Friday, July 24, 2015

รุนแรงหรือไม่รุนแรง

รุนแรงหรือไม่รุนแรง ?   แปลโดย  สามัญชน

ปัญหาที่เกี่ยวข้องกับรัฐนั้นย่อมเชื่อมโยงอยู่กับความรุนแรงอยู่แล้ว      ชนชั้นปกครองมีเครื่องมือสำเร็จหลากหลายรูปแบบเพื่อใช้ในการคุกคาม     ไม่ว่าจะเป็นกองทัพ  ตำรวจ  ตำรวจลับ  ศาล   คุกตะราง  นักกฎหมาย   ผู้พิพากษา   รวมไปถึงผู้คุม      บรรดาผู้ประท้วงต่างได้รับบทเรียนอันล้ำค่าจากทฤษฎีลัทธิมาร์กซที่ว่าด้วย รัฐ อย่างสมบูรณ์แบบจากกระบองของตำรวจซึ่งไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรเลย   เพราะประวัติศาสตร์ส่วนใหญ่ได้แสดงให้เห็นอยู่แล้วว่าชนชั้นปกครองไม่เคยยินยอมสละความมั่งคั่ง   อำนาจ และอภิสิทธิ์โดยปราศจากการต่อสู้อีกทั้งเป็นการต่อสู้ที่ไร้กฎกฎเกณฑ์กติกาอีกด้วย    การเคลื่อนไหวปฏิวัติใดๆจะต้องถูกต่อต้านจากเครื่องมือที่ใช้กดขี่ของรัฐเสมอ

นักลัทธิมาร์กซมีทัศนะต่อความรุนแรงอย่างไร?      ชนชั้นนายทุนและผู้ปกป้องทั้งหลายจะกล่าวให้ร้ายลัทธิมาร์กซอยู่เสมอ      ซุ้งเป็นเรื่องที่ตลกสิ้นดี     เราลองมาพิจารณาดูคลังอาวุธที่ชนชั้นปกครองที่กองสุมไว้       กองทัพที่พรั่งพร้อมไปด้วยอาวุธหนักเบาทั้งหลาย  ตำรวจ  คุกตะรางและอื่นๆอีกนับไม่ถ้วน     จะเห็นได้ว่าชนชั้นปกครองไม่ได้ต่อต้านความรุนแรงเลยแม้แต่น้อย     ในความเป็นจริง..พวกเขาปกครองด้วยความรุนแรงอยู่แล้วในหลากหลายรูปแบบ     แต่มีความรุนแรงเพียงรูปแบบเดียวเท่านั้นที่พวกเขาเกลียดชังนั่นก็คือ        เมื่อคนจนผู้ถูกกดขี่และมวลชนผู้ถูกเอารัดเอาเปรียบพยายามที่จะปกป้องตนเองโดยการลุกขึ้นมาต่อต้านความรุนแรงขององค์กรอำนาจรัฐของชนชั้นนายทุนที่กระทำต่อพวกเขา      นั่นหมายถึงการต่อต้านความรุนแรงโดยตรง  ซึ่งก็คือการกดขี่ทางชนชั้น  อำนาจ และระบอบกรรมสิทธิ์ของชนชั้นปกครอง

มันเกิดขึ้นโดยไม่ต้องกล่าวว่าเราไม่ได้สนับสนุนความรุนแรง   เราได้เตรียมที่จะใช้ทุกวิธีที่ประชาธิป  ไตยของชนชั้นนายทุนที่อนุญาตและเปิดทางให้  แต่เราจะต้องไม่อยู่ภายใต้สิ่งลวงตา        ภายใต้ประ ชาธิปไตยชนชั้นนายทุนที่เป็นเสมือนม่านบังตา       มันได้ช่อนเร้นความเป็นเผด็จการของบรรดานายธนาคารใหญ่และบริษัทขนาดใหญ่ทั้งหลายเอาไว้     ในขณะที่ประชาชนได้รับการบอกเล่าว่า   พวกเขาสามารถใช้วิถีทางประชาธิปไตยในการตัดสินใจเลือกแนวทางใดๆก็ได้โดยผ่านการเลือกตั้ง      ในความเป็นจริง..การตัดสินใจอยู่ที่กลุ่มผู้กุมอำนาจเพียงไม่กี่คน        ผลประโยชน์ของชนชั้นนายทุนจำนวนเพียงหยิบมือเดียวมักมีน้ำหนักมากกว่าคะแนนเสียงของประชาชนธรรมดานับล้านๆคน    ความหมายที่แท้จริงของรูปแบบประชาธิปไตยชนชั้นนายทุนก็คือ   ทุกคนสามารถพูดได้ตามที่ตนเองต้องการตราบ    เท่าที่เจ้าของธุรกิจขนาดมหึมายังเป็นผู้ตัดสินใจว่า  จะให้เกิดอะไรขึ้นในประเทศนี้

ความเป็นเผด็จการของธุรกิจขนาดมหึมานี้ซ่อนอยู่ภายใต้หน้ากากที่ยิ้มแย้ม     แต่เมื่อใดที่เกิดวิกฤตหน้ากากที่เมตตาของ ”ประชาธิปไตย”    จะกะเทาะออกมาปรากฎให้เห็นใบหน้าที่น่าชังของเผด็จการชนชั้นนายทุนออกมาให้เห็น     ปัญหาก็คือ...ไม่ว่าอย่างไรประชาชนเราก็มีสิทธิ์ที่จะต่อต้านเผด็จการพวกนี้และขับไล่..โค่นล้มมันลงไป     คำตอบมันมีมานานแล้วเมื่อประชาชนอเมริกันได้ลุกขึ้นสู้พร้อมกับอาวุธในมือ เพื่อปกป้องสิทธิของตนจากการกดขี่ของทรราชแห่งจักรวรรดิ์อังกฤษ      เรื่องนี้ได้รับการแก้ไขเป็นพิเศษในรัฐธรรมนูญของสหรัฐฯ  ที่ปกป้องสิทธิของประชาชนในการใช้อาวุธเป็นหลักประกันของเสรีภาพ        บรรดาเชษฐบุรุษ” ผู้ก่อตั้งชาติได้ให้การสนับสนุนสิทธิของประชาชนในการลุกขึ้นสู้ด้วยอาวุธเพื่อต่อต้านรัฐบาลทรราช     รัฐธรรมนูญฉบับนิวแฮมเชียร์ ปี 1784  ได้เขียนไว้ว่า  “การไม่ต่อต้านอำนาจที่ไม่ชอบธรรมและกดขี่เป็นเรื่องที่เลวร้าย    เป็นพฤติกรรมเยี่ยงทาส    และเป็นการทำลายคุณความดีและความสงบสุขของงมนุษยชาติ”   

การปฏิวัติทุกครั้งในประวัติศาสตร์ รวมไปถึงการปฏิวัติใหญ่ของประชาชนอเมริกา    ได้แสดงให้เห็นถึงความถูกต้องของมาร์กซที่เขียนว่า “กำลัง...คือนางผดุงครรภ์ที่ทำคลอดสังคมใหม่จากครรภ์ของสังคมเก่า”    อย่างไรก็ตาม... นโยบายขั้นแรกสุดของลัทธิมาร์กซที่เองเกลส์ได้เขียนอธิบายไว้ใน “หลักการของลัทธิคอมมิวนิสต์”  ถึงคำถามข้อ 16 ว่า

คำถาม   มีความเป็นไปได้แค่ไหน  ในการยกเลิกทรัพย์สินส่วนบุคคลโดยสันติวิธี?
ตอบ   มันเป็นความปรารถนาของเราที่จะให้เป็นเช่นนั้น       และชาวคอมมิวนิสต์ถือว่านั้นเป็นเรื่องสุด ท้ายที่จะต้องคัดค้าน     ชาวคอมมิวนิสต์รู้เป็นอย่างดีว่าแผนงานที่ต่อเนื่องเช่นนี้ไม่ใช่เป็นเพียงเรื่องที่เปล่าประโยชน์แม้ว่าจะเป็นเรื่องที่น่าวิตกก็ตาม       พวกเขายังรู้ดีว่าการปฏิวัติไม่ได้ทำกันอย่างเจาะจงและไร้กฎเกณฑ์แต่จะเกิดขึ้นได้ในทุกหนทุกแห่งและทุกเวลา     ผลที่ออกมาของสถานการณ์ทั้งหมดไม่ได้ขึ้นอยู่กับความต้องการและการนำของพรรคที่แน่นอนใดๆหรือของชนชั้นทั้งชนชั้น  แต่ในขณะ เดียวกันก็สามารถสังเกตเห็นได้ถึงพัฒนาการของชนชั้นกรรมาชีพที่ถูกบังคับกดขี่ในปะเทศที่อารยะแล้ว     ดังนั้นจากสิ่งเหล่านี้ชาวคอมมิวนิสต์จึงแนวโน้มที่จะสนับสนุนการปฏิวัติในทุกวิถีทาง      สมควรกระตุ้น ให้ชนชั้นกรรมาชีพที่ถูกกดขี่ให้เข้าร่วมในการปฏิวัติ        นั่นเป็นสาเหตุให้เราชาวคอมมิวนิสต์จะปก ป้องชนชั้นกรรมาชีพด้วยการกระทำเหมือนเช่นเราได้ประกาศไว้ (Engels, Principles of Communism, Marx and Engels Selected Works, Vol. I, p. 89.)
 
