Tuesday, March 17, 2015

สังคมนิยมอุดมคติ และสังคมนิยมวิทยาศาสตร์

โธมัส มอร์(1478-1535)
เองเกลส์ได้กล่าวไว้ว่า  อุตสาหกรรมสมัยใหม่เริ่มต้นในอังกฤษก่อน  เพราะอังกฤษเป็นประเทศแรกที่มีการปฏิวัติอุตสาหกรรมในระหว่างปี 1778-1840  ซึ่งสืบเนื่องมาจากการประดิษฐ์เครื่องจักรพลังไอน้ำ   เป็นขั้นตอนของการพัฒนาระบอบทุนนิยมให้ก้าวหน้ายิ่งขึ้นไปอีก แต่เมื่อย้อนเวลาไปสู่ศตวรรษที่ 15 ได้มีนักคิดชาวอังกฤษชื่อ โทมัส มอร์ที่มีพื้นฐานมาจากตระกูลผู้ดีระดับสูง   จบการศึกษาจากมหาวิทยาลัย อ๊อกซฟอร์ด  ได้รับเลือกเข้าไปนั่งในสภาขุนนางเมื่อมีอายุเพียง 26 ปี  ในรัชสมัยพระเจ้า เฮนรี่ที่ 7   แต่ก็ถูกบีบให้ออกจากแวดวงการเมืองเพราะพระเจ้าเฮนรี่ ที่ 7 ไม่พอใจนโยบายของเขาที่เห็นใจคนยากจนซึ่งขัดกับนโยบายของพระองค์เสมอมา

ในยุคนั้นระบอบทุนนิยมในอังกฤษนับได้ว่ามีความก้าวหน้าที่สุด    การผลิตสินค้าโดยเฉพาะผ้าขนสัตว์เป็นที่ต้องการของตลาดเป็นอย่างมากทำให้นายทุนเจ้าของกิจการสิ่งทอ(โรงหัตถกรรม)ได้กำไรมหาศาล   ประกอบกับการล่าอาณานิคมเพื่อแสวงหาวัตถุดิบมาป้อนกิจการและการขยายตลาดเพื่อขายสินค้าของตน     บรรดานายทุนเจ้าของกิจการส่วนมากได้แก่เจ้าที่ดินศักดินาซึ่งถือครองที่ดินที่ใช้ในการเกษตรกรรมเป็นจำนวนมากได้ยกเลิกการผลิตด้านเกษตรกรรมในระบอบศักดินาแบบเดิม   โดยเรียกคืนที่ดินจากเกษตรกรผู้เช่าเปลี่ยนมาเป็นทุ่งหญ้าเลี้ยงแกะเพื่อตัดขนป้อนโรงงานของพวกเขา  ทำให้ชาวนาผู้เช่า  ไพร่ติดที่ ดินนับล้านคนต้องสูญเสียที่ดินทำกิน  ล้มละลาย  พากันอพยพเข้าเมืองเพื่อหางานทำ   แต่โรงงานต่างๆก็ไม่สามารถสนองแหล่งงานได้  ผู้ที่โชคดีได้งานทำจำเป็นต้องรักษางานของตนไว้อย่างสุดชีวิตแม้จะถูกกดขี่แรงงานอย่างหนักหน่วงก็ตาม

ต่อสภาพสังคมเช่นนี้กระทบกระเทือนความรู้สึกของโทมัส มอร์ เป็นอย่างมาก ท่านเห็นว่าการปกครองแบบกษัตริย์เป็นใหญ่นั้นเป็นรากฐานของความยากจน    เพราะกษัตริย์และราชวงศ์ถือครองที่ดินกันเป็นจำนวนมาก   เป็นเจ้าชีวิตของประชาชนทั้งปวงโดยไม่มีขอบเขตจำกัด   มูลเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดความยากจนอีกประการหนึ่งก็คือในสังคมมีอภิสิทธิ์ชนมากเกินไป  ตั้งแต่กษัตริย์ลงมาจนถึงพวกขุนนาง เจ้าที่ดิน ทหาร ข้าราชการ คนพวกนี้ยังชีพอยู่ด้วยการอาศัยแรงงานของผู้อื่น    นอกจากปัญหาต่างๆในสัง คมแล้ว  ท่านยังได้มองเห็นว่าสังคมแบ่งออกเป็นชนชั้น    ความคิดของท่านในการจะขจัดความเลวร้ายเหล่านี้ให้หมดสิ้นไป   จำเป็นต้องชักจูงใจชนชั้นสูงและอภิสิทธิ์ชนทั้งหลายให้กลับใจมาทำนุบำรุงเอาใจใส่ดูแลประชาชนแทนการเอารัดเอาเปรียบและการกดขี่      ดังนั้นจึงได้เขียนหนังสือขึ้นมาเล่มหนึ่งเป็นภาษาลาตินชื่อว่า “ยูโทเปีย”(Utopia)    ประหนึ่งว่าเป็นการเสนอแนวคิดของท่านต่อกษัตริย์และชนชั้น สูงให้ปรับเปลี่ยนท่าทีของตนต่อพลเมืองเสียใหม่

