสรีภาพ ภราดรภาพ นั้นไม่ได้เกิดขึ้นจริงแต่อย่างใด  ประชาชนยังถูกทอดทิ้งให้จมอยู่ในความทุกข์ยาก   ไม่มีงานทำ  อดอยากหิวโหย    ในขณะที่ชนชั้นสูงกลับใช้ชีวิตกันอย่างหรูหราสุขสบายบนความอิ่มหนำสำราญอย่างไม่ทุกข์ร้อน

ดังนั้นฟูริเยร์จึงไม่ยอมเชื่อถือต่อการปฏิวัติใดๆทั้งสิ้น   และมีแนวคิดในการสร้างสังคมใหม่ขึ้นมาโดยไม่ต้องผ่านการปฏิวัติ      โดยอาศัยการเกลี้ยกล่อมชนชั้นนำในสังคมให้เห็นคล้อยตามความคิดของตนในการสร้างนิคมการเกษตรขึ้นมาเพราะถือว่ามันคือปัจจัยในการดำรงชีพของมนุษย์     ส่วนโรงงานอุตสาห กรรมนั้นไม่ให้รวมศูนย์อยู่ในเมือง  แต่ให้กระจายออกไปตามชนบทและในนิคมการเกษตร     นิคมตามแนวคิดของฟูริเยร์นี้จะประกอบด้วยสมาชิกที่มีความสมัครใจจำนวน 1500 – 1600 คน  ประกอบเป็นชุม ชน  ทำการผลิตตามความโดยแบ่งออกเป็นกลุ่มๆ   เพราะฟูริเยร์มีความเชื่อว่าถ้าทำงานกันเป็นกลุ่มแล้วจะเกิดความรักสามัคคีขึ้นภายในกลุ่ม   ส่วนการแบ่งปันผลผลิตนั้นจะจัดสรรให้แก่ผู้ทำการผลิต 5 ส่วน  ผู้ลงทุน 4 ส่วนและนักปราชญ์หรือนักวิชาการ 3 ส่วน    เมื่อแต่ละคนได้รับส่วนแบ่งตามกำลังความสามารถ โดยทั่วกันแล้ว  สังคมก็จะมีแต่ความสงบสุข

จะเห็นได้ว่าความคิดของฟูริเยร์นั้นยังมีความหวังอยู่กับความเมตตาของบรรดานายทุนหรือชนชั้นสูงอยู่โดยหวังให้พวกเขาอุทิศทรัพย์สินที่ได้มาจากการกดขี่ขูดรีดมาสร้างนิคมการเกษตร    และหวังว่าจะสา มารถเปลี่ยนแปลงสังคมได้ด้วย ”สันติวิธี”         เพราะมีความคิดเช่นนี้ท่านจึงคัดค้านการต่อสู้การเคลื่อนไหวปฏิวัติของมวลชนไม่ว่าในกรณีใดๆ     สังคมในอุดมคติของฟูริเยร์นั้นไม่ได้กล่าวถึงรัฐ จึงพอจะอนุมานได้ว่าปฏิเสธรัฐ     แต่ในการแบ่งปันผลผลิตของท่าน(5 : 4 : 3)   ได้แสดงออกอย่างชัดเจนถึงลักษณะของสังคมที่มีชนชั้น   จะมีก็แต่สังคมที่ปราศจากชนชั้นเท่านั้นที่รัฐไม่มีความจำเป็นใดๆในการดำรงอยู่เพราะการต่อสู้ทางชนชั้นนั้นไม่มีอยู่แล้ว

คุณูปการอันยิ่งใหญ่ของฟูริเยร์ก็คือ  ท่านได้เปิดโปงธาตุแท้ของระบอบทุนนิยมที่กำลังพัฒนาในสมัยของท่าน   โดยชี้ให้เห็นว่าสังคมทุนนิยมคือสังคมแห่งการปล้นชิงที่มีความเหี้ยมโหดไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าสังคม  ศักดินา    และแสดงให้เห็นว่ารัฐของชนชั้นนายทุนไม่ว่าจะเรียกว่าสาธารณรัฐหรืออะไรก็ตามนั้น  มันไม่ได้ เป็นรัฐของสาธารณชนหรือชนทั่วไปอย่างแท้จริง   หากแต่เป็นเพียงเครื่องมือในการกดขี่ชนชั้นอื่นเท่านั้น

