Wednesday, July 15, 2015

รัฐเสรีนิยมใหม่...

รัฐเสรีนิยมใหม่ในภาคปฏิบัติ   

ลักษณะทั่วไปของรัฐในยุคเสรีนิยมใหม่เป็นสิ่งที่ยากจะบรรยายเพราะเหตุผลสองประการด้วยกัน ประการแรก การบิดเบนอย่างเป็นระบบจากต้นแบบของทฤษฎีเสรีนิยมใหม่เป็นสิ่งที่เห็นได้ในทันที ซึ่งไม่อาจนิยามด้วยความขัดแย้งภายในที่กล่าวถึงข้างต้นได้ทั้งหมด

ประการที่สอง พลวัตเชิงวิวัฒนาการของลัทธิเสรีนิยมใหม่ มีลักษณะที่บังคับให้เกิดการประยุกต์ที่แตกต่างกันอย่างมากในแต่ละสถานที่และในแต่ละช่วงเวลา ความพยายามใด ๆ ที่จะสร้างภาพรวมที่เป็นแม่แบบของรัฐเสรีนิยมใหม่ จากสภาพภูมิศาสตร์เชิงประวัติศาสตร์ที่ไม่แน่นอนและเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วนี้ ดูคล้ายภารกิจของคนโง่ กระนั้นก็ตาม ผู้เขียนคิดว่าคงมีประโยชน์ไม่น้อย หากวางเค้าโครงคำอธิบายโดยรวมบางประการ ซึ่งจะชี้ให้เห็นมโนทัศน์เกี่ยวกับรัฐเสรีนิยมใหม่ได้แจ่มชัดขึ้น

ความพยายามที่จะฟื้นฟูอำนาจของชนชั้นมักสร้างความบิดเบือนขึ้นมา และในบางกรณีก็ถึงขั้นพลิกกลับทฤษฎีเสรีนิยมใหม่ในภาคปฏิบัติเลยทีเดียว ความบิดเบือนนี้เกิดขึ้นในสองภาคส่วนคือ

ประการแรก เกิดจากความจำเป็นในการสร้าง "ภาคธุรกิจที่ดีหรือบรรยากาศเพื่อการลงทุน" สำหรับการประกอบการในระบบทุนนิยม ในขณะที่เงื่อนไขบางอย่าง เช่น ความมีเสถียรภาพทางการเมือง การเคารพกฎหมาย หรือการใช้กฎหมายอย่างเป็นธรรมต่อทุกฝ่าย ทั้งหมดนี้อาจพอจะถือได้ว่ามีลักษณะ "เป็นกลางทางชนชั้น" แต่ก็มีเงื่อนไขอื่น ๆ ที่เห็นได้ชัดว่าลำเอียง โดยเฉพาะความลำเอียงที่เกิดขึ้นจากการปฏิบัติต่อแรงงานและสิ่งแวดล้อมในฐานะสินค้า เมื่อเกิดความขัดแย้งขึ้น รัฐเสรีนิยมใหม่มักเข้าข้างการมีบรรยากาศการทำธุรกิจที่ดี โดยมีอคติต่อสิทธิส่วนรวม (และคุณภาพชีวิต) ของแรง งานหรือความสามารถในการฟื้นฟูตัวเองของสิ่งแวดล้อม

ประการที่สอง ในสถานการณ์ของความขัดแย้งข้างต้น จะมีความลำเอียงเกิดขึ้นด้วย กล่าวคือ รัฐเสรีนิยมใหม่มักเข้าข้างความมั่นคงของระบบการเงิน    และสภาพคล่องของสถาบันทางการเงินมากกว่าความอยู่ดีกินดีของประชากรหรือคุณภาพของสิ่งแวดล้อม อคติอย่างเป็นระบบทั้งสองประการนี้ใช่ว่าจะมองทะลุให้เห็นง่าย ๆ เสมอไป ทั้งนี้เพราะการปฏิบัติของรัฐมักบิดเบี้ยวแตกต่างกันไปจนสับสนยุ่งเหยิง เงื่อนไขเชิงสัมฤทธิผลนิยมและฉวยโอกาสมักมีบทบาทสำคัญมาก      ประธานาธิบดีบุชสนับสนุนตลาดเสรีและการค้าเสรี แต่กลับตั้งกำแพงภาษีสินค้าเหล็กเพื่อรักษาฐานเสียงเลือกตั้งของตนในรัฐโอไฮโอ (และปรากฏว่าได้ผลด้วย) รัฐมักกำหนดโควตาสินค้านำเข้าจากต่างประเทศขึ้นมาอย่างไม่มีหลักเกณฑ์แน่นอน เพียงเพื่อบรรเทาความไม่พอใจภายในประ เทศ