ในหนังสือเล่มนี้ได้กล่าวถึงเกาะใหญ่แห่งหนึ่งซึ่งเรียกว่าประเทศ ยูโทเปีย ซึ่งประกอบไปด้วยมหานคร 54 นคร มีกษัตริย์ที่ทรงภูมิปัญญาเป็นประมุข    มีหลักการสำคัญๆได้แก่การยกเลิกกรรมสิทธิ์ส่วนบุคคล  ทุกอย่างเป็นกรรมสิทธิ์ของส่วนรวม    เปลี่ยนแปลงความสัมพันธ์ทางการผลิตเสียใหม่โดยจัดการดำรงชีวิตเป็นหน่วยที่มีลักษณะครอบครัว     แต่ละหน่วยจะประกอบด้วยชายหญิง 20 คู่ และมีทาสสองคน   ทาสในความหมายของท่านไม่ได้มีลักษณะชนชั้น  หากแต่มาจากผู้กระทำความผิดร้ายแรงถึงขั้นประหารชีวิต และให้ทำงานที่มีระดับต่ำกว่าสมาชิกของชุมชน   การผลิตด้านเกษตรกรรมเป็นหลัก ซึ่งจะเป็นการผลิตร่วมกัน   แต่สมาชิกชุมชนที่มีความถนัดทางด้านอื่นๆเช่นช่างฝีมือแขนงต่างๆสามารถผลิตผลงานของตนออกมาได้ด้วย   ผลิตผลทั้งหมดจะนำไปยังตลาดกลางใครต้องการสิ่งใดก็สามารถนำเอาไปได้

ทางด้านการปกครอง     คณะผู้ปกครองของรัฐยูโทเปียมาจากการเลือกตั้งจากมหานครทั้ง 54 แห่ง   ทำหน้าที่บริหารควบคุมชีวิตทางเศรษฐกิจทั้งหมดจัดสรรการผลิตและการบริโภคอย่างมีโครงการ  ดังนั้นในสังคมของรัฐยูโทเปียจึงมีความเป็นประชาธิปไตย   ไม่มีวิกฤตเศรษฐกิจอันเนื่องมาจากไม่มีการผลิตที่ล้นเกิน    ไม่มีการว่างงาน   ไม่มีความรุนแรง  และไม่มีสงคราม 
แนวคิดของท่านจะยังคงหวังพึ่งพากษัตริย์ ”ผู้ทรงทศพิธราชธรรม”อยู่   เป็นแนวคิดที่กำหนดจากชั้นบน ลงมา  โดยยังมองไม่เห็นบทบาททางการเมืองของชนชั้นล่าง      ดังนั้นความฝันอันบรรเจิดของท่านจึงไม่อาจบรรลุผลในการเปลี่ยนแปลงสังคม    มันเป็นเพียงความใฝ่ฝันของนัก ”มนุษยธรรม” คนหนึ่งที่เห็นอกเห็นใจคนจนเท่านั้น      อย่างไรก็ตามมันได้วางรากฐานความคิดที่ก้าวหน้าล้ำยุคของท่านไว้ให้คนรุ่นหลังได้สืบทอดความคิดและพยายามดัดแปลงมันมาตลอดเพื่อเปลี่ยนแปลงสังคมให้ดีขึ้น   ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการผลิตแบบรวมหมู่   การยกเลิกระบอบกรรมสิทธิ์เพื่อจะก้าวไปสู่สังคมที่ปราศจากชนชั้น    ซึ่งเป็นหลักการสำคัญในการพัฒนาไปสู่ระบอบสังคมนิยมในอนาคต