โรเบิร์ต โอเวน  (1771 1858) เกิดในครอบครัวที่ยากจน  เมื่ออายุ 10 ขวบต้องออกจากบ้านไปแสวงโชคที่กรุงลอนดอนโดยไปสมัครเป็นเด็กฝึกงานในโรงงานแห่งหนึ่ง  เมื่ออายุ 19 ปี ได้ขยับฐานะขึ้นไปเป็นผู้จัดการโรงงานทอผ้าที่ใหญ่ที่สุดในเมืองแมนเชสเตอร์   หลังจากนั้นสองสามปีก็ได้ลาออกจากตำ แหน่ง     ในเวลาต่อมาได้แต่งงานกับบุตรีเจ้าของโรงงานทอผ้าใหญ่ในเมืองกลาสโกลว์,สกอตแลนด์และต่อมาก็ได้ซื้อกิจการทั้งหมดจากพ่อตามาดำเนินการเอง   จากความเชื่อที่ว่าบุคลิกภาพของคน..ด้านหนึ่งมาจากองคาพยพทางธรรมชาติ   อีกด้านหนึ่งเกิดจากสภาวะแวดล้อมโดยเฉพาะอย่างยิ่งในระยะที่กำลังเจริญวัย    แนวคิดเช่นนี้อาจจะสรุปมาจากบทเรียนและประสบการณ์จริงในชีวิตของตน   โอเว่นได้ปรับปรุงชีวิตความเป็นอยู่ของกรรมกรในโรงงานให้ดีขึ้นโดยไม่เคยมีใครทำมาก่อน      ด้วยการลดเวลาทำงานให้น้อยลงกว่ากรรมกรในที่อื่นๆลง 3 ถึง4 ชั่วโมง  ให้สวัสดิการที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิต    สร้างโรงเรียนเพื่อให้การศึกษาแก่กรรมกร    ผลลัพธ์ก็คือทำให้กิจการของเขาได้กำไรอย่างงามมากกว่าที่อื่นๆ

เขาได้เปรียบเทียบกำไรจากผลผลิตจากแรงงานของกรรมกร 2500 คนของเขาที่สามารถทำผลงานได้เท่ากับกรรมกรถึง 600,000 คนเมื่อห้าสิบปีก่อน    และเมื่อหักค่าใช้จ่ายแล้ว  ส่วนต่างของกำไรจากผล ผลิตทั้งหมดนั้นมันหายไปไหน? ....แน่นอนมันหายไปเป็นเงินปันผล 5 เปอร์เซ็นต์ให้แก่ผู้ถือหุ้น  และยังจ่ายให้เขาอีกถึง 3000,000 ปอนด์    จากแง่คิดนี้เขาเห็นว่า  พลังการผลิตขนาดมหึมานี้ควรจะใช้เป็นรากฐานในการจัดสรรผลตอบแทนเพื่อสังคม   มันควรเป็นสาธารณะสมบัติ  เพื่ออำนวยผลประโยชน์ให้แก่ประชาชนมากกว่าปัจเจกชน

เขาได้ชี้ให้เห็นว่า..นับตั้งแต่ได้มีการนำเครื่องจักรเข้ามาใช้ในการผลิต  การปฏิบัติต่อมนุษย์เป็นเสมือนหนึ่งปฏิบัติต่อเครื่องจักรที่ล้าสมัย  นายทุนสนใจแต่จะปรับปรุงคุณภาพของสินค้ามากกว่าที่จะมาสนใจส่งเสริมพัฒนาสุขภาพร่างกายและสติปัญญาของกรรมกร    เมื่อขาดการพัฒนาทางปัญญาจึงเป็นมูลเหตุให้กรรมกร(อังกฤษ)ต้องประพฤติตนออกนอกลู่นอกทาง  หยาบคาย ก้าวร้าว และติดสุรา  ในทัศนะของ เขาเห็นว่าในโลกนี้มีสิ่งเลวร้ายอยู่ 3 สิ่งคือ
1.ทรัพย์สินของเอกชนเป็นบ่อเกิดของปัญหาที่เลวร้ายทั้งปวง  ไม่ว่าจะเป็นการกดขี่ เอารัดเอาเปรียบ การปล้นชิงทรัพยากร  ความอดอยากยากจน
2.การแต่งงานที่ตั้งอยู่บนทรัพย์สินของเอกชน  เช่นการแต่งงานเพื่อประสานผลประโยชน์ไม่ว่าจะเป็นผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจหรือทางการเมือง  การคลุมถุงชนฯลฯ  เขาเรียกการแต่งงานเช่นนี้ว่าเป็นรูปแบบของการค้าประเวณีที่ถูกกฎหมาย  
3.การสมรสควรเป็นการใช้ชีวิตร่วมกันตามธรรมชาติของหญิงชาย บนพื้นฐานของความรักและความเสมอภาคทางเพศ