รัฐในยุโรปยืนยันเสียงแข็งที่จะให้มีการค้าเสรีในสินค้าทุกประเภท ยกเว้นสินค้าเกษตรกรรมที่ปกป้องเอาไว้ โดยอ้างเหตุผลเชิงสังคม การเมือง หรือแม้กระทั่งเหตุผลเชิงสุนทรียะ รัฐมักมีการแทรกแซงพิ เศษเพื่อเข้าข้างกลุ่มผลประโยชน์ทางธุรกิจบางกลุ่ม (เช่น การค้าอาวุธ)รวมทั้งการให้สินเชื่อระหว่างรัฐก็ทำกันตามอำเภอใจ เพื่อได้มาซึ่งความใกล้ชิดทางการเมืองและอิทธิพลในภูมิภาคที่อ่อนไหวในเชิงภูมิศาสตร์การเมือง (เช่น ตะวันออกกลาง) ด้วยเหตุผลแบบนี้เอง คงเป็นเรื่องน่าประหลาดใจมาก หากเราพบเจอรัฐเสรีนิยมใหม่ที่ยึดมั่นในหลักการของลัทธิเสรีนิยมใหม่ตลอดเวลา ต่อให้เป็นรัฐที่คลั่งลัทธิเสรีนิยมใหม่มากที่สุดก็ตาม

ในกรณีอื่น ๆ มีเหตุผลที่จะแสดงให้เห็นว่า ความแตกต่างระหว่างทฤษฎีกับการปฏิบัติเกิดมาจากปัญหาความขัดแย้งระหว่างการเปลี่ยนผ่าน ซึ่งสะท้อนถึงรูปแบบรัฐที่แตกต่างกันไป ก่อนจะเปลี่ยนไปสู่ลัทธิเสรีนิยมใหม่ ยกตัวอย่างเช่น สภาพการณ์ในยุโรปกลางและยุโรปตะวันออกหลังการล่มสลายของค่ายคอมมิวนิสต์มีลักษณะพิเศษมาก ความรวดเร็วของการแปรรูปที่เกิดขึ้นภายใต้ "การบำบัดด้วยการช็อก" (shock therapy) ที่เข้ามาครอบงำกลุ่มประเทศเหล่านี้ในช่วงทศวรรษ 1990 สร้างความตึงเครียดอย่างใหญ่หลวงที่ยังส่งผลสั่นสะเทือนจนถึงทุกวันนี้

รัฐสังคมนิยมประชาธิปไตย(เช่น กลุ่มประเทศสแกนดิเนเวียหรือสหราชอาณาจักรในช่วงหลังสงคราม โลกใหม่ ๆ) ได้ดึงเอาภาคส่วนสำคัญ ๆ ของระบบเศรษฐกิจ เช่น การดูแลสุขภาพ การศึกษา   แม้กระ ทั่งการเคหะ  ออกจากตลาดมานานแล้ว โดยให้เหตุผลว่า *การเข้าถึงปัจจัยสี่ของมนุษย์ไม่ควรตกอยู่ภายใต้กลไกตลาด         และไม่ควรปล่อยให้การเข้าถึงถูกจำกัดด้วยความสามารถในการจ่ายเงินซื้อหา  ในขณะที่มาร์กาเร็ต แธตเชอร์ สามารถเปลี่ยนแปลงแนวคิดและการปฏิบัติในเรื่องนี้ได้ ชาวสวีเดนกลับขัดขืนได้ยาวนานกว่า แม้เมื่อเผชิญกับความพยายามอย่างเข้มข้นของกลุ่มผลประโยชน์ชนชั้นนายทุนที่จะผลักดันประเทศไปสู่เส้นทางเสรีนิยมใหม่ก็ตาม