เป็นความจริงที่ว่าเมื่อชนชั้นกรรมกรได้มีการจัดตั้งและเคลื่อนไหวเพื่อที่จะเปลี่ยนแปลงสังคมที่ไม่มีรัฐ  ไม่มีกองทัพ  หรือตำรวจมาคอยขัดขวาง      เก้าในสิบครั้ง..ไม่ว่าการลุกขึ้นสู้ในช่วงสถานการณ์ปฏิวัติ    ชนชั้นปกครองจะเป็นผู้ก่อความรุนแรงขึ้นก่อนเสมอเพราะมีอำนาจ     ดังนั้นในทางกลับกัน..  อันตรายจากความรุนแรงเมื่อคิดตามสัดส่วนแล้ว   ไม่ได้เป็นความต้องการของชนชั้นกรรมาชีพในการต่อสู้เพื่อเปลี่ยนแปลงสังคมเลย     เหมือนที่ชาวโรมันโบราณพูดอยู่เสมอๆว่า “” ถ้าต้องการสันติภาพ..จงเตรียมทำสงคราม” (Si pacem vis para bellum)
 
อย่างไรก็ตาม    นั่นก็ไม่ได้หมายว่าเราสนับสนุนการกระทำด้วยความรุนแรง ที่นั่น ที่นี่โดยกลุ่มคนหรือ โดยตัวบุคคล   เช่นการก่อจราจลโดยไม่มีสาเหตุ   ปากระจก  วางเพลิง ฯลฯ  สิ่งเหล่านี้ได้สะท้อนถึงความโกรธแค้นและไม่พอใจของผู้คน   โดยเฉพาะคนว่างงานและคนหนุ่มที่ถูกปลดออกจากงาน ที่รู้สึกว่าไม่มีความเป็นธรรมในสังคมชนชั้น    แต่การแสดงออกเช่นนี้ไม่ได้ก่อผลในทางบวกเลย     พวกเขาเป็นเพียงชั้นชนที่แปลกแยกของชนชั้นกรรมกรอันไพศาล       และยังเปิดโอกาสให้แก่ชนชั้นปกครองสา  มารถมีข้ออ้างที่จะใช้กำลังของรัฐอย่างเต็มที่ในการปราบปรามการเคลื่อนไหวทั่วๆไปอีกด้วย   พลังทางสังคมชนิดหนึ่งที่มีความเข้มแข็งมากกว่าแม้แต่กองกำลังของรัฐ    นั่นก็คือพลังของชนชั้นกรรมกรซึ่งในไม่ช้าจะถูกจัดตั้งขึ้นเพื่อเคลื่อนไหวในการเปลี่ยนแปลงสังคม     ทันทีที่กองกำลังมหึมานี้เคลื่อนไหวมันจะไม่มีพลังใดๆในโลกที่จะยับยั้งได้    หากกรรมกรนับล้านๆเคลื่อนไหวจนถึงที่สุด     พลังของมันจะสามารถโค่นระบอบที่กดขี่ลงไปได้       ปัญหาอยู่ที่การนำและองค์กรของชนชั้นกรรมกรเอง

จะทำอย่างไรดี
การนำองค์กรมวลชนเริ่มต้นที่สหภาพแรงงาน    แต่ทุกแห่งเป็นเรื่องที่น่าเสียใจ     ภาพที่ฉายออกมา เป็นภาพที่ชนชั้นกรรมกรถูกพิชิตอันเนื่องมาจากการนำที่ไม่ดี    เป็นที่เข้าใจกันดีว่า เยาวชนคนหนุ่มสาวต่างไม่สบอารมณ์กับบทบาทการนำในปัจจุบันนี้     จึงมุ่งสู่แนวคิดและการแก้ปัญหาแบบอนาธิปไตย      ในหลายๆกรณี...  ผู้ที่เรียกตัวเองว่าเป็นนักอนาธิปไตยนั้นไม่มีความรู้แม้กระทั่งเรื่องทฤษฎีและประวัติ ศาสตร์ของลัทธิอนาธิปไตยเลย     หลักการอนาธิปไตยของพวกเขาไม่ใช่ลัทธิอนาธิปไตยอย่างแน่นอน มันเป็นเพียงปฏิกิริยาต่อต้านลัทธิขุนนางและลัทธิปฏิรูปเท่านั้น    เมื่อพวกเขาพูดว่า ..“เราต่อต้านการ เมือง” พวกเขาหมายถึง ”เราต่อต้านการเมืองที่เป็นอยู่นี้    ซึ่งมันไม่ได้เป็นตัวแทนของประชาชนอย่างแท้จริง”    เมื่อเขาพูดว่า “เราไม่ต้องการพรรคและผู้นำ!    พวกเขาจะหมายถึง... “เราไม่ต้องการพรรคการเมืองและผู้นำในปัจจุบันที่ตีตัวออกจากสังคม และรักษาผลประโยชน์ส่วนตัวและของนายทุนที่หนุนหลังพวกเขาเท่านั้น”

ลัทธิอนาธิปไตย  จริงๆแล้วมันเป็นแค่เปลือกนอกที่ยังไม่สมบูรณ์ของพรรคบอลเชวิคที่มีนักปฏิวัติลัทธิมาร์กซเท่านั้น     แต่มันได้ใจเยาวชนคนหนุ่มสาวผู้มีความปรารถนาที่จะเปลี่ยนแปลงสังคมอย่างสุดจิตสุดใจ       หลายๆคนในหมู่พวกเขาจะรู้สึกถึงข้อจำกัดในความคิดของนักอนาธิปไตยและวิธีการต่างๆ     และเพื่อแสวงหาทางเลือกที่ปฏิวัติกว่า       แต่การขาดการนำที่ถูกต้องและขาดนโยบายที่ชัดเจนในการ เคลื่อนไหวต่อสู้ทำให้จำนวนคนที่เข้าร่วมลดลงตลอดเวลา    จากประสบการณ์ที่เจ็บปวดนี้กรรมกรและเยาวชนรุ่นใหม่เริ่มเข้าใจธรรมชาติของปัญหาที่วางอยู่เบื้องหน้า       และเริ่มเข้าใจทีละน้อยถึงความต้องการแก้ปัญหาอย่างถึงรากถึงโคน    องค์ประกอบที่ดีเลิศสำหรับการเริ่มต้นที่จะตระหนักว่าวิธีที่จะหลุดพ้นจากทางตันได้ ก็คือการฟื้นฟูการปฏิวัติสังคม      

มันไม่ใช่เรื่องง่ายๆเลยสำหรับเรื่องนี้   แต่แน่นอน..ไม่มีสิ่งดีๆอะไรที่ง่ายในชีวิต   ก้าวแรกที่สำคัญคือการปฏิเสธสังคมที่กำลังดำรงอยู่นี้   ไม่ว่าจะเป็นสถาบันของมัน  คุณค่าและจริยธรรมของมัน   นี่คือย่างก้าวที่ง่ายที่สุดบนเส้นทางที่หลากหลาย... มันไม่ใช่เรื่องยากที่จะประท้วงหรือปฏิเสธ    แต่อะไรละที่มีความจำเป็น...ก็คือคำพูดที่ปราศจากข้อสงสัยว่า “ จะทำอย่างไรกัน ?”  
สิ่งสำคัญที่จะต้องเน้นคือ      ความจำเป็นที่จะต้องมีจิตสำนึกแนวคิดที่แจ่มชัดรวมไปถึงนโยบายและยุทธวิธี     ความผิดพลาดทางทฤษฎีเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะนำไปสู่ความผิดพลาดทางการปฏิบัติ     นี่ไม่ใช่การทดสอบทางวิชาการ     การต่อสู้ทางชนชั้นไม่ใช่การเล่นเกมส์       และในประวัติศาสตร์นั้นอุดมไปด้วยตัวอย่างนานาชนิดที่แสดงถึงความไม่ชัดเจนในทางการเมืองอันจะนำไปสู่โศกนาฏกรรมที่เศร้าสลดซึ่งติดตามมา     ประเทศสเปนเมื่อทศวรรษที่ 1930 คือกรณีตัวอย่าง