ส่วนแนวคิดในการดัดแปลงสังคมของโอเวนคือการสร้างชุมชนสหกรณ์ขึ้นมา  ซึ่งท่านถือว่าเป็นรากฐานของสังคม  โดยมีการผลิตที่ใช้แรงงานร่วมกัน   เป็นผลิตผลที่เป็นไปตามความต้องการในชีวิตประจำวัน  และไม่เห็นด้วยกับระบบการแบ่งปันโดยมีพ่อค้าเป็นคนกลาง  เพราะเห็นว่าพ่อค้าคนกลางมิได้มีส่วนในการสร้างมูลค่า  มีแต่จะเพิ่มราคาสินค้าโดยบวกค่าใช้จ่ายของตนเข้าไปด้วย   สหกรณ์ชนิดนี้โอเว่นเรียกมันว่า ”นิคม” (community)  แต่โอเว่นก็ยังฝากความหวังไว้กับนายทุนทั้งหลายโดยตัวเขาเองได้ลงมือสร้างนิคมขึ้นตามแบบฉบับของเขาเป็นการแสดงรูปธรรมให้ประจักษ์   เพื่อจูงใจนายทุนให้สนับสนุนแนว คิดและรูปแบบในการปรับปรุงสังคมของเขาผู้ที่จะดำเนินการได้แก่รัฐบาล  และสุดท้ายเมื่อนิคมเกษตรขยายตัวออกไปทั่วประเทศก็จะสามารถรวมตัวกันเป็นสันนิบาตนิคม    ในขั้นตอนนี้ก็ไม่จำเป็นจะต้องมีรัฐอีกต่อไป  โอเว่นเพ้อฝันว่าชนชั้นปกครอง”ผู้ทรงคุณธรรม”จะเห็นด้วยกับแนวคิดของเขา    แต่แล้วต้องพบกับความผิดหวังอย่างสิ้นเชิง เพราะอำนาจรัฐที่อยู่ในกำมือของชนชั้นนายทุนก็ย่อมจะคุ้มครองผลประโยชน์ของชนชั้นนายทุนอยู่นั่นเอง

ในความคิดเกี่ยวกับการเมือง    โอเว่นคัดค้านการเคลื่อนไหวทางการเมืองโดยเห็นว่าความสุขของประชา ชนนั้นขึ้นอยู่กับระบอบสังคมไม่ใช่การเมือง     เพราะถ้ามุ่งจะปรับปรุงแต่ระบอบการเมืองก็ไม่ทำให้เกิดประสิทธิภาพอะไรขึ้นมา  อีกทั้งไม่อาจดำเนินการปฏิรูปใดๆได้อย่างสมเหตุผล   เขาย้ำว่าการจัดตั้งนิคมไม่จำเป็นจะต้องได้มาซึ่งสิทธิในทางการเมืองใดๆ(การเลือกตั้งและสมัครรับเลือกตั้ง และการได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งในทางการเมือง)    อีกทั้งไม่สนับสนุนการหยุดงานของกรรมกร   แม้เขาจะเห็นว่าการนัดหยุดงานเป็นเครื่องมือสำคัญที่ทรงประสิทธิภาพอย่างแท้จริงของสหบาลกรรมกรก็จริง  แต่ในทางกลับกันก็จะเกิดผลร้ายหรือภัยพิบัติแก่กรรมกรได้   การนัดหยุดงานไม่สามารถนำไปสู่การปฏิรูปได้ และ   บรรดานายทุนจะหันมาใช้เครื่องจักรมากขึ้นและจ้างงานน้อยลง    เพราะความเข้าใจเช่นนี้ทำให้โอเว่นปฏิเสธทั้งการต่อสู้ทางเศรษฐกิจและการเมือง  แต่จะแก้ปัญหาสังคมด้วย”นิคมการเกษตร” เพื่อรองรับกรรมกรที่ไม่มีงานทำโดยการเรียกร้องนักการเมืองในสภาให้ช่วยเหลือผลักดันในการตั้งนิคม

เราจะเห็นว่าแนวทางสังคมนิยมอุดมคตินั้นไม่สามารถบรรลุการเปลี่ยนแปลงสังคมได้เลย  เพราะมองข้ามพลังการต่อสู้ของประชาชน    โดยส่วนใหญ่แล้วจะเป็นการหวังพึ่งหรือวิงวอนร้องขออย่าง”สันติ”ต่อผู้มีอำนาจให้มีความเมตตาซึ่งเป็นแนวทางปฏิรูป   มีลักษณะยอมจำนน   เป็นแนวคิดที่มีลักษณะด้านเดียว  เพราะพวกท่านเป็นนักมนุษยธรรม  แม้จะมองเห็นความเลวร้ายในการกดขี่เอารัดเอาเปรียบของระบอบทุนนิยม   แต่ไม่เข้าใจถึงผลประโยชน์ทางชนชั้นที่ไม่สามารถประนีประนอมกันได้   แนวทางสังคมนิยมของท่านเกิดขึ้นจากอุดมคติส่วนตัว   มีลักษณะที่อยากจะให้เป็นไปตามความต้องการของตนเอง ไม่สอดคล้องกับสภาพที่แท้จริงทางภววิสัย    จึงไม่สามารถประสบความสำเร็จในการเปลี่ยนแปลงสังคมโดยรากฐานได้  ดังนั้นนักคิดรุ่นต่อๆมาจึงขนานนามแนวทางเช่นนี้ว่า สังคมนิยมเพ้อฝันหรือสังคมนิยม ยูโธเปีย ของโธมัส มอร์      ในปัจจุบัน...แนวคิดเช่นนี้ก็ยังดำรงอยู่ตามลักษณะชนชั้นในสังคม    