อนึ่ง ด้วยเหตุผลที่แตกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง รัฐนักพัฒนา (เช่น สิงคโปร์และประเทศอื่น ๆ ในเอเชีย) หันไปพึ่งพิงภาครัฐและการวางแผนของรัฐ โดยจับมือแนบแน่นกับทุนภายในประเทศและทุนบรรษัท (ซึ่งมักเป็นบรรษัทต่างชาติและบรรษัทข้ามชาติ) เพื่อส่งเสริมการสะสมทุนและความเติบโตทางเศรษฐกิจ(4) โดยส่วนใหญ่แล้ว รัฐนักพัฒนา (developmental state)(*) มักให้ความสนใจในด้านสังคมมากเท่า ๆ กับโครงสร้างพื้นฐานทางวัตถุ ทำให้รัฐเหล่านี้มีนโยบายหลาย ๆ ด้านที่เสมอภาคมากกว่า เช่น   การเข้าถึงโอกาสในการศึกษาและการดูแลสุขภาพ การลงทุนของรัฐในด้านการศึกษา ถือเป็นเงื่อนไขเบื้องต้นที่สำคัญอย่างยิ่งที่จะทำให้ประเทศมีความได้เปรียบในการแข่งขันในตลาดโลก 

(4) P. Evans, Embedded Autonomy: States and Industrial Transformation (Princeton: Princeton University Press, 1995); R. Wade, Governing the Market (Princeton: Princeton University Press, 1992); M. Woocummings (ed.), The Developmental State (Ithaca, NY: Cornell University Press, 1999).
(*) รัฐนักพัฒนา (developmental state) ผู้เขียนยังคิดหาคำแปลที่ดีกว่านี้ไม่ได้ขอเสนอคำว่า”รัฐที่มุ่งเน้นการพัฒนา?” ครับ

หมายถึง รัฐที่มีบทบาทในการวางแผนเศรษฐกิจมหภาค โดยเฉพาะประเทศในเอเชียตะวันออก เช่น ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ แต่ต่อมาครอบคลุมไปถึงรัฐในภูมิภาคอื่น ๆ เช่น อินเดีย บอทสวานา เป็นต้น รัฐประเภทนี้มักให้การคุ้มครองอุตสาหกรรมในประเทศที่เพิ่งเริ่มต้น มีความคิดชาตินิยมในการพัฒนาเศรษฐกิจ เน้นส่วนแบ่งการตลาดมากกว่ากำไร ส่งเสริมการถ่ายทอดเทคโนโลยีจากต่างประ เทศ มีระบบราชการที่ใหญ่โต และให้ความสำคัญกับการเติบโตทางเศรษฐกิจมากกว่าการปฏิรูปทางการเมือง (ผู้แปล)

รัฐนักพัฒนาปฏิบัติสอดคล้องกับลัทธิเสรีนิยมใหม่ในแง่ที่เอื้อให้เกิดการแข่งขันระหว่างบริษัท บรรษัทและกลุ่มต่าง ๆ ทั้งยังยอมรับกฎเกณฑ์ของการค้าเสรีและพึ่งพิงตลาดส่งออกที่เปิดกว้าง กระนั้นก็ตาม รัฐเหล่านี้มีบทบาทเป็นนักแทรกแซงในด้านการสร้างโครงสร้างพื้นฐานเพื่อบรรยากาศทางธุรกิจที่ดี ด้วยเหตุนี้    ลัทธิเสรีนิยมใหม่จึงเปิดโอกาสให้รัฐนักพัฒนาสามารถยกฐานะในการแข่งขันระหว่างประเทศ โดยให้รัฐเข้าไปแทรกแซงด้วยการพัฒนาโครงสร้างใหม่ ๆ (เช่น การสนับสนุนการวิจัยและพัฒนา) แต่ในขณะเดียวกัน ลัทธิเสรีนิยมใหม่ก็สร้างเงื่อนไขที่เอื้อต่อการก่อรูปทางชนชั้น และเมื่อใดที่อำนาจของชนชั้นนั้นเข้มแข็งขึ้น ชนชั้นนั้นก็มีแนวโน้มที่จะหาทางปลดปล่อยตัวเองจากการพึ่งพิงอำนาจรัฐและหันเหอำนาจรัฐให้เดินตามแนวทางเสรีนิยมใหม่มากขึ้น (ดังเช่นที่เกิดขึ้นกับเกาหลีใต้ในปัจจุบัน)