ในขั้นตอนแรกของการปฏิวัติ  สิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้คือการรวมกันของความไร้เดียงสาและสิ่งลวงตาทุกชนิด    แต่สิ่งลวงตาเหล่านั้นจะถูกทำลายลงไปโดยเหตุการณ์ที่เป็นจริง      การเคลื่อนไหวเป็นการทดสอบและข้อผิดพลาด...มันต้องการเวลาสำหรับการเรียนรู้    หากมีพรรคลัทธิมาร์กซที่มีรากฐานมวล ชนและมีความเข้มแข็งในทางการเมืองอยู่     กระบวนการเรียนรู้ก็จะเป็นไปได้อย่างรวดเร็วโดยไม่มีข้อ ข้อสงสัย     และแน่นอน..มันอาจจะเพรี่ยงพล้ำและถดถอยบ้างแต่ก็เพียงเล็กน้อย   ถ้ายังไม่มีพรรคการ เมืองแบบนั้น  ... ก็มีความจำเป็นที่จะสร้างพรรคขึ้นมาอย่างเร่งด่วน

ความสับสน..การขาดนโยบาย   การถกเถียงที่ไม่มีข้อสรุปคือการการเคลื่อนไหวที่ไม่เป็นคุณ   ถ้าต้อง การให้การเคลื่อนไหวสำเร็จลุล่วง....จะต้องติดอาวุธทางความคิดที่ชัดเจนและมีนโยบายสอดคล้องกับการปฏิวัติ     และนั่น...ลัทธิมาร์กซสามารถตอบสนองได้   กรรมกรและเยาวชนได้แสดงออกถึงสติปัญ  ญาและเริ่มต้นได้อย่างยอดเยี่ยม       บัดนี้ทุกอย่างนั้นขึ้นอยู่กับความสามารถของนักปฏิวัติซึ่งประกอบ กับกรรมกร และ นักศึกษา เยาวชนที่จะนำพาไปสู่บทสรุป    ติดอาวุธด้วยนโยบายของการปฏิวัติที่แท้ จริง..ที่พวกศัตรูไม่อาจเอาชนะได้

คัดมาจากบางตอนของบทความขนาดยาว  เรื่อง  “ลัทธิมาร์กซหรือลัทธิอนาธิปไตย” ของ อลัน วูดส์   


Wednesday, July 15, 2015

รัฐเสรีนิยมใหม่...

รัฐเสรีนิยมใหม่ในภาคปฏิบัติ   

ลักษณะทั่วไปของรัฐในยุคเสรีนิยมใหม่เป็นสิ่งที่ยากจะบรรยายเพราะเหตุผลสองประการด้วยกัน ประการแรก การบิดเบนอย่างเป็นระบบจากต้นแบบของทฤษฎีเสรีนิยมใหม่เป็นสิ่งที่เห็นได้ในทันที ซึ่งไม่อาจนิยามด้วยความขัดแย้งภายในที่กล่าวถึงข้างต้นได้ทั้งหมด

ประการที่สอง พลวัตเชิงวิวัฒนาการของลัทธิเสรีนิยมใหม่ มีลักษณะที่บังคับให้เกิดการประยุกต์ที่แตกต่างกันอย่างมากในแต่ละสถานที่และในแต่ละช่วงเวลา ความพยายามใด ๆ ที่จะสร้างภาพรวมที่เป็นแม่แบบของรัฐเสรีนิยมใหม่ จากสภาพภูมิศาสตร์เชิงประวัติศาสตร์ที่ไม่แน่นอนและเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วนี้ ดูคล้ายภารกิจของคนโง่ กระนั้นก็ตาม ผู้เขียนคิดว่าคงมีประโยชน์ไม่น้อย หากวางเค้าโครงคำอธิบายโดยรวมบางประการ ซึ่งจะชี้ให้เห็นมโนทัศน์เกี่ยวกับรัฐเสรีนิยมใหม่ได้แจ่มชัดขึ้น

ความพยายามที่จะฟื้นฟูอำนาจของชนชั้นมักสร้างความบิดเบือนขึ้นมา และในบางกรณีก็ถึงขั้นพลิกกลับทฤษฎีเสรีนิยมใหม่ในภาคปฏิบัติเลยทีเดียว ความบิดเบือนนี้เกิดขึ้นในสองภาคส่วนคือ

ประการแรก เกิดจากความจำเป็นในการสร้าง "ภาคธุรกิจที่ดีหรือบรรยากาศเพื่อการลงทุน" สำหรับการประกอบการในระบบทุนนิยม ในขณะที่เงื่อนไขบางอย่าง เช่น ความมีเสถียรภาพทางการเมือง การเคารพกฎหมาย หรือการใช้กฎหมายอย่างเป็นธรรมต่อทุกฝ่าย ทั้งหมดนี้อาจพอจะถือได้ว่ามีลักษณะ "เป็นกลางทางชนชั้น" แต่ก็มีเงื่อนไขอื่น ๆ ที่เห็นได้ชัดว่าลำเอียง โดยเฉพาะความลำเอียงที่เกิดขึ้นจากการปฏิบัติต่อแรงงานและสิ่งแวดล้อมในฐานะสินค้า เมื่อเกิดความขัดแย้งขึ้น รัฐเสรีนิยมใหม่มักเข้าข้างการมีบรรยากาศการทำธุรกิจที่ดี โดยมีอคติต่อสิทธิส่วนรวม (และคุณภาพชีวิต) ของแรง งานหรือความสามารถในการฟื้นฟูตัวเองของสิ่งแวดล้อม

ประการที่สอง ในสถานการณ์ของความขัดแย้งข้างต้น จะมีความลำเอียงเกิดขึ้นด้วย กล่าวคือ รัฐเสรีนิยมใหม่มักเข้าข้างความมั่นคงของระบบการเงิน    และสภาพคล่องของสถาบันทางการเงินมากกว่าความอยู่ดีกินดีของประชากรหรือคุณภาพของสิ่งแวดล้อม อคติอย่างเป็นระบบทั้งสองประการนี้ใช่ว่าจะมองทะลุให้เห็นง่าย ๆ เสมอไป ทั้งนี้เพราะการปฏิบัติของรัฐมักบิดเบี้ยวแตกต่างกันไปจนสับสนยุ่งเหยิง เงื่อนไขเชิงสัมฤทธิผลนิยมและฉวยโอกาสมักมีบทบาทสำคัญมาก      ประธานาธิบดีบุชสนับสนุนตลาดเสรีและการค้าเสรี แต่กลับตั้งกำแพงภาษีสินค้าเหล็กเพื่อรักษาฐานเสียงเลือกตั้งของตนในรัฐโอไฮโอ (และปรากฏว่าได้ผลด้วย) รัฐมักกำหนดโควตาสินค้านำเข้าจากต่างประเทศขึ้นมาอย่างไม่มีหลักเกณฑ์แน่นอน เพียงเพื่อบรรเทาความไม่พอใจภายในประ เทศ

รัฐในยุโรปยืนยันเสียงแข็งที่จะให้มีการค้าเสรีในสินค้าทุกประเภท ยกเว้นสินค้าเกษตรกรรมที่ปกป้องเอาไว้ โดยอ้างเหตุผลเชิงสังคม การเมือง หรือแม้กระทั่งเหตุผลเชิงสุนทรียะ รัฐมักมีการแทรกแซงพิ เศษเพื่อเข้าข้างกลุ่มผลประโยชน์ทางธุรกิจบางกลุ่ม (เช่น การค้าอาวุธ)รวมทั้งการให้สินเชื่อระหว่างรัฐก็ทำกันตามอำเภอใจ เพื่อได้มาซึ่งความใกล้ชิดทางการเมืองและอิทธิพลในภูมิภาคที่อ่อนไหวในเชิงภูมิศาสตร์การเมือง (เช่น ตะวันออกกลาง) ด้วยเหตุผลแบบนี้เอง คงเป็นเรื่องน่าประหลาดใจมาก หากเราพบเจอรัฐเสรีนิยมใหม่ที่ยึดมั่นในหลักการของลัทธิเสรีนิยมใหม่ตลอดเวลา ต่อให้เป็นรัฐที่คลั่งลัทธิเสรีนิยมใหม่มากที่สุดก็ตาม

ในกรณีอื่น ๆ มีเหตุผลที่จะแสดงให้เห็นว่า ความแตกต่างระหว่างทฤษฎีกับการปฏิบัติเกิดมาจากปัญหาความขัดแย้งระหว่างการเปลี่ยนผ่าน ซึ่งสะท้อนถึงรูปแบบรัฐที่แตกต่างกันไป ก่อนจะเปลี่ยนไปสู่ลัทธิเสรีนิยมใหม่ ยกตัวอย่างเช่น สภาพการณ์ในยุโรปกลางและยุโรปตะวันออกหลังการล่มสลายของค่ายคอมมิวนิสต์มีลักษณะพิเศษมาก ความรวดเร็วของการแปรรูปที่เกิดขึ้นภายใต้ "การบำบัดด้วยการช็อก" (shock therapy) ที่เข้ามาครอบงำกลุ่มประเทศเหล่านี้ในช่วงทศวรรษ 1990 สร้างความตึงเครียดอย่างใหญ่หลวงที่ยังส่งผลสั่นสะเทือนจนถึงทุกวันนี้