ต่อมามาร์กซและเองเกลส์ได้ใช้ปรัชญาวัตถุนิยมวิภาษของท่านไปค้นคว้าวิเคราะห์สังคม     พบว่ากลุ่มคนในสังคมมีความขัดแย้งกันในด้านการผลิต  การแบ่งปันผลผลิต  อันสืบเนื่องมาจากการเป็นเจ้าของหรือการยึดครองปัจจัยการผลิตของกลุ่มชนที่มีฐานะเหนือกว่าในสังคม    ซึ่งท่านเรียกว่าความขัดแย้งทางชนชั้น    ดังนั้นหากจะทำการเปลี่ยนแปลงสังคมให้ดีขึ้นมีเพียงหนทางเดียวเท่านั้นคือชนชั้นผู้ถูกกดขี่จะต้องร่วมมือกันลุกขึ้นมาต่อสู้และโค่นล้มผู้กดขี่ลงไปแล้วสร้างสังคมใหม่ของชนชั้นตนขึ้นมาแทน    ที่ท่านเสนอเช่นนี้ไม่ใช่เพราะว่าท่านสนับสนุนความรุนแรง   หากแต่ชนชั้นผู้กดขี่ไม่ว่าที่ใดๆจะไม่มีวันยอมสูญเสียผลประโยชน์ของตนด้วยการประนีประนอม  หรือยินยอมทำตามคำร้องขอของผู้ถูกกดขี่อย่างเด็ดขาด   ไม่เพียงแต่ไม่ยินยอมยกเลิกความมีอภิสิทธิ์และการกดขี่ขูดรีดของตนเท่านั้น ยังสร้างเครื่องมือ กลไกอำนาจในการกดขี่ขึ้นมาคุ้มครองชนชั้นตนเองและควบคุมปราบปรามชนชั้นอื่นที่ไม่เห็นด้วยกับชนชั้นตนอีกด้วย เช่นอำนาจรัฐ กองกำ ลังติดอาวุธ  กฎหมาย ฯลฯ  แม้แต่ในยามสงบสันติ เมื่อประชาชนผู้ถูกกดขี่ลุกขึ้นมาเรียกร้องด้วย”สันติวิธี” ก็ยังมีความรุนแรงแฝงอยู่ในนั้น   อย่างที่ประชาชนไทยเคยได้ผ่านบทเรียนเช่นนี้มาแล้ว

สังคมนิยมของมาร์กซ มีความเป็นวิทยาศาสตร์และเรียบง่าย      ไม่ได้เกิดขึ้นมาจากความคิดเพ้อฝันใดๆทั้งสิ้น    หากแต่เกิดขึ้นจากความเป็นจริงในสังคม   สามารถปฏิบัติและจับต้องได้  มีความแตกต่างจากสังคมนิยมอุดมคติที่อุดมไปด้วยลักษณะนามธรรม   ซึ่งเกิดจากความเพ้อฝันและไม่มีวันจะเกิดขึ้นได้จริง    เนื่องจากสังคมนิยมอุดมคติ   มองไม่เห็นพลังของประชาชน    และไม่มีความเป็นวิทยาศาสตร์    แม้จะมองเห็นความขัดแย้งในผลประโยชน์ทางชนชั้น   แต่ก็ปฏิเสธการต่อสู้ทางชนชั้นซึ่งถือได้ว่าเป็นสาเหตุในการเปลี่ยนแปลงสังคม      ทั้งยังหวังพึ่งชนชั้นที่ได้เปรียบที่จะหยิบยื่นความเมตตามาให้     จึงไม่มีศักยภาพเพียงพอต่อภาระหน้าที่ทางประวัติศาสตร์ในการเปลี่ยนแปลงสังคม...และนำพาประชาชนให้หลุดพ้นจากแอกของการกดขี่ได้


อันตรายจากแนวคิดอนาธิปไตย..

อันตรายจากแนวคิดอนาธิปไตย..ในขบวนการต่อสู้ของประชาชน

มิตรสหายบางท่านได้นำเสนอวิธีปฏิบัติเพื่อเปลี่ยนแปลงสังคมต่อสาธารณะชน       ว่าด้วยเรื่องการ เคลื่อนไหวต่อสู้ของประชาชนไทยโดยออกมาชี้นำถึงต่อสู้ว่าควรจะเป็นไปในรูปแบบใด    แต่เมื่อได้ รับฟังความเห็น แนวคิด วิธีการที่ท่านได้นำเสนอแล้วรู้สึกผิดหวังและตกใจเป็นอันมาก      เพราะเป็นการชี้นำให้ประชาชนลุกขึ้นสู้โดยไม่ต้องมีการจัดตั้ง    ไม่มีองค์กรนำ   ไม่มีการบ่มเพาะจิตสำนึกทางการเมือง       โดยประเมินเอาจากสายตาตนเองตามปรากฏการณ์และจำนวนของมวลชนที่เข้าร่วมการเคลื่อนไหวมาเป็นบรรทัดฐาน ด้วยการคิดเอาเองว่าประชาชนมีความพร้อมแล้วที่จะลุกขึ้นมาต่อสู้เพื่อเปลี่ยนแปลงสังคม      เป็นการมองอย่างผิวเผิน สนใจแต่ทางด้านปริมาณเพียงด้านเดียวโดยไม่ได้คำนึงถึงระดับคุณภาพหรือแก่นแท้ของมวลชนส่วนใหญ่เลย