ชาร์ล  ฟูริเยร์  (1772-1837).
เมื่อเกิดการปฏิวัติใหญ่ในฝรั่งเศสขึ้นในปี 1789 เป็นการปฏิวัติของชนชั้นนายทุนฝรั่งเศสที่โค่นล้มระบอบ  ศักดินาลงไป    ตอนนั้น ชาร์ล  ฟูริเยร์  มีอายุ 17 ปี      อันเนื่องมาจากระบบการผลิตแบบศักดินาเป็นอุปสรรคต่อการขยายตัวของระบบการผลิตแบบใหม่ของทุนนิยมที่กำลังเติบใหญ่ขึ้นในฝรั่งเศส     เมื่อโค่นล้มระบอบศักดินาลงไปแล้ว     ชนชั้นปฏิวัติทั้งหลายได้แตกออกเป็นหลายขั้วอย่างชัดเจนตามแนวความคิดและอุดมคติทางการเมืองของตน   มีการตั้งกลุ่ม(คลับ)กันขึ้นมามากมาย    เช่นกลุ่มนิยมระบอบกษัตริย์ที่สมาชิกส่วนมากจะเป็นพวกขุนนาง   กลุ่มนิยมสาธารณรัฐ   กลุ่มนิยมรัฐธรรมนูญ  ไปจนถึงกลุ่มที่มีความ  คิดแบบเสรีนิยม  กระทั่งค่อนไปทางสังคมนิยม(อุดมคติ)      กลุ่มคนที่มีความคิดแตกต่างกันเหล่านี้ต่างช่วงชิงอำนาจกันจนกระทั่งกลายเป็นการเข่นฆ่าล้างผลาญกันขึ้นที่เรียกขานกันว่า “ยุคแห่งความสยดสยอง”   ฟูริเยร์  ได้ประณามการผลิตแบบทุนนิยมอย่างเผ็ดร้อน  ถึงกับกล่าวว่าการผลิตแบบทุนนิยมของชนชั้นนายทุนที่เรียกว่าเป็น “อารยะ” นั้นก็คือระบอบทาสที่เกิดขึ้นใหม่     อีกทั้งยังได้ประณามการปฏิวัติของชนชั้นนายทุนที่ชูคำขวัญ เสมอภาค เสรีภาพ ภราดรภาพ นั้นไม่ได้เกิดขึ้นจริงแต่อย่างใด  ประชาชนยังถูกทอดทิ้งให้จมอยู่ในความทุกข์ยาก   ไม่มีงานทำ  อดอยากหิวโหย    ในขณะที่ชนชั้นสูงกลับใช้ชีวิตกันอย่างหรูหราสุขสบายบนความอิ่มหนำสำราญอย่างไม่ทุกข์ร้อน

ดังนั้นฟูริเยร์จึงไม่ยอมเชื่อถือต่อการปฏิวัติใดๆทั้งสิ้น   และมีแนวคิดในการสร้างสังคมใหม่ขึ้นมาโดยไม่ต้องผ่านการปฏิวัติ      โดยอาศัยการเกลี้ยกล่อมชนชั้นนำในสังคมให้เห็นคล้อยตามความคิดของตนในการสร้างนิคมการเกษตรขึ้นมาเพราะถือว่ามันคือปัจจัยในการดำรงชีพของมนุษย์     ส่วนโรงงานอุตสาห กรรมนั้นไม่ให้รวมศูนย์อยู่ในเมือง  แต่ให้กระจายออกไปตามชนบทและในนิคมการเกษตร     นิคมตามแนวคิดของฟูริเยร์นี้จะประกอบด้วยสมาชิกที่มีความสมัครใจจำนวน 1500 – 1600 คน  ประกอบเป็นชุม ชน  ทำการผลิตตามความโดยแบ่งออกเป็นกลุ่มๆ   เพราะฟูริเยร์มีความเชื่อว่าถ้าทำงานกันเป็นกลุ่มแล้วจะเกิดความรักสามัคคีขึ้นภายในกลุ่ม   ส่วนการแบ่งปันผลผลิตนั้นจะจัดสรรให้แก่ผู้ทำการผลิต 5 ส่วน  ผู้ลงทุน 4 ส่วนและนักปราชญ์หรือนักวิชาการ 3 ส่วน    เมื่อแต่ละคนได้รับส่วนแบ่งตามกำลังความสามารถ โดยทั่วกันแล้ว  สังคมก็จะมีแต่ความสงบสุข