รัฐสังคมนิยมประชาธิปไตย(เช่น กลุ่มประเทศสแกนดิเนเวียหรือสหราชอาณาจักรในช่วงหลังสงคราม โลกใหม่ ๆ) ได้ดึงเอาภาคส่วนสำคัญ ๆ ของระบบเศรษฐกิจ เช่น การดูแลสุขภาพ การศึกษา   แม้กระ ทั่งการเคหะ  ออกจากตลาดมานานแล้ว โดยให้เหตุผลว่า *การเข้าถึงปัจจัยสี่ของมนุษย์ไม่ควรตกอยู่ภายใต้กลไกตลาด         และไม่ควรปล่อยให้การเข้าถึงถูกจำกัดด้วยความสามารถในการจ่ายเงินซื้อหา  ในขณะที่มาร์กาเร็ต แธตเชอร์ สามารถเปลี่ยนแปลงแนวคิดและการปฏิบัติในเรื่องนี้ได้ ชาวสวีเดนกลับขัดขืนได้ยาวนานกว่า แม้เมื่อเผชิญกับความพยายามอย่างเข้มข้นของกลุ่มผลประโยชน์ชนชั้นนายทุนที่จะผลักดันประเทศไปสู่เส้นทางเสรีนิยมใหม่ก็ตาม

อนึ่ง ด้วยเหตุผลที่แตกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง รัฐนักพัฒนา (เช่น สิงคโปร์และประเทศอื่น ๆ ในเอเชีย) หันไปพึ่งพิงภาครัฐและการวางแผนของรัฐ โดยจับมือแนบแน่นกับทุนภายในประเทศและทุนบรรษัท (ซึ่งมักเป็นบรรษัทต่างชาติและบรรษัทข้ามชาติ) เพื่อส่งเสริมการสะสมทุนและความเติบโตทางเศรษฐกิจ(4) โดยส่วนใหญ่แล้ว รัฐนักพัฒนา (developmental state)(*) มักให้ความสนใจในด้านสังคมมากเท่า ๆ กับโครงสร้างพื้นฐานทางวัตถุ ทำให้รัฐเหล่านี้มีนโยบายหลาย ๆ ด้านที่เสมอภาคมากกว่า เช่น   การเข้าถึงโอกาสในการศึกษาและการดูแลสุขภาพ การลงทุนของรัฐในด้านการศึกษา ถือเป็นเงื่อนไขเบื้องต้นที่สำคัญอย่างยิ่งที่จะทำให้ประเทศมีความได้เปรียบในการแข่งขันในตลาดโลก 

(4) P. Evans, Embedded Autonomy: States and Industrial Transformation (Princeton: Princeton University Press, 1995); R. Wade, Governing the Market (Princeton: Princeton University Press, 1992); M. Woocummings (ed.), The Developmental State (Ithaca, NY: Cornell University Press, 1999).
(*) รัฐนักพัฒนา (developmental state) ผู้เขียนยังคิดหาคำแปลที่ดีกว่านี้ไม่ได้ขอเสนอคำว่า”รัฐที่มุ่งเน้นการพัฒนา?” ครับ

หมายถึง รัฐที่มีบทบาทในการวางแผนเศรษฐกิจมหภาค โดยเฉพาะประเทศในเอเชียตะวันออก เช่น ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ แต่ต่อมาครอบคลุมไปถึงรัฐในภูมิภาคอื่น ๆ เช่น อินเดีย บอทสวานา เป็นต้น รัฐประเภทนี้มักให้การคุ้มครองอุตสาหกรรมในประเทศที่เพิ่งเริ่มต้น มีความคิดชาตินิยมในการพัฒนาเศรษฐกิจ เน้นส่วนแบ่งการตลาดมากกว่ากำไร ส่งเสริมการถ่ายทอดเทคโนโลยีจากต่างประ เทศ มีระบบราชการที่ใหญ่โต และให้ความสำคัญกับการเติบโตทางเศรษฐกิจมากกว่าการปฏิรูปทางการเมือง (ผู้แปล)

รัฐนักพัฒนาปฏิบัติสอดคล้องกับลัทธิเสรีนิยมใหม่ในแง่ที่เอื้อให้เกิดการแข่งขันระหว่างบริษัท บรรษัทและกลุ่มต่าง ๆ ทั้งยังยอมรับกฎเกณฑ์ของการค้าเสรีและพึ่งพิงตลาดส่งออกที่เปิดกว้าง กระนั้นก็ตาม รัฐเหล่านี้มีบทบาทเป็นนักแทรกแซงในด้านการสร้างโครงสร้างพื้นฐานเพื่อบรรยากาศทางธุรกิจที่ดี ด้วยเหตุนี้    ลัทธิเสรีนิยมใหม่จึงเปิดโอกาสให้รัฐนักพัฒนาสามารถยกฐานะในการแข่งขันระหว่างประเทศ โดยให้รัฐเข้าไปแทรกแซงด้วยการพัฒนาโครงสร้างใหม่ ๆ (เช่น การสนับสนุนการวิจัยและพัฒนา) แต่ในขณะเดียวกัน ลัทธิเสรีนิยมใหม่ก็สร้างเงื่อนไขที่เอื้อต่อการก่อรูปทางชนชั้น และเมื่อใดที่อำนาจของชนชั้นนั้นเข้มแข็งขึ้น ชนชั้นนั้นก็มีแนวโน้มที่จะหาทางปลดปล่อยตัวเองจากการพึ่งพิงอำนาจรัฐและหันเหอำนาจรัฐให้เดินตามแนวทางเสรีนิยมใหม่มากขึ้น (ดังเช่นที่เกิดขึ้นกับเกาหลีใต้ในปัจจุบัน)

เมื่อการจัดระบบสถาบันแบบใหม่ก้าวเข้ามานิยามกฎเกณฑ์การค้าโลก อาทิเช่น เดี๋ยวนี้การเปิดตลาดทุนเป็นเงื่อนไขในการเข้าเป็นสมาชิกไอเอ็มเอฟและดับเบิลยูทีโอ เป็นต้น    รัฐนักพัฒนาก็เริ่มพบว่าตนเองถูกดึงเข้าไปสู่ค่ายเสรีนิยมใหม่มากขึ้นๆ ตัวอย่างที่เกิดขึ้นก็คือ วิกฤตการณ์เอเชียช่วงปี ค.ศ. 1997-8 ก่อให้เกิดผลกระทบที่สำคัญอย่างหนึ่งคือ ทำให้รัฐนักพัฒนาต้องปฏิบัติตามบรรทัดฐานของเสรีนิยมใหม่มากขึ้น และดังที่เราเห็นมาแล้วในกรณีของอังกฤษ เป็นเรื่องยากที่จะรักษาจุดยืนแบบเสรีนิยมใหม่ในระบบเศรษฐกิจระหว่างประเทศ (เช่น การให้ความสะดวกแก่การดำเนินงานของทุนการเงิน) โดยไม่ยอมรับแนวทางเสรีนิยมใหม่ภายในประเทศอย่างน้อยในระดับหนึ่ง (เกาหลีใต้ต้องต่อสู้กับความตึงเครียดแบบนี้เองในช่วงเวลาที่เพิ่งผ่านมา) กระนั้นก็ตาม รัฐนักพัฒนามิได้ปักใจเชื่อเลยว่า เส้นทางแบบเสรีนิยมใหม่เป็นเส้นทางที่ถูกต้อง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อเห็นได้ว่าหลาย ๆประเทศ(เช่น ไต้หวันและจีน) ที่ไม่ยอมเปิดเสรีตลาดทุน กลับประสบปัญหาในวิกฤตการณ์ทางการเงิน ค.ศ. 1997-8 น้อยกว่ากลุ่มประเทศที่เปิดเสรีมาก (5)
(5) J. Henderson, 'Uneven Crises: Institutional Foundation of East Asian Turmoil, Economy and Society, 28/3 (1999), 327-68.