แน่นอนการที่ประชาชนเป็นจำนวนมากเข้าร่วมเคลื่อนไหวต่อสู้ในระยะเวลาที่ผ่านมาเกือบสิบปีนี้   ส่วนใหญ่ได้มีการยกระดับความรับรู้ทางสิทธิผลประโยชน์ของตน   ซึ่งถือได้ว่าเป็นเพียงอารมณ์ความรู้สึกในระดับพื้นฐานเท่านั้นแต่ยังไม่ถึงเป้าหมายที่แท้จริงของการเปลี่ยนแปลงสังคม      ยังจะต้องใช้เวลาเรียนรู้และพัฒนาไปอีกสักระยะหนึ่งท่ามกลางการเคลื่อนไหวต่อสู้ที่เป็นจริง    จนกระทั่งถึงขั้นที่แปรเปลี่ยนเป็นจิตสำนึกทางชนชั้นที่แท้จริงขึ้นมา      แต่ก็ยังมีประชาชนเพียงบางส่วนซึ่งเป็นจำนวนน้อยมาก(หากจะเทียบอัตราส่วนกับมวลชนที่เข้าร่วมการเคลื่อนไหว )    ที่สามารถพัฒนาความรับรู้และจิตสำนึกของตนขึ้นมาได้พร้อมกับมีเป้าหมายทางอุดมการณ์ที่ชัดเจน   และกำลังเสาะแสวงหาแนวทาง การนำของพรรคการเมืองที่เป็นกองหน้าของประชาชนที่แท้จริงอยู่      ในช่วงเวลาเช่นนี้...การเสนอการลุกขึ้นสู้แบบที่ไม่มีอุดมการณ์ทางการเมือง    หวังเพียงแค่จะเปลี่ยนแปลงกลุ่มผู้ถือครองอำนาจโดยไม่เข้าใจถึงบทบาทและ”ดุล”กำลังทางการเมืองของแต่ละชนชั้นในสังคม     และพลังขับดันทางชนชั้นนั้น   เป็นความคิดอันตรายและมีแต่ความว่างเปล่า     

การวิเคราะห์ความขัดแย้งหลักในสังคมไทยของท่านในหลายปีมานี้    ก็ยังยืนยันว่าเป็นความขัดแย้งระหว่างทุนใหม่กับทุนเก่าอยู่ทั้งๆที่ สถานการณ์  สภาพแวดล้อม  ต่างๆในสังคมได้เปลี่ยนแปลงไปมากมายแล้ว      สำหรับเรื่องนี้ยังเป็นเรื่องที่พอจะรับฟังกันได้แม้จะพูดมาหลายปีแล้วก็ตาม  แต่การ  อธิบายว่าทุนใหม่คือทุนนิยมโลกาภิวัฒน์ที่มีอดีตนายกฯทักษิณเป็นตัวแทน     ส่วนทุนเก่านั้นคือกลุ่มทุนผูกขาดอนุรักษ์นิยมที่มีชนชั้นสูงเป็นตัวแทน     ดังนั้นประชาชนจะต้องหนุนทุนโลกาภิวัฒน์ไปต่อสู้กับทุนเก่า..อะไรทำนองนี้     เราเห็นด้วยกับการร่วมมือกับกลุ่มทุนที่มีศัตรูร่วมกันกับประชาชน    แต่ต้องมีลักษณะร่วมมือกันเพียงบางครั้ง  บางเรื่อง  และบางโอกาสเท่านั้น         เราไม่เห็นด้วยที่ท่านจำแนกกลุ่มทุนอย่างหยาบๆเช่นนี้          เพราะเราไม่เคยมีความหวังที่จะเปลี่ยนแปลงพวกเขาไปสู่ความ “ก้าวหน้า” ได้    สำหรับเราแล้วไม่ว่าทุนเก่าหรือทุนใหม่ก็ล้วนแต่มีลักษณะสำคัญร่วมกันอย่างหนึ่งก็คือการขูดรีดที่กระทำต่อพี่น้องประชาชน    จะต่างกันก็เพียงวิธีขูดรีดของมันเท่านั้น      ในระยะนี้เราเห็นว่าความขัดแย้งหลักของสังคมไทยได้เปลี่ยนฐานะของมันไปแล้ว    คู่ความขัดแย้งหลักกลายเป็นความขัดแย้งระหว่าง ประชาชนผู้รักประชาธิปไตย กับ กลุ่มทุนผูกขาดศักดินาเหนือรัฐที่ยืนชี้นิ้วบงการอยู่เบื้องหลังพวกเผด็จการ