เมื่อการจัดระบบสถาบันแบบใหม่ก้าวเข้ามานิยามกฎเกณฑ์การค้าโลก อาทิเช่น เดี๋ยวนี้การเปิดตลาดทุนเป็นเงื่อนไขในการเข้าเป็นสมาชิกไอเอ็มเอฟและดับเบิลยูทีโอ เป็นต้น    รัฐนักพัฒนาก็เริ่มพบว่าตนเองถูกดึงเข้าไปสู่ค่ายเสรีนิยมใหม่มากขึ้นๆ ตัวอย่างที่เกิดขึ้นก็คือ วิกฤตการณ์เอเชียช่วงปี ค.ศ. 1997-8 ก่อให้เกิดผลกระทบที่สำคัญอย่างหนึ่งคือ ทำให้รัฐนักพัฒนาต้องปฏิบัติตามบรรทัดฐานของเสรีนิยมใหม่มากขึ้น และดังที่เราเห็นมาแล้วในกรณีของอังกฤษ เป็นเรื่องยากที่จะรักษาจุดยืนแบบเสรีนิยมใหม่ในระบบเศรษฐกิจระหว่างประเทศ (เช่น การให้ความสะดวกแก่การดำเนินงานของทุนการเงิน) โดยไม่ยอมรับแนวทางเสรีนิยมใหม่ภายในประเทศอย่างน้อยในระดับหนึ่ง (เกาหลีใต้ต้องต่อสู้กับความตึงเครียดแบบนี้เองในช่วงเวลาที่เพิ่งผ่านมา) กระนั้นก็ตาม รัฐนักพัฒนามิได้ปักใจเชื่อเลยว่า เส้นทางแบบเสรีนิยมใหม่เป็นเส้นทางที่ถูกต้อง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อเห็นได้ว่าหลาย ๆประเทศ(เช่น ไต้หวันและจีน) ที่ไม่ยอมเปิดเสรีตลาดทุน กลับประสบปัญหาในวิกฤตการณ์ทางการเงิน ค.ศ. 1997-8 น้อยกว่ากลุ่มประเทศที่เปิดเสรีมาก (5)
(5) J. Henderson, 'Uneven Crises: Institutional Foundation of East Asian Turmoil, Economy and Society, 28/3 (1999), 327-68.

ในปัจจุบัน การปฏิบัติที่เกี่ยวข้องกับทุนการเงินและสถาบันการเงิน น่าจะเป็นส่วนที่สอดคล้องกับหลักความเชื่อเสรีนิยมใหม่น้อยที่สุด รัฐเสรีนิยมใหม่มักอำนวยความสะดวกให้แก่การแผ่ขยายอิทธิพลของสถาบันการเงินด้วยวิธีการลดกฎเกณฑ์ข้อบังคับ แต่ในขณะเดียวกัน รัฐเสรีนิยมใหม่ก็มักรับประกันความมั่นคงและสภาพคล่องของสถาบันการเงิน โดยไม่คำนึงว่าต้องทุ่มเทต้นทุนแค่ไหน พันธกิจเช่นนี้ส่วนหนึ่งเกิดมาจากความเชื่อว่าลัทธิการเงินนิยม (monetarism) (*) คือรากฐานของนโยบายรัฐ (ซึ่งถือเป็นแนวคิดที่ถูกต้องในทฤษฎีเสรีนิยมใหม่บางสำนัก)
(*) Monetarism สำนักการเงินนิยมเชื่อว่า การเปลี่ยนแปลงในภาคการเงินเป็นสาเหตุหลักของความไร้เสถียรภาพในระบบเศรษฐกิจ ดังนั้น พวกการเงินนิยมจึงมีความเห็นว่า การใช้นโยบายการเงินในการรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ ย่อมมีประสิทธิภาพมากกว่าการใช้นโยบายการคลัง ผู้เป็นตัวตั้งตัวตีคนสำคัญของสำนักนี้คือ มิลตัน ฟรีดแมน (ผู้แปล)