ในปัจจุบัน การปฏิบัติที่เกี่ยวข้องกับทุนการเงินและสถาบันการเงิน น่าจะเป็นส่วนที่สอดคล้องกับหลักความเชื่อเสรีนิยมใหม่น้อยที่สุด รัฐเสรีนิยมใหม่มักอำนวยความสะดวกให้แก่การแผ่ขยายอิทธิพลของสถาบันการเงินด้วยวิธีการลดกฎเกณฑ์ข้อบังคับ แต่ในขณะเดียวกัน รัฐเสรีนิยมใหม่ก็มักรับประกันความมั่นคงและสภาพคล่องของสถาบันการเงิน โดยไม่คำนึงว่าต้องทุ่มเทต้นทุนแค่ไหน พันธกิจเช่นนี้ส่วนหนึ่งเกิดมาจากความเชื่อว่าลัทธิการเงินนิยม (monetarism) (*) คือรากฐานของนโยบายรัฐ (ซึ่งถือเป็นแนวคิดที่ถูกต้องในทฤษฎีเสรีนิยมใหม่บางสำนัก)
(*) Monetarism สำนักการเงินนิยมเชื่อว่า การเปลี่ยนแปลงในภาคการเงินเป็นสาเหตุหลักของความไร้เสถียรภาพในระบบเศรษฐกิจ ดังนั้น พวกการเงินนิยมจึงมีความเห็นว่า การใช้นโยบายการเงินในการรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ ย่อมมีประสิทธิภาพมากกว่าการใช้นโยบายการคลัง ผู้เป็นตัวตั้งตัวตีคนสำคัญของสำนักนี้คือ มิลตัน ฟรีดแมน (ผู้แปล)

ความมั่นคงและเข้มแข็งของเงินตราคือฟันเฟืองสำคัญในนโยบายนี้ แต่แนวคิดนี้ทำให้เกิดข้อขัดแย้งขึ้นมาในตัวเองว่า  รัฐเสรีนิยมใหม่ไม่สามารถทนต่อการผิดนัดชำระหนี้ทางการเงินขนาดใหญ่ ถึงแม้ว่าสถาบันการเงินเป็นผู้ตัดสินใจผิดพลาดเองแท้ ๆ รัฐจำต้องก้าวเข้ามาและควักเนื้อเพื่อแทนที่เงิน "ไม่ดี" ด้วยเงิน "ดี" ของรัฐเอง   เหตุผลนี้เองที่ทำให้นายธนาคารกลางตกอยู่ภายใต้แรงกดดันและจำต้องหาทางรักษาความเชื่อมั่นในความเข้มแข็งของเงินสำรองภาครัฐเอาไว้ อำนาจรัฐมักถูกดึงมาใช้ช่วย เหลือบริษัทต่าง ๆ ให้รอดจากการล้มละลายหรือหลีกเลี่ยงความล้มเหลวในภาคการเงิน อาทิเช่น วิกฤตการณ์เงินออมและเงินกู้ของสหรัฐฯ เมื่อ ค.ศ. 1987-8 ทำให้ผู้เสียภาษีชาวอเมริกันสูญเงินไปถึงราว 150 พันล้านดอลลาร์ หรือการล่มสลายของกองทุนประกันความเสี่ยง Long Term Capital Management ใน ค.ศ. 1997-8 ซึ่งทำให้สูญเงินภาษีไปถึง 3.5 พันล้านดอลลาร์

ในเชิงสากลนั้น ใน ค.ศ. 1982 รัฐเสรีนิยมใหม่ที่เป็นกลุ่มแกนกลางได้มอบให้ไอเอ็ม เอฟและธนาคารโลกมีอำนาจเต็มในการเจรจาประนอมหนี้   ซึ่งหมายถึงการคุ้มครองสถาบันการเงินรายใหญ่ในโลกให้พ้นจากภัยคุกคามของการพักชำระหนี้ ไอเอ็มเอฟทำงานอย่างสุดความสามารถเพื่อปกป้องความเสี่ยงและความไม่แน่นอนในตลาดการเงินระหว่างประเทศ หากพิจารณาตามทฤษฎีเสรีนิยมใหม่จริง ๆ การปฏิบัติแบบนี้เป็นเรื่องที่แทบไม่มีเหตุผล ในเมื่อตามหลักการแล้ว พวกนักลงทุนควรรับผิดชอบต่อความผิดพลาดของตนเอง ด้วยเหตุนี้ นักเสรีนิยมใหม่เคร่งคัมภีร์จึงเชื่อว่าควรล้มล้างสถาบันไอเอ็มเอฟไปเสียเลย

เคยมีการพิจารณาทางเลือกนี้อย่างจริงจังระหว่างช่วงปีแรก ๆ ของรัฐบาลเรแกน ต่อมาผู้แทนพรรครีพับลิกันเคยหยิบยกประเด็นนี้ขึ้นมาอีกครั้งใน ค.ศ. 1998 เจมส์ เบเกอร์ (James Baker) รัฐมนตรีว่า การกระทรวงการคลังในรัฐบาลเรแกนช่วยชุบชีวิตสถาบันนี้ขึ้นมาใหม่    เมื่อเขาต้องเผชิญหน้ากับสถานการณ์ที่เม็กซิโกอาจล้มละลายทางเศรษฐกิจ ซึ่งอาจทำให้เกิดความสูญเสียอย่างร้ายแรงต่อกลุ่มธนาคารเพื่อการลงทุนรายใหญ่ในนิวยอร์กซิตี ที่ให้กู้แก่ประเทศเม็กซิโกเมื่อ ค.ศ. 1982  เบเกอร์ใช้ไอเอ็มเอฟยัดเยียดการปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจให้แก่เม็กซิโก และคุ้มครองนายธนาคารนิวยอร์กจนพ้นจากการพักชำระหนี้ การปฏิบัติเช่นนี้ให้ความสำคัญสูงสุดแก่ความจำเป็นของธนาคารและสถาบันการเงิน ขณะเดียวกัน การลดทอนมาตรฐานการครองชีพของประชาชนในประเทศลูกหนี้เป็นสิ่งที่เคยนำร่องมาก่อนแล้ว ในสมัยที่เกิดวิกฤตการณ์หนี้สินในนิวยอร์กซิตี ในบริบทระหว่างประเทศ นี่หมาย ถึงการดูดซับมูลค่าส่วนเกินจากประชากรยากจนในโลกที่สามไปจ่ายหนี้ให้แก่นายธนาคารระหว่างประเทศ "ช่างเป็นโลกที่แปลกประหลาดนัก"

โจเซฟ สติกลิทซ์ ตั้งข้อสังเกตด้วยความฉงน "กลุ่มประเทศยากจนกลับเป็นฝ่ายอุดหนุนทางการเงินแก่กลุ่มประเทศร่ำรวยที่สุด" แม้กระทั่งชิลี ซึ่งเคยเป็นนักเรียนตัวอย่างในการปฏิบัติตามลัทธิเสรีนิยมใหม่ "ขนานแท้" หลังจาก ค.ศ. 1975 เป็นต้นมา ก็ยังโดนผลกระทบแบบนี้ใน ค.ศ. 1982-3 ส่งผลให้ผลิต ภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ตกต่ำลงเกือบ 14% และการว่างงานเพิ่มขึ้นถึง 20% ในช่วงเวลาแค่ปีเดียว แต่ข้อสรุปว่า ลัทธิเสรีนิยมใหม่ "ขนานแท้" เป็นสิ่งที่ใช้การไม่ได้ กลับไม่ได้รับการยอมรับในเชิงทฤษฎี ถึงแม้การปรับประยุกต์วิธีการเชิงปฏิบัติที่เกิดขึ้นตามมาในชิลี (รวมทั้งสหราชอาณาจักร หลัง จาก ค.ศ. 1983) จะมีการประนีประนอมจำนวนมากที่ยิ่งถ่างช่องว่างระหว่างทฤษฎีกับการปฏิบัติให้ห่างออกจากกันยิ่งขึ้น (6)
 (6) Stiglitz, The Roaring Nineties, 227; P. Hall, Governing the Economy; Fourcade-Gourinchas and Babb, 'The Rebirth of the Liberal Creed'.

การใช้กลไกทางการเงินเก็บส่วยจากประเทศยากจน เป็นวิธีปฏิบัติที่เก่าแก่ในระบบจักรวรรดินิยม วิธีนี้พิสูจน์แล้วว่ามีประโยชน์อย่างมากในการช่วยฟื้นฟูอำนาจของชนชั้น โดยเฉพาะในศูนย์กลางทางการเงินใหญ่ ๆ ของโลก และไม่จำเป็นต้องอาศัยวิกฤตการณ์ของการปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจเสมอไปด้วย ยกตัวอย่างเช่น เมื่อใดที่ผู้ประกอบการในประเทศกำลังพัฒนากู้ยืมเงินจากต่างประเทศ เงื่อนไขที่ประเทศของผู้ประกอบการรายนั้น ต้องมีการสำรองเงินตราต่างประเทศมากเพียงพอที่จะชด เชยเงินกู้นั้น หมายความว่ารัฐนั้น ๆ จำเป็นต้องลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ความแตกต่างระหว่างอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ (เช่น 12%) กับเงินที่ฝากไว้เป็นหลักทรัพย์ประกันการกู้ยืมในกระทรวงการคลังสหรัฐฯ ที่วอชิงตัน (เช่น 4%) ทำให้เกิดการไหลออกทางการเงินสุทธิไปสู่ศูนย์กลางจักรวรรดินิยมด้วยค่าใช้จ่ายของประเทศกำลังพัฒนา