คำว่าโลกาภิวัฒน์นั้นเป็นเพียงการแสดงโวหารของพวกจักรวรรดิ์นิยมที่ใช้เป็นหน้ากากมาปกปิดใบหน้าที่ชั่วร้ายของตน       กล่าวให้ให้ถึงที่สุดแล้วนักสร้างนโยบาย (policy makers) ผู้รับใช้จักรวรรดินิยมได้ประดิษฐ์คิดสร้างคำๆนี้ขึ้นมาก็เพื่อทำการขูดรีดประเทศอื่นๆให้ดูแนบเนียนขึ้น   และควบคู่กันไปกับความต้องการที่จะรักษาความเป็นพี่เบิ้มของตนเอาไว้   โดยเฉพาะอย่างยิ่งสหรัฐอเมริกาและพันธมิตรได้พยายามทำระบบเศรษฐกิจโลกให้อยู่ภายใต้การครอบงำของระบอบทุนนิยมแต่เพียงระบอบเดียว     ซึ่งในความเป็นจริงย่อมเป็นไปไม่ได้.....อย่างที่ปรัชญาวัตถุนิยมวิภาษ และวัตถุนิยมประวัติศาสตร์ได้อธิบายไว้   

เท่าที่ฟังคำอธิบายเรื่องโลกาภิวัตน์       ก็พอจะเข้าใจถึงความสับสนของท่านในเรื่องนี้   คือเอาความความก้าวหน้าทางเทคโนยีมาอธิบายว่าเป็นทุนโลกาภิวัฒน์    โดยเข้าใจว่าพัฒนาการทางเทคโนโลยีในทางการผลิตในระบอบทุนนิยมคือตัวทุนโลกาภิวัฒน์         ในความเป็นจริง...ระบอบทุนนิยมก็เป็นเรื่องหนึ่งและพัฒนาการทางเทคโนโลยีนั้นก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง    เพียงแต่มันมีความสัมพันธ์กันในกระ บวนการผลิตอย่างแยกไม่ออก     ไม่ว่าจะเป็นกระบวนการผลิตของระบอบสังคมแบบไหน     สังคมทาสก็มีเทคโนโลยีในการผลิตแต่อาจจะไม่ก้าวหน้าเหมือนเทคโนโลยีในระบอบศักดินา     เทคโนยีในสังคมศักดินาย่อมล้าหลังกว่าในสังคมทุนนิยม         เราเชื่อว่า..วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี่ไม่มีชนชั้น    อยู่ที่ว่าจะนำมันไปรับใช้ชนชั้นใดต่างหาก   ตัวของระบอบทุนนิยมเอง..มันเกิดขึ้นและพัฒนามาจากพื้นฐานของความขัดแย้งของความสัมพันธ์ทางการผลิตที่ไม่สอดคล้องกันหรือขัดแย้งกันของสังคมเก่า...ซึ่งก็คือสังคมศักดินา

คราวนี้ก็มาถึงแนวคิดในการเปลี่ยนแปลงสังคมของอาจารย์ท่านนั้นที่เสนอว่า   ประชาชนเราต้องสะสมกำลัง   รอคอยโอกาสแล้วลุกขึ้นสู้ตามขั้นตอนทางยุทธศาสตร์ของท่านที่เรียกว่า ขั้นเตรียมรุก (ขั้นตอนในการทำสงครามปฏิวัติจีนที่เหมาเจ๋อตุง ได้เสนอไว้ 3 ขั้น คือขั้นรับ...ขั้นยัน...ขั้นรุก ไม่มีขั้นเตรียม รุก) ท่านเน้นย้ำว่า       วิธีของท่านนั้นไม่เหมือนกับยุทธศาสตร์ของ พคท.(พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศ ไทย)ในอดีต  ที่กำหนดยุทธศาสตร์ใหญ่ว่า ”ชนบทล้อมเมือง  และยึดเมืองในที่สุด”  โดยมีการจัดตั้งมวลชน   สร้างกองกำลังทหาร   สร้างฐานที่มั่น   สร้างเขตปลดปล่อย  ฯลฯ    แต่แนวทางของท่านต่างจาก พคท.   ไม่ต้องจัดตั้งมวลชน   ไม่ต้องมีกองกำลัง    การจัดตั้งของท่านก็คือการจัดตั้งทางความคิดเพราะมีคนที่ตาสว่างมากแล้ว     ให้มวลชนตระตระเตรียมกำลัง    รอคอยโอกาส  แล้วลุกขึ้นสู้   จากยุทธศาสตร์ขั้นรับก้าวกระโดดไปสู่ขั้นรุกเลย 