จะเห็นได้ว่าความคิดของฟูริเยร์นั้นยังมีความหวังอยู่กับความเมตตาของบรรดานายทุนหรือชนชั้นสูงอยู่โดยหวังให้พวกเขาอุทิศทรัพย์สินที่ได้มาจากการกดขี่ขูดรีดมาสร้างนิคมการเกษตร    และหวังว่าจะสา มารถเปลี่ยนแปลงสังคมได้ด้วย ”สันติวิธี”         เพราะมีความคิดเช่นนี้ท่านจึงคัดค้านการต่อสู้การเคลื่อนไหวปฏิวัติของมวลชนไม่ว่าในกรณีใดๆ     สังคมในอุดมคติของฟูริเยร์นั้นไม่ได้กล่าวถึงรัฐ จึงพอจะอนุมานได้ว่าปฏิเสธรัฐ     แต่ในการแบ่งปันผลผลิตของท่าน(5 : 4 : 3)   ได้แสดงออกอย่างชัดเจนถึงลักษณะของสังคมที่มีชนชั้น   จะมีก็แต่สังคมที่ปราศจากชนชั้นเท่านั้นที่รัฐไม่มีความจำเป็นใดๆในการดำรงอยู่เพราะการต่อสู้ทางชนชั้นนั้นไม่มีอยู่แล้ว

คุณูปการอันยิ่งใหญ่ของฟูริเยร์ก็คือ  ท่านได้เปิดโปงธาตุแท้ของระบอบทุนนิยมที่กำลังพัฒนาในสมัยของท่าน   โดยชี้ให้เห็นว่าสังคมทุนนิยมคือสังคมแห่งการปล้นชิงที่มีความเหี้ยมโหดไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าสังคม  ศักดินา    และแสดงให้เห็นว่ารัฐของชนชั้นนายทุนไม่ว่าจะเรียกว่าสาธารณรัฐหรืออะไรก็ตามนั้น  มันไม่ได้ เป็นรัฐของสาธารณชนหรือชนทั่วไปอย่างแท้จริง   หากแต่เป็นเพียงเครื่องมือในการกดขี่ชนชั้นอื่นเท่านั้น

โรเบิร์ต โอเวน  (1771 1858) เกิดในครอบครัวที่ยากจน  เมื่ออายุ 10 ขวบต้องออกจากบ้านไปแสวงโชคที่กรุงลอนดอนโดยไปสมัครเป็นเด็กฝึกงานในโรงงานแห่งหนึ่ง  เมื่ออายุ 19 ปี ได้ขยับฐานะขึ้นไปเป็นผู้จัดการโรงงานทอผ้าที่ใหญ่ที่สุดในเมืองแมนเชสเตอร์   หลังจากนั้นสองสามปีก็ได้ลาออกจากตำ แหน่ง     ในเวลาต่อมาได้แต่งงานกับบุตรีเจ้าของโรงงานทอผ้าใหญ่ในเมืองกลาสโกลว์,สกอตแลนด์และต่อมาก็ได้ซื้อกิจการทั้งหมดจากพ่อตามาดำเนินการเอง   จากความเชื่อที่ว่าบุคลิกภาพของคน..ด้านหนึ่งมาจากองคาพยพทางธรรมชาติ   อีกด้านหนึ่งเกิดจากสภาวะแวดล้อมโดยเฉพาะอย่างยิ่งในระยะที่กำลังเจริญวัย    แนวคิดเช่นนี้อาจจะสรุปมาจากบทเรียนและประสบการณ์จริงในชีวิตของตน   โอเว่นได้ปรับปรุงชีวิตความเป็นอยู่ของกรรมกรในโรงงานให้ดีขึ้นโดยไม่เคยมีใครทำมาก่อน      ด้วยการลดเวลาทำงานให้น้อยลงกว่ากรรมกรในที่อื่นๆลง 3 ถึง4 ชั่วโมง  ให้สวัสดิการที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิต    สร้างโรงเรียนเพื่อให้การศึกษาแก่กรรมกร    ผลลัพธ์ก็คือทำให้กิจการของเขาได้กำไรอย่างงามมากกว่าที่อื่นๆ