ความมั่นคงและเข้มแข็งของเงินตราคือฟันเฟืองสำคัญในนโยบายนี้ แต่แนวคิดนี้ทำให้เกิดข้อขัดแย้งขึ้นมาในตัวเองว่า  รัฐเสรีนิยมใหม่ไม่สามารถทนต่อการผิดนัดชำระหนี้ทางการเงินขนาดใหญ่ ถึงแม้ว่าสถาบันการเงินเป็นผู้ตัดสินใจผิดพลาดเองแท้ ๆ รัฐจำต้องก้าวเข้ามาและควักเนื้อเพื่อแทนที่เงิน "ไม่ดี" ด้วยเงิน "ดี" ของรัฐเอง   เหตุผลนี้เองที่ทำให้นายธนาคารกลางตกอยู่ภายใต้แรงกดดันและจำต้องหาทางรักษาความเชื่อมั่นในความเข้มแข็งของเงินสำรองภาครัฐเอาไว้ อำนาจรัฐมักถูกดึงมาใช้ช่วย เหลือบริษัทต่าง ๆ ให้รอดจากการล้มละลายหรือหลีกเลี่ยงความล้มเหลวในภาคการเงิน อาทิเช่น วิกฤตการณ์เงินออมและเงินกู้ของสหรัฐฯ เมื่อ ค.ศ. 1987-8 ทำให้ผู้เสียภาษีชาวอเมริกันสูญเงินไปถึงราว 150 พันล้านดอลลาร์ หรือการล่มสลายของกองทุนประกันความเสี่ยง Long Term Capital Management ใน ค.ศ. 1997-8 ซึ่งทำให้สูญเงินภาษีไปถึง 3.5 พันล้านดอลลาร์

ในเชิงสากลนั้น ใน ค.ศ. 1982 รัฐเสรีนิยมใหม่ที่เป็นกลุ่มแกนกลางได้มอบให้ไอเอ็ม เอฟและธนาคารโลกมีอำนาจเต็มในการเจรจาประนอมหนี้   ซึ่งหมายถึงการคุ้มครองสถาบันการเงินรายใหญ่ในโลกให้พ้นจากภัยคุกคามของการพักชำระหนี้ ไอเอ็มเอฟทำงานอย่างสุดความสามารถเพื่อปกป้องความเสี่ยงและความไม่แน่นอนในตลาดการเงินระหว่างประเทศ หากพิจารณาตามทฤษฎีเสรีนิยมใหม่จริง ๆ การปฏิบัติแบบนี้เป็นเรื่องที่แทบไม่มีเหตุผล ในเมื่อตามหลักการแล้ว พวกนักลงทุนควรรับผิดชอบต่อความผิดพลาดของตนเอง ด้วยเหตุนี้ นักเสรีนิยมใหม่เคร่งคัมภีร์จึงเชื่อว่าควรล้มล้างสถาบันไอเอ็มเอฟไปเสียเลย