แนวโน้มเช่นนี้ที่เกิดขึ้นในกลุ่มรัฐแกนกลางอย่างสหรัฐฯ ซึ่งจะคุ้มครองกลุ่มผลประโยชน์ทางการเงินและยืนดูเฉย ๆ เมื่อกลุ่มผลประโยชน์นั้นดูดมูลค่าส่วนเกินจากประเทศอื่น ๆ การปฏิบัติทั้งสองประการนี้ ทั้งส่งเสริมและสะท้อนให้เห็นการฟื้นฟูอำนาจเป็นปึกแผ่นของชนชั้นสูงภายในรัฐแกนกลางเหล่านี้ โดยอาศัยกระบวนการทางการเงิน แต่นิสัยที่ชอบเข้าไปแทรกแซงตลาดและอุ้มสถาบันการเงินเมื่อมีปัญหา ย่อมไม่สอดคล้องกับทฤษฎีเสรีนิยมใหม่อย่างสิ้นเชิง การขาดทุนควรเป็นบทลงโทษผู้ให้กู้ที่ลงทุนอย่างสะเพร่า แต่รัฐกลับปกป้องผู้ให้กู้ให้ปลอดพ้นจากการขาดทุนเป็นส่วนใหญ่ ส่วนผู้กู้กลับต้องเป็นฝ่ายชดใช้แทน โดยไม่คำนึงถึงต้นทุนทางสังคมที่จะตามมา อันที่จริง ทฤษฎีเสรีนิยมใหม่ควรให้คติว่า "เจ้าหนี้ จงระวังตัว" แต่การปฏิบัติกลับกลายเป็น "ลูกหนี้ จงระวังตัว"

กระนั้นก็ตาม การรีดเอามูลค่าส่วนเกินจากระบบเศรษฐกิจของประเทศกำลังพัฒนาก็มีขีดจำกัดอยู่เหมือนกัน เมื่อต้องรัดเข็มขัดด้วยมาตรการเข้มงวดทางการเงินการคลัง ย่อมทำให้ประเทศกำลังพัฒนาตกสู่ภาวะชะงักงันทางเศรษฐกิจเรื้อรัง โอกาสในการจ่ายคืนหนี้จึงมักเนิ่นนานออกไปอีก ภายใต้สภาพการณ์เช่นนี้ การยอมขาดทุนในระดับหนึ่งอาจเป็นทางเลือกที่น่าสนใจกว่า เหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นภายใต้แผนเบรดี (Brady Plan) ใน ค.ศ. 1989 (7) สถาบันการเงินยินยอมลดหนี้ค้างชำระลง 35% เพื่อแลกกับพันธบัตรลดราคา (ซึ่งสนับสนุนโดยไอเอ็มเอฟและกระทรวงการคลังสหรัฐฯ) และหลักประกันว่าจะได้รับการชำระหนี้ส่วนที่เหลือคืน (กล่าวอีกอย่างหนึ่งคือ เจ้าหนี้ได้รับหลักประกันว่าจะได้รับการชำระหนี้คืนในอัตรา 65 เซนต์ต่อหนึ่งดอลลาร์)
(7) I. Vasquez, 'The Brady Plan and Market-Based Solutions to Debt Crises', The Cato Journal, 16/2 (online).

ใน ค.ศ. 1994 กลุ่มประเทศ 18 ประเทศ (ซึ่งรวมถึงเม็กซิโก บราซิล อาร์เจนตินา เวเนซุเอลา และอุรุกวัย) ยอมรับข้อตกลงที่ช่วยลดหนี้สินให้ประเทศเหล่านี้ได้ราว 60 พันล้านดอลลาร์ แน่นอน สิ่งที่มุ่งหวังก็คือ การผ่อนผันหนี้สินเช่นนี้น่าจะช่วยจุดประกายให้เกิดการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ ซึ่งจะช่วยให้ชำระหนี้สินส่วนที่เหลือได้ในเวลาที่เหมาะสม แต่ปัญหาก็คือ ไอเอ็มเอฟเข้ามาดูแลด้วยว่า ทุกประเทศที่ได้รับการลดหนี้เป็นจำนวนน้อยนิดนี้ (ซึ่งหลายคนมองว่าเป็นจำนวนเงินขั้นต่ำสุดเมื่อเปรียบเทียบกับที่ธนาคารได้ไป) จำต้องกลืนยาพิษที่มาในรูปของการปฏิรูปสถาบันตามแนวทางเสรีนิยมใหม่ด้วย วิกฤตการณ์ค่าเงินเปโซในเม็กซิโกเมื่อ ค.ศ. 1995 วิกฤตการณ์ของบราซิลใน ค.ศ. 1998 และการล่มสลายของระบบเศรษฐกิจอาร์เจนตินาใน ค.ศ. 2001 คือผลลัพธ์ที่น่าจะคาดการณ์ได้ตั้งแต่แรก

หมายเหตุ:  บทความชิ้นนี้  คัดมาจากหัวข้อที่3  บทที่ 3  ของหนังสือ " A Brief History of Neoliberalism, Oxford University Press: 2007,  " ของ   David Harvey, ในหัวเรื่อง รัฐเสรีนิยมใหม่ในภาคปฏิบัติ   ซึ่งแปลและเชิงอรรถ โดย คุณ ภัควดี วีระภาสพงษ์  นักแปลอิสระ  ลงในเวปไซต์ มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน เมื่อวันที่  9 สิงหาคม  2551  ลำดับที่  1634 ........  เราเห็นว่าเป็นเรื่องที่น่าสน ใจและมีประโยชน์มากในการศึกษาระบอบทุนนิยม     จึงเรียนขออนุญาตท่านผู้แปล  เพื่อนำมาเสนอและเผยแพร่แก่ผู้ที่สนใจได้ศึกษา     ขอขอบคุณท่านผู้แปลเป็นอย่างสูงมาในโอกาสนี้ด้วย  
ด้วยภราดรภาพ


Friday, July 10, 2015

การต่อสู้ทางชนชั้น...

การต่อสู้ทางชนชั้น - จิตสำนึกทางชนชั้น

มาร์กซ ได้ใช้ทฤษฎีวัตถุนิยมวิภาษและวัตถุนิยมประวัติศาสตร์ของท่านไปวิเคราะห์ ค้นคว้าสังคม   เรื่อง หนึ่งที่ได้ค้นพบก็คือ ความขัดแย้งทางผลประโยชน์ระหว่างชนชั้นที่ดำรงอยู่ในสังคมการผลิตที่มีระบอบกรรมสิทธิ์   ซึ่งได้พัฒนาไปสู่การต่อสู้ที่ไม่สามารถประนีประนอมกันได้และซึมซ่านอยู่ทั่วไปในประวัติ ศาสตร์ของสังคมที่มีการขูดรีด   และได้สรุปว่าประวัติศาสตร์ของมนุษย์ก็คือการต่อสู้ทางชนชั้น   เป็นกระบวนการที่ดำรงอยู่ในสังคม  ไม่มีใครสร้างมันขึ้นมา   มาร์กซไม่ได้เป็นผู้สร้าง  หากแต่เป็นผู้ค้นพบสัจธรรมอันนี้

การเป็นปรปักษ์ทางชนชั้น   บ่อยครั้งจะเชื่อมโยงไปถึงสงครามทางชนชั้นหรือการต่อสู้ทางชนชั้นซึ่งก็คือความตึงเครียดหรือความเป็นศัตรูทางชนชั้นที่ดำรงอยู่ในสังคม อันเนื่องมาจากการแข่งขันช่วงชิงกันในด้านผลประโยชน์และความต้องการทางสังคมระหว่างประชาชนที่มีฐานะแตกต่างกัน     ในทัศนะของการต่อสู้ทางชนชั้น ถือได้ว่าเป็นการตระเตรียมไปสู่การเปลี่ยนแปลงรากฐานทางสังคมอย่างถึงที่ที่สุด   ซึ่งเป็นปัญหาใจกลางในงานของคาร์ล มาร์กซ และนักลัทธิอนาธิปไตย มิคาอิล บาคูนิน เลยทีเดียว      แม้ว่าจะมีการค้นพบการดำรงอยู่ของการต่อสู้ทางชนชั้น   แต่ก็ไม่ได้เป็นผลผลิตใน ทางทฤษฎีแต่อย่างใด     พูดง่ายๆก็คือ....การต่อสู้ทางชนชั้นไม่ใช่ทฤษฎี   แต่ทฤษฎีของทั้ง มาร์กซ และ บาคูนิน  ก็สามารถตอบสนองต่อการดำรงอยู่ของการต่อสู้ทางชนชั้นได้เป็นอย่างดี   

