Tuesday, March 24, 2015

รัฐสวัสดิการเป็นอย่างไร?

รัฐสวัสดิการ  มีรากฐานจากแนวคิดแบบสังคมนิยม ที่ค่อย ๆ ปรับให้คนมีความเท่าเทียมกันด้วยการเพิ่มพลังการผลิต ทำให้สินค้ามีมากพอสนองความต้องการของสังคม แต่ความมั่งคั่งร่ำรวย (ที่เกิดจากมูลค่าส่วนเกิน) ไม่ได้เป็นของกลุ่มทุนใหญ่อย่างในระบอบทุนนิยม เพราะผ่านการปฏิวัติสังคม เปลี่ยนแปลงโครงสร้างความสัมพันธ์ทางการผลิตไปแล้ว  กลุ่มทุนใหญ่จึงมิได้เป็นเจ้าของวิสาหกิจขนาดใหญ่ที่มีกำไรมหาศาล    แต่รัฐจะเป็นเจ้าของเสียเอง    ดังนั้นความมั่งคั่งร่ำรวยจึงไปรวมอยู่ที่รัฐ    รัฐจะร่ำรวยขึ้น ๆ  จึงสามารถจัดสรรความมั่งคั่งเหล่านี้กลับมาเป็นสวัสดิการจำนวนมากให้กับประชาชนจนเรียกกันติดปากว่า รัฐสวัสดิการได้

ทั้งนี้ แนวคิดแบบสังคมนิยมเห็นว่า การกดขี่ขูดรีดอย่างหนักของระบอบทุนนิยม จะเป็นสาเหตุสำคัญที่จะทำให้ระบอบทุนนิยมล่มสลาย เพราะชนชั้นกรรมกรผู้ใช้แรงงานซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่ของสังคมจะทนไม่ไหว ต้องลุกขึ้นสู้ ออกมาต่อต้าน หยุดงาน  เดินขบวน  ดังนั้นเพื่อหลีกเลี่ยงไม่ต้องเผชิญหน้ากับปัญหายุ่งยากใหญ่โตเหล่านี้อย่างที่ประเทศทุนนิยมรุ่นพี่ในยุโรปตะวันตกเช่น  เยอรมัน  ฝรั่งเศส อังกฤษ หรือแม้แต่สหรัฐอเมริกาในอีกทวีปหนึ่งเคยปวดหัวมาก่อน แนวคิดรัฐสวัสดิการจึงเกิดขึ้นเพื่อกำจัดจุดอ่อน    ป้องกันมิให้ชนชั้นกรรมกรผู้ใช้แรงงานลุกขึ้นมาต่อต้าน ทำให้ชนชั้นล่างรู้สึกว่าตนมีหลักประกันในสังคม ทั้ง ๆ ที่เงินที่เอามาจ่ายเป็นสวัสดิการสังคมก็เก็บมาจากเงินภาษีของชนชั้นผู้ใช้แรงงานเป็นส่วนใหญ่     

แต่วิธีการแบบนี้พวกกลุ่มทุนใหญ่หรือชนชั้นนายทุนยอมรับได้เนื่องจากยังสามารถขูดรีดมูลค่าส่วนส่วนเกินมหาศาลได้ต่อไป     ต่างกับในระบอบสังคมนิยมที่ส่วนใหญ่ของมูลค่าส่วนเกิน (ที่อยู่ในรูปของความมั่งคั่งต่าง ๆ ) นี้ได้ตกไปเป็นของรัฐ    จึงเห็นได้ว่ารัฐบาลในประเทศทุนนิยมที่ลอกเลียนระบบรัฐสวัสดิการของแนวคิดแบบสังคมนิยมไปใช้ จึงจนลงๆ ถังแตกหน้าซีดลงทุกวัน ไม่ว่าประเทศแถบสแกนดิเนเวีย ยุโรปตะวันตก ญี่ปุ่น หรือแม้แต่สหรัฐอเมริกา    สาเหตุสำคัญก็เพราะยังปล่อยให้ชนชั้นนายทุนกอบโกยขูดรีดมูลค่าส่วนเกินนี้ไปสะสมเป็นความมั่งคั่งส่วนตัวซึ่งมีมูลค่ามหาศาล   ดูได้จากรายชื่อมหาเศรษฐีอันดับต้นๆ    จะ เป็นนายทุนใหญ่จากประเทศทุนนิยมเหล่านี้เกือบทั้งหมด     

สาเหตุสำคัญที่รัฐในประเทศที่นำระบบสวัสดิการสังคมมาใช้อย่างเต็มที่ต้องยากจนถังแตกก็เพราะว่า กลุ่มทุนใหญ่โยกย้ายเงินทุนไปลงทุนในประเทศอื่นที่ไม่มีรัฐสวัสดิการหรือมีน้อย   เนื่องจากเสียภาษีน้อยกว่ามาก  กำไรจึงงดงามกว่า   เงินกำไรที่ได้ก็ไม่เอากลับประเทศ  จะได้ไม่ต้องเสียภาษี แต่เอาไปลงทุนต่อในประเทศที่ส่งเสริมการลงทุนมาก ๆ (ไทยไม่ต้องเสียภาษี 8 ปี อีก 5 ปีหลังจากนั้นเสียแค่ครึ่งเดียว ประเทศอื่น ๆ มีเงื่อนไขล่อใจมากกว่านี้อีก)  ทำให้การลงทุนจ้างงานในประเทศทุนนิยมที่มีรัฐสวัสดิการสูงลดน้อยลง คนว่างงานมหาศาล บางประเทศอย่างสเปนว่างงานถึง 25 % คนที่เดินสวนกับเราทุก ๆ 4 คนจะว่างงาน 1 คน ในสหรัฐอเมริกาก็ว่างงาน 8-9 % ซึ่งมากกว่าไทย 20 เท่า ของไทยราว 0.4 %