เขาได้เปรียบเทียบกำไรจากผลผลิตจากแรงงานของกรรมกร 2500 คนของเขาที่สามารถทำผลงานได้เท่ากับกรรมกรถึง 600,000 คนเมื่อห้าสิบปีก่อน    และเมื่อหักค่าใช้จ่ายแล้ว  ส่วนต่างของกำไรจากผล ผลิตทั้งหมดนั้นมันหายไปไหน? ....แน่นอนมันหายไปเป็นเงินปันผล 5 เปอร์เซ็นต์ให้แก่ผู้ถือหุ้น  และยังจ่ายให้เขาอีกถึง 3000,000 ปอนด์    จากแง่คิดนี้เขาเห็นว่า  พลังการผลิตขนาดมหึมานี้ควรจะใช้เป็นรากฐานในการจัดสรรผลตอบแทนเพื่อสังคม   มันควรเป็นสาธารณะสมบัติ  เพื่ออำนวยผลประโยชน์ให้แก่ประชาชนมากกว่าปัจเจกชน

เขาได้ชี้ให้เห็นว่า..นับตั้งแต่ได้มีการนำเครื่องจักรเข้ามาใช้ในการผลิต  การปฏิบัติต่อมนุษย์เป็นเสมือนหนึ่งปฏิบัติต่อเครื่องจักรที่ล้าสมัย  นายทุนสนใจแต่จะปรับปรุงคุณภาพของสินค้ามากกว่าที่จะมาสนใจส่งเสริมพัฒนาสุขภาพร่างกายและสติปัญญาของกรรมกร    เมื่อขาดการพัฒนาทางปัญญาจึงเป็นมูลเหตุให้กรรมกร(อังกฤษ)ต้องประพฤติตนออกนอกลู่นอกทาง  หยาบคาย ก้าวร้าว และติดสุรา  ในทัศนะของ เขาเห็นว่าในโลกนี้มีสิ่งเลวร้ายอยู่ 3 สิ่งคือ
1.ทรัพย์สินของเอกชนเป็นบ่อเกิดของปัญหาที่เลวร้ายทั้งปวง  ไม่ว่าจะเป็นการกดขี่ เอารัดเอาเปรียบ การปล้นชิงทรัพยากร  ความอดอยากยากจน
2.การแต่งงานที่ตั้งอยู่บนทรัพย์สินของเอกชน  เช่นการแต่งงานเพื่อประสานผลประโยชน์ไม่ว่าจะเป็นผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจหรือทางการเมือง  การคลุมถุงชนฯลฯ  เขาเรียกการแต่งงานเช่นนี้ว่าเป็นรูปแบบของการค้าประเวณีที่ถูกกฎหมาย  
3.การสมรสควรเป็นการใช้ชีวิตร่วมกันตามธรรมชาติของหญิงชาย บนพื้นฐานของความรักและความเสมอภาคทางเพศ

ส่วนแนวคิดในการดัดแปลงสังคมของโอเวนคือการสร้างชุมชนสหกรณ์ขึ้นมา  ซึ่งท่านถือว่าเป็นรากฐานของสังคม  โดยมีการผลิตที่ใช้แรงงานร่วมกัน   เป็นผลิตผลที่เป็นไปตามความต้องการในชีวิตประจำวัน  และไม่เห็นด้วยกับระบบการแบ่งปันโดยมีพ่อค้าเป็นคนกลาง  เพราะเห็นว่าพ่อค้าคนกลางมิได้มีส่วนในการสร้างมูลค่า  มีแต่จะเพิ่มราคาสินค้าโดยบวกค่าใช้จ่ายของตนเข้าไปด้วย   สหกรณ์ชนิดนี้โอเว่นเรียกมันว่า ”นิคม” (community)  แต่โอเว่นก็ยังฝากความหวังไว้กับนายทุนทั้งหลายโดยตัวเขาเองได้ลงมือสร้างนิคมขึ้นตามแบบฉบับของเขาเป็นการแสดงรูปธรรมให้ประจักษ์   เพื่อจูงใจนายทุนให้สนับสนุนแนว คิดและรูปแบบในการปรับปรุงสังคมของเขาผู้ที่จะดำเนินการได้แก่รัฐบาล  และสุดท้ายเมื่อนิคมเกษตรขยายตัวออกไปทั่วประเทศก็จะสามารถรวมตัวกันเป็นสันนิบาตนิคม    ในขั้นตอนนี้ก็ไม่จำเป็นจะต้องมีรัฐอีกต่อไป  โอเว่นเพ้อฝันว่าชนชั้นปกครอง”ผู้ทรงคุณธรรม”จะเห็นด้วยกับแนวคิดของเขา    แต่แล้วต้องพบกับความผิดหวังอย่างสิ้นเชิง เพราะอำนาจรัฐที่อยู่ในกำมือของชนชั้นนายทุนก็ย่อมจะคุ้มครองผลประโยชน์ของชนชั้นนายทุนอยู่นั่นเอง