ในอดีตที่ผ่านมา นักสังคมนิยมเกือบจะทั้งหมดได้อธิบายชนชั้นและความเป็นปฏิปักษ์ทางชนชั้นจากการที่ชนชั้นหนึ่งในสังคมเป็นผู้ครอบครองปัจจัยการผลิตไว้  เช่นโรงงาน  ที่ดิน  และเครื่องจักรกล  กับความสัมพันธ์ทางการผลิต   จากมุมมองนี้..การควบคุมทางสังคมการผลิตและแรงงานได้แสดงให้เห็นถึงการต่อสู้ระหว่างชนชั้นซึ่งเป็นเรื่องที่ยากจะหลีกเลี่ยงได้    การกระทบกระทั่งกันในด้านผลประโยชน์ระดับธรรมดาได้ขยายตัวออกไปเป็นความขัดแย้งหลัก     บางกรณีได้นำไปสู่ชัยชนะของชนชั้นหนึ่งต่ออีกชนชั้นหนึ่ง     ยุคสมัยนี้ได้มีรูปการอื่นๆผสมผสานเข้ามาอีกมากมายในประเทศต่างๆที่สังคมทุนนิยมได้พัฒนาไปแบบตะวันตก

ในยุคปัจจุบัน  ความเป็นปฏิปักษ์ทางชนชั้น  อาจแสดงออกในรูปแบบต่างๆ โดยใช้ความรุนแรงโดยตรงเช่น  การทำสงครามแย่งชิงแหล่งทรัพยากรและแรงงานราคาถูก      หรือการใช้ความรุนแรงทางอ้อมเช่นการแซงชั่นทางเศรษฐกิจ     ทำให้มีการเสียชีวิตจากความยากจน   ความอดอยาก  โรคภัยไข้เจ็บ    ความไม่ปลอดภัยในการทำงาน    การขู่เข็ญบังคับ     การคุกคามให้สูญเสียตำแหน่งงานโดยการถอนการลงทุน  หรือการยัดเยียดระบบความคิดที่เป็นการกระทำอย่างมีเจตนาด้วยการใช้หนังสือและปัจจัยที่สนับสนุนระบอบทุนนิยม   หรือจากการกระทำที่ไม่ส่อเจตนาเช่นการชักชวนให้ผู้คนบริโภคสินค้าที่ด้อยคุณภาพโดยผ่านการโฆษณาที่เกินจริง  รวมไปถึงความขัดแย้งทางการเมืองในรูปแบบต่างๆทั้งที่ถูกและผิดกฎหมาย   เช่นการโน้มน้าว(lobby)และติดสินบนผู้นำรัฐบาลโดยผ่านลิ่วล้อตัวแทน   เพื่อออกกฎหมายที่เอื้อประโยชน์และให้เป็นไปตามความต้องการของตน เช่นกฎหมายแรงงาน(ที่เป็นประโยชน์ต่อนายจ้าง)   กฎหมายเกี่ยวกับภาษี(ปกป้องผลประโยชน์ของนายทุน)  กฎหมายผู้บริโภค  โดยใช้มาตรการลงโทษ   คำสั่งศาล   หรือค่าธรรมเนียมต่างๆเป็นต้น     ความเป็นปฏิปักษ์อย่างเปิดเผยเช่นการปิดกิจการโดยมีเป้าหมายในการทำลายสหภาพแรงงาน     หรือด้วยเจตนาซ่อนเร้นเช่นการลดกำลังการผลิต    หรือลดค่าจ้างอย่างไม่เป็นธรรม  ฯลฯ  จะอย่างไรก็ตามโดยด้านหลักแล้วการต่อสู้ทางชนชั้นจะดำเนินไปในรูปการเหล่านี้คือ

การต่อสู้ทางเศรษฐกิจ    หมายถึงการต่อสู้ในการดำรงชีวิตทางการผลิตของมนุษย์   การต่อสู้ชนิดนี้เราต้องให้ความสนใจเป็นพิเศษในการจัดตั้งองค์กรของมวลชนกรรมกรเข้าต่อสู้   โดยมากจะเป็นการต่อสู้เรียกร้องเพื่อปากท้องของบรรดากรรมกรและครอบครัวเสียเป็นส่วนใหญ่     เป็นการคัดค้านการเอารัดเอาเปรียบกรรมกรโดยเฉพาะการขูดรีดแรงงานส่วนเกิน    อาศัยคู่ความขัดแย้งในผลประโยชน์โดยธรรมชาติระหว่างชนชั้นกรรมกรและชนชั้นนายทุนเป็นเงื่อนไขในการเคลื่อนไหว    การต่อสู้ทางเศรษฐ- กิจทุกครั้งต้องสามารถคาดคะเนได้ว่าจะชนะหรือประสบความสำเร็จ    จึงจะสามารถดึงมวลชนส่วนใหญ่เข้าร่วมในขบวนการ    ซึ่งถือได้ว่าเป็นการปลุกจิตสำนึกทางชนชั้นได้ในระดับหนึ่ง     แต่ต้องระมัดระวังอย่าให้การต่อสู้ชนิดนี้กลายไปเป็นลัทธิเศรษฐกิจล้วนๆแต่เพียงอย่างเดียว เราจะต้องระลึกอยู่เสมอว่าการต่อสู้ทางเศรษฐกิจนั้นมีขอบเขตจำกัด       เพราะมันไม่ได้ส่งผลสะเทือนไปถึงรากฐานของระบอบที่กดขี่ของชนชั้นนายทุน     และไม่สามารถปลดปล่อยกรรมกรให้หลุดพ้นจากแอกของจากการขูดรีดได้      

การต่อสู้ทางเศรษฐกิจจะต้องเสริมด้วยการต่อสู้ทางการเมือง   หาไม่แล้วก็จะไม่สามารถรักษาแนวทางและจิตสำนึกทางชนชั้นให้ดำรงอยู่ได้      เพราะการต่อสู้ทางเศรษฐกิจนั้นโดยมากจะต่อสู้กับเจ้าของกิจการเพียงคนเดียวหรือกลุ่มเดียวในระยะแรก         ซึ่งไม่ใช่ระยะที่มวลชนกรรมกรจะมีจิตสำนึกร่วมกันทั้งชนชั้นเพื่อต่อสู้กับชนชั้นนายทุน       ดังนั้นการต่อสู้ทางชนชั้นจะต้องแปรออกจากผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจและพัฒนาไปสู่การต่อสู้ทางการเมือง     แรกสุดคือต้องสร้างตัวแทนที่ก้าวหน้าในระดับกว้างที่สามารถรวบรวมมวลชนกรรมกรเข้าต่อสู้กับชนชั้นที่กดขี่ทั้งชนชั้น     และต่อสู้กับรัฐที่สนับสนุนชนชั้นนั้น

การต่อสู้ทางอุดมการณ์   เลนินได้กล่าวไว้ว่า “จิตสำนึกทางชนชั้นหมายถึงความเข้าใจของกรรมกรที่ว่ามีแต่เพียงหนทางเดียวเท่านั้นที่จะทำให้สภาพชีวิตของพวกเขาดีขึ้นได้ก็คือ การต่อสู้กับเจ้าของโรง งาน...ไปจนถึงการมีจิตสำนึกต่อการปฏิวัติเปลี่ยนแปลงสังคม”     แต่สำนึกเช่นนี้ย่อมไม่อาจเกิดขึ้นหรือมีอยู่ในตัวกรรมกรทั้งชนชั้น  ด้านหนึ่งเพราะพวกเขามีความเคยชินกับการดำรงชีพในระบอบทุนนิยมที่ขูดรีดและหลอกลวง   แต่ในขณะเดียวกันก็ได้รับรู้ถึงการกดขี่เอารัดเอาเปรียบจากชนชั้นนายทุน   ดังนั้นพวกเขาจึงมีจิตสำนึกอยู่สองอย่างที่ขัดแย้งกันอย่างที่ อันโตนิโย  กรัมชี  นักลัทธิมาร์กซชาวอิตาลีได้กล่าวไว้    คือจิตสำนึกในชีวิตความเป็นอยู่ประจำวัน  เป็นจิตสำนึกในชีวิตทางวัตถุของพวกเขาซึ่งถือได้ว่าเป็น จิตสำนึกแท้  นั่นคือความคับแค้น  ยากจน  ขาดแคลนวัตถุปัจจัยในการดำรงชีวิต   ขาดแคลนไปเสียทุกอย่างทั้งยังตกเป็นเบี้ยล่างทั้งทางวัตถุและทางความคิดของชนชั้นอื่นอยู่ตลอดเวลา  จิตสำนึกอีกประเภทหนึ่งก็คือ การที่ชนชั้นกรรมกรได้ถูกทำให้เชื่อในวัฒนธรรมประเพณีของชนชั้นที่กดขี่ซึ่งสืบทอดกันมาอย่างยาว นาน    