แนวคิดเรื่องการจัดตั้งกองกำลังก็เช่นกัน      ท่านกล่าวว่าไม่ต้องเสียเวลาไปจัดตั้ง  อาศัยการลุกฮือขึ้นสู้ของประชาชนนี่แหละ    ด้วยการเข้ายึดค่ายทหาร   โรงพัก   หากประชาชนลุกขึ้นมาแล้วทหารแตง โม  ตำรวจมะเขือเทศก็จะพากันออกมาช่วยประชาชนเอง      เราจึงอยากจะให้ท่านระลึกถึงเหตุการณ์เมื่อปี  53  ที่มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจากการล้อมปราบมากมาย       มันได้พิสูจน์แล้วว่า ทหารแตงโม ตำรวจมะเขือเทศไม่เป็นจริง(ย้ำคำว่าไม่เป็นจริง)  เป็นแค่โวหารในการปลุกระดมเท่านั้น      ท่านไม่เสนอให้มีการจัดตั้งไม่ว่าชนิดใดๆทั้งยังย้ำอย่างหนักแน่นว่า “กว่าจะจัดตั้งและมีความเข้มแข็งได้ .จนตายก็ไม่เข้มแข็ง”  นี่เป็นวิธีคิดที่ไม่ยอมศึกษาอีกทั้งยังดูเบาบทเรียนทางการต่อสู้ของประชาชนที่เกิดขึ้นในประวัติศาสตร์เลย      

เราสนับสนุนการเคลื่อนไหวต่อสู้ของประชาชนในทุกรูปแบบ     แต่เราไม่เห็นด้วยกับการลุกขึ้นสู้ที่ไม่มีองค์กรนำ   ไม่มีการจัดตั้งมวลชน   ไม่มีกองกำลัง    คิดแต่จะอาศัยกำลังของผู้อื่น ซึ่งเป็นลัทธิหวังพึ่ง       เราไม่ต้องการเห็นขบวนการของประชาชนต้องประสบกับความพ่ายแพ้และสูญเสียอีก     เราอยากจะเรียนว่าการปฏิวัติเปลี่ยนแปลงสังคมไม่ใช่การชักชวนกันมาก่อจลาจล       หรือปฏิวัติโดยใช้อารมณ์ความรู้สึกของตนเป็นที่ตั้ง     เหมาเจ๋อตุงกล่าวไว้ว่า  “การปฏิวัติไม่ใช่เป็นการเชิญคนมากินเลี้ยง”    

แรกสุดเมื่อจะทำการปฏิวัติ   หลีกไม่พ้นที่จะจะต้องมีองค์กรจัดตั้งที่มีลักษณะสู้รบ    เป็นกองหน้าที่ไว้ใจได้   จะต้องมีกองกำลังที่เป็นจริง   มีวินัยและมีจิตสำนึกปฏิวัติและต้องอยู่ในช่วงที่มีสถานการณ์ปฏิวัติ     การลุกขึ้นสู้โดยไร้การจัดตั้ง    ไร้องค์กรนำ   ไม่มีกองกำลัง    ไม่มีสภาพแวดล้อมที่เป็น สถานการณ์ปฏิวัติ ก็เท่ากับว่าไม่มีอะไรเลยนอกจากความว่างเปล่าและเพ้อฝัน      ไม่น่าเชื่อว่า...ผู้ที่มีประสบการณ์อย่างมิตรสหายท่านนี้ จะเสนอแนวทางที่สุ่มเสี่ยงและเป็นอันตรายอย่างยิ่งเช่นนี้ออกมาได้ มันเป็นความคิดอนาธิปไตยโดยธาตุแท้เลยทีเดียว    การลุกขึ้นสู้ในแนวทางของท่าน    ไม่ว่าจะเกิดขึ้นที่ไหน  เมื่อไหร่  ไม่เคยได้รับชัยชนะ   (อาจจะชนะบ้างในบางยุทธภูมิในที่สุดก็ต้องแพ้ทางยุทธศาสตร์อย่างราบคาบ )      เลนินได้กล่าวไว้ว่า..การจัดตั้งคือภาคปฏิบัติของการปฏิวัติ.  และเรามีความจำเป็นที่จะเลือกเชื่อวิธีการของเลนินผู้ที่นำการปฏิวัติรัสเซียไปสู่ชัยชนะมากกว่าวิธีของอาจารย์ท่านนี้

เราลองมาดูตัวอย่างของการลุกขึ้นสู้ของประชาชนในประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา ทั้งที่มีและไม่มีการจัดตั้ง ทั้งที่มีและไม่มีองค์กรนำ    ทั้งที่มีและไม่มีทฤษฎีชี้นำการปฎิวัติ      เริ่มต้นที่กรุงโรมเมื่อสองพันปีที่ผ่านมา   เป็นการลุกขึ้นสู้แบบเป็นไปเองของเหล่าทาสที่มี สปาร์ตาคัส เป็นผู้นำ     ต้องพ่ายแพ้แก่กองทหารโรมันที่มีการจัดตั้ง  มีวินัย  อย่างราบคาบ  เหล่าทาสเสียชีวิตนับหมื่นๆคน(ทั้งในสนามรบและถูกไล่ล่า)   

การลุกขึ้นสู้ของชาวนาในยุโรปสมัยกลางโดยเฉพาะอย่างยิ่งในเยอรมัน      กองทัพชาวนาที่ต่างคนต่างพร้อมใจกันลุกขึ้นสู้แบบที่เป็นไปเอง  ไร้การจัดตั้งต้องพ่ายแพ้แก่เหล่าอัศวินของชนชั้นศักดินาที่มีการจัดตั้ง  มีวินัย    และมีทักษะในการสู้รบ  ทำให้บรรดาชาวนาต้องเสียชีวิตไปนับแสนคน     