เมื่อนายทุนใหญ่ ๆ ต่างก็พากันหันไปลงทุนต่างประเทศ รัฐก็เก็บภาษี (แบบโหด ๆ 40 กว่า %) ได้น้อย  แถมคนว่างงานเพราะไม่มีการลงทุนเปิดโรงงานใหม่ ๆ หรือการค้า การบริการต่าง ๆ ที่ต้องใช้แรงงานมาก ๆ เพิ่ม (ค่าแรงก็แพงจัด มากกว่าไทย 10 เท่าหรือกว่านั้น) รัฐก็ต้องจ่ายสวัสดิการคนว่างงาน แถมเก็บภาษีรายได้จากคนว่างงานไม่ได้อีก อย่างนี้จะไม่ให้รัฐบาลเหล่านี้ยากจนหน้าซีดได้อย่างไร


ในภาษากำลังภายในเขาบอกว่า มันลอกเลียนได้แต่กระบวนท่าแต่ไม่รู้เคล็ดวิชา  เพราะเคล็ดวิชานี้มันต้องปฏิวัติเปลี่ยนแปลงความสัมพันธ์ทางการผลิตเสียก่อน ซึ่งชนชั้นนายทุนไม่ยอมแน่  อย่างไรก็ตาม ชนชั้นนายทุนก็ใช้กลยุทธ์นี้ยืดอายุระบอบทุนนิยมออกไปได้หลายสิบปี  แถมยังตบตาพวกนักสังคมนิยมไร้เดียงสาให้โหยหาแต่รัฐสวัสดิการเสียเองอีก  แทนที่จะเรียกร้องให้คว่ำระบอบทุน !

กล่าวสำหรับประเทศไทย ปัญหานี้อาจจะไม่ใช่ปัญหาเฉพาะหน้า เพราะตราบใดที่ ทุนผูกขาดศักดินาเหนือรัฐ ยังควบคุมได้ทุกอย่าง เราต้องผ่านด่านสำคัญนี้ไปก่อน  เพื่อจัดการมิให้ ทุนผูกขาดศักดินาเหนือรัฐ   ขัดขวางพลังการผลิต   กดขี่ขูดรีด   กอบโกยความมั่งคั่งไว้จนร่ำรวยมหาศาล  ไม่เช่นนั้นการพูดถึงรัฐสวัสดิการไปก็ไม่มีความหมาย

ที่สำคัญเมื่อต่อสู้เปลี่ยนแปลงสังคมจนประชาชนได้อำนาจรัฐ มีอำนาจอธิปไตยอย่างแท้จริงแล้ว ยังต้องส่งเสริมให้ระบอบเศรษฐกิจแบบทุนนิยมเจริญก้าวหน้าไปอีกระยะยาวช่วงหนึ่ง   จนกระทั่งความ สัมพันธ์ทางการผลิต (ใครมีกรรมสิทธิ์ในปัจจัยการผลิตต่าง ๆ ใครเป็นเจ้าของมูลค่าส่วนเกิน ใครเป็นผู้กำหนดการแบ่งปันมูลค่าส่วนเกิน) มันเริ่มสร้างปัญหา  ขัดขวางพลังการผลิตของสังคม ก็จึงค่อย ๆ ดำเนินการต่อไป   แต่เมื่อถึงตอนนั้นอำนาจรัฐอยู่ในมือของประชาชนแล้ว        วิธีการจัดการเปลี่ยน แปลงความสัมพันธ์ทางการผลิตก็จะแตกต่างกับปัจจุบัน

สวัสดิการสังคม จึงเป็นหลักประกันที่สำคัญอย่างหนึ่งของสังคมตามแนวคิดแบบสังคมนิยม  ประชา ชนจะต้องได้รับหลักประกันนี้อย่างทั่วถึง มีคุณภาพ  เสมอภาค  และเท่าเทียมกัน แต่รัฐสวัสดิการจะเกิดขึ้นได้อย่างแท้จริงและยั่งยืนนั้น ประชาชนต้องได้อำนาจรัฐมาก่อน  หากยังมองไม่ทะลุปัญหานี้ รัฐสวัสดิการก็แค่ถูกใช้เป็นเครื่องมือยืดอายุของระบอบทุน หรือไม่ก็เป็นแค่ความเพ้อฝันลม ๆ แล้ง ๆ
สำหรับสังคมไทย อย่าว่าแต่ยึดอำนาจรัฐให้เป็นของประชาชนเลย แค่ประชานิยมยังกลายเป็นผู้ร้ายต้องจับเข้าคุกเข้าตาราง....  หรือว่าท่านผู้อ่านเห็นเป็นเช่นใด

No comments:

Post a Comment