จากการโฆษณาชวนเชื่อ   การโกหกหลอกลวง   และการยัดเยียดอุดมการณ์ของชนชั้นนายทุน  ทำให้เข้าใจสถานะทางสังคมของตนผิดเพี้ยนไป      โดยคิดไปว่าเหตุที่ตนมีฐานะต่ำต้อยเช่นนี้มาจากผลพวงในความล้มเหลวของตนเอง      หรือไม่ก็เป็นเพราะบุญวาสนาและผลกรรมบันดาลให้เป็นไปตามแนวคิดจิตนิยมจากคำสอนทางศาสนาที่ถูกบิดเบือน      จิตสำนึกชนิดนี้ทำให้พวกเขาเข้าใจผิดว่ามันเป็นเพียงช่องทางเดียวที่จะนำพาตนเองเข้าสู่สังคมของผู้กดขี่ได้อย่างมีความ ”เท่าเทียม” จึงพยายามหนีชนชั้นของตนเอง   จิตสำนึกอย่างหลังนี้ เป็นจิตสำนึกเทียม

การยกระดับจิตสำนึกนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายๆเลย   ในชนชั้นผู้ใช้แรงงานที่มีหลากหลายอาชีพกล่าวได้ว่ามีชั้นชนที่หลากหลาย  เช่นคนงานก่อสร้าง   กรรมกรในโรงงาน   คนขับรถประจำทาง   กรรมกรแบกหาม   ช่างซ่อมเครื่องจักร   กรรมกรเหมืองถ่านหิน   ลูกเรือประมง  และลูกจ้างพนักงานในภาคบริการ ฯลฯ    คนเหล่านี้แม้จะเป็นชนชั้นผู้ใช้แรงงานเช่นเดียวกันแต่ก็มีลักษณะงานที่แตกต่างกัน    ฐานะความเป็นอยู่และมาตรฐานการครองชีพมักจะแตกต่างกันด้วย   ซึ่งเป็นปัจจัยพื้นฐานของการก่อเกิดจิตสำนึก

ชนชั้นที่กดขี่และผู้แก้ต่างของเขาจะทำการโฆษณาหลอกลวงอยู่ตลอดเวลาว่า    ระบบการขูดรีดนั้นเป็นนิรันดร์  เป็นสิ่งที่ไม่อาจแก้ไขเปลี่ยนแปลงได้และเป็นเช่นนี้มานานแล้วตั้งแต่อดีต  และยังจะเป็นต่อไปในอนาคต..แต่ก็ยังมีช่องทางที่จะยกระดับชีวิตของกรรมกรให้ดีขึ้นได้ด้วยการ“ปฏิรูป”โดยเสนอที่จะปรับ ปรุงชีวิตความเป็นอยู่ของกรรมกรด้วยวิธีประนีประนอมกับชนชั้นนายทุน   ในขณะเดียวกันก็จะโฆษณากล่าวร้ายผ่านนักวิชาการสอพลออย่างไร้มโนธรรมว่า..”การต่อสู้ทางชนชั้นนั้นเป็นการสร้างความแตก แยกในชาติ” ซึ่งเราเห็นว่าน่าจะกล่าวเสียใหม่ว่า..การกดขี่ และดูถูกประชาชนนั่นแหละที่เป็นต้นเหตุหนึ่งของการต่อสู้ทางชนชั้นและสร้างความแตกแยกในชาติที่แท้จริง

จากการโฆษณา   การครอบงำทางความคิด  การยัดเยียดอุดมการณ์ของชนชั้นนายทุนโดยผ่านระบบสังคม  การศึกษา  วัฒนธรรม  ตลอดจนความเชื่อที่งมงายไร้สาระจากการบิดเบือนคำสอนของศาสนา  เกี่ยวกับเรื่องบุญบารมี  เวรกรรม   การเก็งกำไรบุญ  ฯลฯ  ทำให้ประชาชนผู้ใช้แรงงานมีรูปการจิตสำนึกที่ค่อนข้างสลับซับซ้อน     ดังนั้นภาระหน้าที่ของการต่อสู้ทางอุดมการณ์ก็คือ..รักษา ปกป้อง และยืนหยัดในโลกทัศน์ที่ก้าวหน้าของทฤษฎีลัทธิมาร์กซ ซึ่งเป็นอาวุธทางปัญญาที่เฉียบคมของชนชั้นกรรมาชีพนี้เอาไว้

ชนชั้นกรรมาชีพจะต้องต่อสู้ปกป้องการบิดเบือนใส่ร้ายแนวคิดทฤษฎีที่ก้าวหน้าด้วยการยกระดับการการศึกษาแนวทางการต่อสู้ของทฤษฎีที่ก้าวหน้าอย่างไม่ย่อท้อ    เพราะชนชั้นนายทุน ..ผู้แก้ต่างและเหล่าบริวารของพวกเขา ไม่เพียงแต่จะต่อต้านอุดมการณ์ของชนชั้นกรรมาชีพด้วยตนเองเท่านั้น  ยังใช้คนในขบวนการของชนชั้นกรรมาชีพเองมาบ่อนเซาะทำลายอีกด้วย คนเหล่านี้โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้นำกรรมกรขุนนางผู้เห็นแก่เศษเดนผลประโยชน์ที่ชนชั้นนายทุนหยิบยื่นให้  ได้ออกมาบิดเบือน  สกัดกั้นแนวคิดอุดมการณ์ที่ก้าวหน้าเพื่อมิให้เป็นภัยต่อชนชั้นนายทุนผู้ขุนเลี้ยงพวกเขา    นี่คืองานของนักฉวยโอกาส นักปฏิรูป  นักลัทธิแก้  และพวกปฏิปักษ์ปฏิวัติทุกคนได้ร่วมมือกันทำ

การต่อสู้ทางการเมือง     ประชาชนจะต่อสู้เพื่อเอาอำนาจรัฐมาเป็นของประชาชนมาได้อย่างไร? ในขั้นตอนนี้คือ การต่อต้านอำนาจรัฐเผด็จการของชนชั้นนายทุน และเปิดโปงการกดขี่ข่มเหงและขูดรีดเอารัดเอาเปรียบประชาชนของมันออกมาให้เห็นอย่างเป็นรูปธรรม   แม้ว่าการเคลื่อนไหวในทางการเมืองในขณะนี้ค่อนข้างยากลำบาก   มักจะเกิดภาวะสับสนทางความคิด  เกิดความไม่แน่ใจ   ลังเล..ไม่รู้จะทำอย่างไรต่อไป   ทั้งนี้เพราะด้านหนึ่งยังขาดประสบการณ์และความจัดเจนในการเคลื่อนไหวต่อสู้และขาดความแม่นยำทางทฤษฎี, อีกด้านหนึ่งก็เกิดจากปัญหาทางความคิด (ที่มาจากพื้นฐานทางชนชั้น)    เช่นไม่กล้าเคลื่อนไหว  กลัวไปเสียทุกอย่าง  ประเมินศัตรูสูงเกินความเป็นจริงซึ่งเป็นการแสดงออกถึงความโน้มเอียงของลัทธิฉวยโอกาสเอียงขวา   ในขณะเดียวกันก็ต้องไม่ทำการเคลื่อนไหวที่มีลักษณะสุ่มเสี่ยงเอียงซ้าย   ต้องระมัดระวังการเคลื่อนไหวต่อสู้ที่มีสีสันทางการเมืองเอาไว้บ้าง     ควรพิจารณาจำแนกเป็นกรณีๆไปและต้องพยายามเลี่ยงสิ่งที่ผิดกฎหมาย อาศัยความขัดแย้งของชนชั้นปกครองให้เป็นประ โยชน์ในการเคลื่อนไหว       มันจะเป็นการสะสมพลังและความจัดเจนของชนชั้นกรรมกรและมวลชนให้ก้าวไปสู่การต่อสู้ทางการเมืองในขั้นตอนต่อไปได้ หาไม่แล้วเราก็ไม่สามารถรักษาแนวทางและจิตสำนึกทางชนชั้นให้ดำรงอยู่ได้   

แม้ว่าสาเหตุหลักของความขัดแย้งระหว่างชนชั้นในสังคมจะมาจากเรื่องผลประโยชน์ทางด้านเศรษฐกิจ แต่การต่อสู้ทางการเมืองย่อมเป็นด้านหลักอยู่เสมอ     การต่อสู้ทางเศรษฐกิจและทางอุดมการณ์นั้นมีความสำคัญมากก็จริง แต่ยังมีบทบาทเป็นรองการต่อสู้ทางการเมืองเพราะมันสามารถเป็นหลัก ประกันให้แก่พื้นฐานทางเศรษฐกิจของผู้ถูกกดขี่  การต่อสู้ทางการเมืองคือการได้มาซึ่งอำนาจรัฐ   เมื่อได้อำนาจรัฐแล้วจึงจะสามารถสร้างระบบเศรษฐกิจของประชาชนผู้ยากไร้ขึ้นมาได้