การลุกขึ้นสู้ของ  ปูกาเชฟ  ชาวนารัสเซียต้องพ่ายแพ้ต่อกองทหารของจักรพรรดินีคัธรินที่ 2  ในปี 1773 – 1774  ผลก็คือชาวนารัสเซียได้เสียชีวิตไปมากมาย    การลุกขึ้นสู้ของชาวนาไทย  ไม่ว่าจะเป็นสาเกียดโง้ง  และใครต่อใครก็ต้องสังเวยชีวิตเหล่าสาวกไปไม่รู้เท่าไหร่    

การลุกขึ้นสู้ของชาวนครปารีส (คอมมูนปารีส) ในปี 1871 ที่นำโดยชนชั้นกรรมกร  นักอนาธิปไตย  นักเสรีนิยม  นักสังคมนิยม  ที่ต่างคนต่างนำไม่มีเอกภาพทางความคิด      ได้อำนาจอยู่ไม่นานก็ถูกล้อมปราบลงอย่างราบคาบ  เสียชีวิตหลายหมื่นคน  ถูกประหารชีวิต  ถูกเนรเทศอีกไม่รู้เท่าไหร่

การลุกขึ้นสู้ของพรรคแรงงานสังคมประชาธิปไตยรัส   ที่มอสโคว์ ในปี 1905  ต้องพ่ายแพ้อย่างยับยับเยินต่อกองทหารของพระเจ้าซาร์ทั้งๆที่มี พรรค มีกองกำลัง มีการจัดตั้ง ฯลฯ     

การลุกขึ้นสู้ของขบวนการ อี้เหอถวน (ขบวนการนักมวย)   ถูกรัฐบาลแมนจูปราบปรามเสียจนราบคาบ    การลุกขึ้นสู้ของพรรคคอมมิวนิสต์จีน  ที่เซี่ยงไฮ้  ปี 1927  ถูกกองทหารของขุนศึกเจียงไคเชคปราบปรามอย่างโหดร้าย    สมาชิกพรรคและผู้สนับสนุนถูกฆ่าและกวาดล้างนับหมื่นๆคน       จนต้องหนีขึ้นไปปักหลักต่อสู้บนเขาจิ่งกันซาน...ปรับเปลี่ยนยุทธศาสตร์ไปสู่การสร้างฐานที่มั่นในชนบท     กระนั้นก็ยังถูกล้อมปราบ...จนต้องยอมละทิ้งฐานที่มั่นและเดินทัพทางไกลแล้วกลับมาสู้จนได้ชัยชนะ   

ที่ยกตัวอย่างเหตุการณ์รูปธรรมในประวัติศาสตร์บางส่วนเกี่ยวกับการลุกขึ้นสู้ของประชาชนผู้ถูกกดขี่เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริงที่เกิดขึ้นจริง...เป็นบทเรียนที่เป็นจริงมานี้..พอจะเห็นว่า..แม้การลุกขึ้นสู้ที่มีการจัดตั้ง  มีวินัย   ภายใต้การนำของพรรคการเมืองของประชาชนอย่างพรรคแรงงานสังคมประชาธิปไตยรัสเซีย  และพรรคคอมมิวนิสต์จีน      ยังต้องประสบกับความพ่ายแพ้   แต่เพราะมีการจัดตั้งทั้งที่เป็นรูปธรรม (องค์กรจัดตั้งในทุกระดับของพรรค) และการจัดตั้งที่เป็นนามธรรม(การบ่มเพาะทางอุดมการณ์และจิตสำนึกทางชนชั้น).. มีกองกำลังของตนเอง   จึงสามารถฟื้นตัวขึ้นมาต่อสู้จนได้รับชัยชนะในที่สุด    

ส่วนขบวนการอื่นๆที่ไม่มีการจัดตั้ง  ไม่มีกองกำลัง   ไม่มีองค์กรนำนั้นไม่สามารฟื้นตัวขึ้นมาต่อสู้ได้อีกเลย      ผู้ถืออาวุธที่ไร้จิตสำนึกปฏิวัติขององค์กรอนาธิปไตยเหล่านั้น บ้างก็ถดถอย บ้างก็กลายเป็น  นักฆ่า  อันธพาลทางการเมือง  และไม่ใช่น้อยที่ยอมเป็นเครื่องมือรับใช้ชนชั้นปกครอง...ปฏิปักษ์ของตนที่เคยต่อสู้อย่างเอาเป็นเอาตายมาแล้วในอดีต       

เราไม่อยากให้เกียรติภูมิของผู้ที่ยืนหยัดต่อสู้เยี่ยงนักปฏิวัติมาอย่างยาวนานต้องมัวหมองลง   หากท่านยังยืนยันยึดมั่นในแนวทางอนาธิปไตยของท่านว่าถูกต้อง      ก็ต้องให้เวลาเครื่องพิสูจน์    และให้ประชาชนเป็นผู้ตัดสิน...... จึงเรียนมาด้วยความเคารพ