ทั้งนี้
แนวคิดแบบสังคมนิยมเห็นว่า การกดขี่ขูดรีดอย่างหนักของระบอบทุนนิยม
จะเป็นสาเหตุสำคัญที่จะทำให้ระบอบทุนนิยมล่มสลาย
เพราะชนชั้นกรรมกรผู้ใช้แรงงานซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่ของสังคมจะทนไม่ไหว
ต้องลุกขึ้นสู้ ออกมาต่อต้าน หยุดงาน เดินขบวน
ดังนั้นเพื่อหลีกเลี่ยงไม่ต้องเผชิญหน้ากับปัญหายุ่งยากใหญ่โตเหล่านี้อย่างที่ประเทศทุนนิยมรุ่นพี่ในยุโรปตะวันตกเช่น
เยอรมัน ฝรั่งเศส อังกฤษ
หรือแม้แต่สหรัฐอเมริกาในอีกทวีปหนึ่งเคยปวดหัวมาก่อน แนวคิดรัฐสวัสดิการจึงเกิดขึ้นเพื่อกำจัดจุดอ่อน
ป้องกันมิให้ชนชั้นกรรมกรผู้ใช้แรงงานลุกขึ้นมาต่อต้าน
ทำให้ชนชั้นล่างรู้สึกว่าตนมีหลักประกันในสังคม ทั้ง ๆ
ที่เงินที่เอามาจ่ายเป็นสวัสดิการสังคมก็เก็บมาจากเงินภาษีของชนชั้นผู้ใช้แรงงานเป็นส่วนใหญ่
แต่วิธีการแบบนี้พวกกลุ่มทุนใหญ่หรือชนชั้นนายทุนยอมรับได้เนื่องจากยังสามารถขูดรีดมูลค่าส่วนส่วนเกินมหาศาลได้ต่อไป
ต่างกับในระบอบสังคมนิยมที่ส่วนใหญ่ของมูลค่าส่วนเกิน
(ที่อยู่ในรูปของความมั่งคั่งต่าง ๆ ) นี้ได้ตกไปเป็นของรัฐ
จึงเห็นได้ว่ารัฐบาลในประเทศทุนนิยมที่ลอกเลียนระบบรัฐสวัสดิการของแนวคิดแบบสังคมนิยมไปใช้
จึงจนลงๆ ถังแตกหน้าซีดลงทุกวัน ไม่ว่าประเทศแถบสแกนดิเนเวีย ยุโรปตะวันตก ญี่ปุ่น
หรือแม้แต่สหรัฐอเมริกา สาเหตุสำคัญก็เพราะยังปล่อยให้ชนชั้นนายทุนกอบโกยขูดรีดมูลค่าส่วนเกินนี้ไปสะสมเป็นความมั่งคั่งส่วนตัวซึ่งมีมูลค่ามหาศาล ดูได้จากรายชื่อมหาเศรษฐีอันดับต้นๆ จะ เป็นนายทุนใหญ่จากประเทศทุนนิยมเหล่านี้เกือบทั้งหมด
สาเหตุสำคัญที่รัฐในประเทศที่นำระบบสวัสดิการสังคมมาใช้อย่างเต็มที่ต้องยากจนถังแตกก็เพราะว่า
กลุ่มทุนใหญ่โยกย้ายเงินทุนไปลงทุนในประเทศอื่นที่ไม่มีรัฐสวัสดิการหรือมีน้อย เนื่องจากเสียภาษีน้อยกว่ามาก กำไรจึงงดงามกว่า เงินกำไรที่ได้ก็ไม่เอากลับประเทศ
จะได้ไม่ต้องเสียภาษี
แต่เอาไปลงทุนต่อในประเทศที่ส่งเสริมการลงทุนมาก ๆ (ไทยไม่ต้องเสียภาษี 8 ปี อีก 5 ปีหลังจากนั้นเสียแค่ครึ่งเดียว
ประเทศอื่น ๆ มีเงื่อนไขล่อใจมากกว่านี้อีก) ทำให้การลงทุนจ้างงานในประเทศทุนนิยมที่มีรัฐสวัสดิการสูงลดน้อยลง