ในความคิดเกี่ยวกับการเมือง    โอเว่นคัดค้านการเคลื่อนไหวทางการเมืองโดยเห็นว่าความสุขของประชา ชนนั้นขึ้นอยู่กับระบอบสังคมไม่ใช่การเมือง     เพราะถ้ามุ่งจะปรับปรุงแต่ระบอบการเมืองก็ไม่ทำให้เกิดประสิทธิภาพอะไรขึ้นมา  อีกทั้งไม่อาจดำเนินการปฏิรูปใดๆได้อย่างสมเหตุผล   เขาย้ำว่าการจัดตั้งนิคมไม่จำเป็นจะต้องได้มาซึ่งสิทธิในทางการเมืองใดๆ(การเลือกตั้งและสมัครรับเลือกตั้ง และการได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งในทางการเมือง)    อีกทั้งไม่สนับสนุนการหยุดงานของกรรมกร   แม้เขาจะเห็นว่าการนัดหยุดงานเป็นเครื่องมือสำคัญที่ทรงประสิทธิภาพอย่างแท้จริงของสหบาลกรรมกรก็จริง  แต่ในทางกลับกันก็จะเกิดผลร้ายหรือภัยพิบัติแก่กรรมกรได้   การนัดหยุดงานไม่สามารถนำไปสู่การปฏิรูปได้ และ   บรรดานายทุนจะหันมาใช้เครื่องจักรมากขึ้นและจ้างงานน้อยลง    เพราะความเข้าใจเช่นนี้ทำให้โอเว่นปฏิเสธทั้งการต่อสู้ทางเศรษฐกิจและการเมือง  แต่จะแก้ปัญหาสังคมด้วย”นิคมการเกษตร” เพื่อรองรับกรรมกรที่ไม่มีงานทำโดยการเรียกร้องนักการเมืองในสภาให้ช่วยเหลือผลักดันในการตั้งนิคม

เราจะเห็นว่าแนวทางสังคมนิยมอุดมคตินั้นไม่สามารถบรรลุการเปลี่ยนแปลงสังคมได้เลย  เพราะมองข้ามพลังการต่อสู้ของประชาชน    โดยส่วนใหญ่แล้วจะเป็นการหวังพึ่งหรือวิงวอนร้องขออย่าง”สันติ”ต่อผู้มีอำนาจให้มีความเมตตาซึ่งเป็นแนวทางปฏิรูป   มีลักษณะยอมจำนน   เป็นแนวคิดที่มีลักษณะด้านเดียว  เพราะพวกท่านเป็นนักมนุษยธรรม  แม้จะมองเห็นความเลวร้ายในการกดขี่เอารัดเอาเปรียบของระบอบทุนนิยม   แต่ไม่เข้าใจถึงผลประโยชน์ทางชนชั้นที่ไม่สามารถประนีประนอมกันได้   แนวทางสังคมนิยมของท่านเกิดขึ้นจากอุดมคติส่วนตัว   มีลักษณะที่อยากจะให้เป็นไปตามความต้องการของตนเอง ไม่สอดคล้องกับสภาพที่แท้จริงทางภววิสัย    จึงไม่สามารถประสบความสำเร็จในการเปลี่ยนแปลงสังคมโดยรากฐานได้  ดังนั้นนักคิดรุ่นต่อๆมาจึงขนานนามแนวทางเช่นนี้ว่า สังคมนิยมเพ้อฝันหรือสังคมนิยม ยูโธเปีย ของโธมัส มอร์      ในปัจจุบัน...แนวคิดเช่นนี้ก็ยังดำรงอยู่ตามลักษณะชนชั้นในสังคม    