คนว่างงานมหาศาล บางประเทศอย่างสเปนว่างงานถึง 25 % คนที่เดินสวนกับเราทุก
ๆ 4 คนจะว่างงาน 1 คน
ในสหรัฐอเมริกาก็ว่างงาน 8-9 % ซึ่งมากกว่าไทย 20 เท่า ของไทยราว 0.4 %
เมื่อนายทุนใหญ่
ๆ ต่างก็พากันหันไปลงทุนต่างประเทศ รัฐก็เก็บภาษี (แบบโหด ๆ 40 กว่า %) ได้น้อย แถมคนว่างงานเพราะไม่มีการลงทุนเปิดโรงงานใหม่
ๆ หรือการค้า การบริการต่าง ๆ ที่ต้องใช้แรงงานมาก ๆ เพิ่ม (ค่าแรงก็แพงจัด
มากกว่าไทย 10 เท่าหรือกว่านั้น)
รัฐก็ต้องจ่ายสวัสดิการคนว่างงาน แถมเก็บภาษีรายได้จากคนว่างงานไม่ได้อีก
อย่างนี้จะไม่ให้รัฐบาลเหล่านี้ยากจนหน้าซีดได้อย่างไร
กล่าวสำหรับประเทศไทย
ปัญหานี้อาจจะไม่ใช่ปัญหาเฉพาะหน้า เพราะตราบใดที่ ทุนผูกขาดศักดินาเหนือรัฐ
ยังควบคุมได้ทุกอย่าง เราต้องผ่านด่านสำคัญนี้ไปก่อน เพื่อจัดการมิให้ ทุนผูกขาดศักดินาเหนือรัฐ ขัดขวางพลังการผลิต กดขี่ขูดรีด กอบโกยความมั่งคั่งไว้จนร่ำรวยมหาศาล
ไม่เช่นนั้นการพูดถึงรัฐสวัสดิการไปก็ไม่มีความหมาย
ที่สำคัญเมื่อต่อสู้เปลี่ยนแปลงสังคมจนประชาชนได้อำนาจรัฐ
มีอำนาจอธิปไตยอย่างแท้จริงแล้ว
ยังต้องส่งเสริมให้ระบอบเศรษฐกิจแบบทุนนิยมเจริญก้าวหน้าไปอีกระยะยาวช่วงหนึ่ง จนกระทั่งความ สัมพันธ์ทางการผลิต
(ใครมีกรรมสิทธิ์ในปัจจัยการผลิตต่าง ๆ ใครเป็นเจ้าของมูลค่าส่วนเกิน
ใครเป็นผู้กำหนดการแบ่งปันมูลค่าส่วนเกิน) มันเริ่มสร้างปัญหา ขัดขวางพลังการผลิตของสังคม ก็จึงค่อย ๆ ดำเนินการต่อไป
แต่เมื่อถึงตอนนั้นอำนาจรัฐอยู่ในมือของประชาชนแล้ว
วิธีการจัดการเปลี่ยน
แปลงความสัมพันธ์ทางการผลิตก็จะแตกต่างกับปัจจุบัน
สวัสดิการสังคม
จึงเป็นหลักประกันที่สำคัญอย่างหนึ่งของสังคมตามแนวคิดแบบสังคมนิยม ประชา ชนจะต้องได้รับหลักประกันนี้อย่างทั่วถึง
มีคุณภาพ เสมอภาค และเท่าเทียมกัน
แต่รัฐสวัสดิการจะเกิดขึ้นได้อย่างแท้จริงและยั่งยืนนั้น
ประชาชนต้องได้อำนาจรัฐมาก่อน หากยังมองไม่ทะลุปัญหานี้
รัฐสวัสดิการก็แค่ถูกใช้เป็นเครื่องมือยืดอายุของระบอบทุน
หรือไม่ก็เป็นแค่ความเพ้อฝันลม ๆ แล้ง ๆ
สำหรับสังคมไทย
อย่าว่าแต่ยึดอำนาจรัฐให้เป็นของประชาชนเลย
แค่ประชานิยมยังกลายเป็นผู้ร้ายต้องจับเข้าคุกเข้าตาราง.... หรือว่าท่านผู้อ่านเห็นเป็นเช่นใด
No comments:
Post a Comment