ต่อมามาร์กซและเองเกลส์ได้ใช้ปรัชญาวัตถุนิยมวิภาษของท่านไปค้นคว้าวิเคราะห์สังคม     พบว่ากลุ่มคนในสังคมมีความขัดแย้งกันในด้านการผลิต  การแบ่งปันผลผลิต  อันสืบเนื่องมาจากการเป็นเจ้าของหรือการยึดครองปัจจัยการผลิตของกลุ่มชนที่มีฐานะเหนือกว่าในสังคม    ซึ่งท่านเรียกว่าความขัดแย้งทางชนชั้น    ดังนั้นหากจะทำการเปลี่ยนแปลงสังคมให้ดีขึ้นมีเพียงหนทางเดียวเท่านั้นคือชนชั้นผู้ถูกกดขี่จะต้องร่วมมือกันลุกขึ้นมาต่อสู้และโค่นล้มผู้กดขี่ลงไปแล้วสร้างสังคมใหม่ของชนชั้นตนขึ้นมาแทน    ที่ท่านเสนอเช่นนี้ไม่ใช่เพราะว่าท่านสนับสนุนความรุนแรง   หากแต่ชนชั้นผู้กดขี่ไม่ว่าที่ใดๆจะไม่มีวันยอมสูญเสียผลประโยชน์ของตนด้วยการประนีประนอม  หรือยินยอมทำตามคำร้องขอของผู้ถูกกดขี่อย่างเด็ดขาด   ไม่เพียงแต่ไม่ยินยอมยกเลิกความมีอภิสิทธิ์และการกดขี่ขูดรีดของตนเท่านั้น ยังสร้างเครื่องมือ กลไกอำนาจในการกดขี่ขึ้นมาคุ้มครองชนชั้นตนเองและควบคุมปราบปรามชนชั้นอื่นที่ไม่เห็นด้วยกับชนชั้นตนอีกด้วย เช่นอำนาจรัฐ กองกำ ลังติดอาวุธ  กฎหมาย ฯลฯ  แม้แต่ในยามสงบสันติ เมื่อประชาชนผู้ถูกกดขี่ลุกขึ้นมาเรียกร้องด้วย”สันติวิธี” ก็ยังมีความรุนแรงแฝงอยู่ในนั้น   อย่างที่ประชาชนไทยเคยได้ผ่านบทเรียนเช่นนี้มาแล้ว

สังคมนิยมของมาร์กซ มีความเป็นวิทยาศาสตร์และเรียบง่าย      ไม่ได้เกิดขึ้นมาจากความคิดเพ้อฝันใดๆทั้งสิ้น    หากแต่เกิดขึ้นจากความเป็นจริงในสังคม   สามารถปฏิบัติและจับต้องได้  มีความแตกต่างจากสังคมนิยมอุดมคติที่อุดมไปด้วยลักษณะนามธรรม   ซึ่งเกิดจากความเพ้อฝันและไม่มีวันจะเกิดขึ้นได้จริง    เนื่องจากสังคมนิยมอุดมคติ   มองไม่เห็นพลังของประชาชน    และไม่มีความเป็นวิทยาศาสตร์    แม้จะมองเห็นความขัดแย้งในผลประโยชน์ทางชนชั้น   แต่ก็ปฏิเสธการต่อสู้ทางชนชั้นซึ่งถือได้ว่าเป็นสาเหตุในการเปลี่ยนแปลงสังคม      ทั้งยังหวังพึ่งชนชั้นที่ได้เปรียบที่จะหยิบยื่นความเมตตามาให้     จึงไม่มีศักยภาพเพียงพอต่อภาระหน้าที่ทางประวัติศาสตร์ในการเปลี่ยนแปลงสังคม...และนำพาประชาชนให้หลุดพ้นจากแอกของการกดขี่ได้


No comments:

Post a Comment