เคยมีการพิจารณาทางเลือกนี้อย่างจริงจังระหว่างช่วงปีแรก ๆ ของรัฐบาลเรแกน ต่อมาผู้แทนพรรครีพับลิกันเคยหยิบยกประเด็นนี้ขึ้นมาอีกครั้งใน ค.ศ. 1998 เจมส์ เบเกอร์ (James Baker) รัฐมนตรีว่า การกระทรวงการคลังในรัฐบาลเรแกนช่วยชุบชีวิตสถาบันนี้ขึ้นมาใหม่    เมื่อเขาต้องเผชิญหน้ากับสถานการณ์ที่เม็กซิโกอาจล้มละลายทางเศรษฐกิจ ซึ่งอาจทำให้เกิดความสูญเสียอย่างร้ายแรงต่อกลุ่มธนาคารเพื่อการลงทุนรายใหญ่ในนิวยอร์กซิตี ที่ให้กู้แก่ประเทศเม็กซิโกเมื่อ ค.ศ. 1982  เบเกอร์ใช้ไอเอ็มเอฟยัดเยียดการปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจให้แก่เม็กซิโก และคุ้มครองนายธนาคารนิวยอร์กจนพ้นจากการพักชำระหนี้ การปฏิบัติเช่นนี้ให้ความสำคัญสูงสุดแก่ความจำเป็นของธนาคารและสถาบันการเงิน ขณะเดียวกัน การลดทอนมาตรฐานการครองชีพของประชาชนในประเทศลูกหนี้เป็นสิ่งที่เคยนำร่องมาก่อนแล้ว ในสมัยที่เกิดวิกฤตการณ์หนี้สินในนิวยอร์กซิตี ในบริบทระหว่างประเทศ นี่หมาย ถึงการดูดซับมูลค่าส่วนเกินจากประชากรยากจนในโลกที่สามไปจ่ายหนี้ให้แก่นายธนาคารระหว่างประเทศ "ช่างเป็นโลกที่แปลกประหลาดนัก"

โจเซฟ สติกลิทซ์ ตั้งข้อสังเกตด้วยความฉงน "กลุ่มประเทศยากจนกลับเป็นฝ่ายอุดหนุนทางการเงินแก่กลุ่มประเทศร่ำรวยที่สุด" แม้กระทั่งชิลี ซึ่งเคยเป็นนักเรียนตัวอย่างในการปฏิบัติตามลัทธิเสรีนิยมใหม่ "ขนานแท้" หลังจาก ค.ศ. 1975 เป็นต้นมา ก็ยังโดนผลกระทบแบบนี้ใน ค.ศ. 1982-3 ส่งผลให้ผลิต ภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ตกต่ำลงเกือบ 14% และการว่างงานเพิ่มขึ้นถึง 20% ในช่วงเวลาแค่ปีเดียว แต่ข้อสรุปว่า ลัทธิเสรีนิยมใหม่ "ขนานแท้" เป็นสิ่งที่ใช้การไม่ได้ กลับไม่ได้รับการยอมรับในเชิงทฤษฎี ถึงแม้การปรับประยุกต์วิธีการเชิงปฏิบัติที่เกิดขึ้นตามมาในชิลี (รวมทั้งสหราชอาณาจักร หลัง จาก ค.ศ. 1983) จะมีการประนีประนอมจำนวนมากที่ยิ่งถ่างช่องว่างระหว่างทฤษฎีกับการปฏิบัติให้ห่างออกจากกันยิ่งขึ้น (6)
 (6) Stiglitz, The Roaring Nineties, 227; P. Hall, Governing the Economy; Fourcade-Gourinchas and Babb, 'The Rebirth of the Liberal Creed'.

การใช้กลไกทางการเงินเก็บส่วยจากประเทศยากจน เป็นวิธีปฏิบัติที่เก่าแก่ในระบบจักรวรรดินิยม วิธีนี้พิสูจน์แล้วว่ามีประโยชน์อย่างมากในการช่วยฟื้นฟูอำนาจของชนชั้น โดยเฉพาะในศูนย์กลางทางการเงินใหญ่ ๆ ของโลก และไม่จำเป็นต้องอาศัยวิกฤตการณ์ของการปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจเสมอไปด้วย ยกตัวอย่างเช่น เมื่อใดที่ผู้ประกอบการในประเทศกำลังพัฒนากู้ยืมเงินจากต่างประเทศ เงื่อนไขที่ประเทศของผู้ประกอบการรายนั้น ต้องมีการสำรองเงินตราต่างประเทศมากเพียงพอที่จะชด เชยเงินกู้นั้น หมายความว่ารัฐนั้น ๆ จำเป็นต้องลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ความแตกต่างระหว่างอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ (เช่น 12%) กับเงินที่ฝากไว้เป็นหลักทรัพย์ประกันการกู้ยืมในกระทรวงการคลังสหรัฐฯ ที่วอชิงตัน (เช่น 4%) ทำให้เกิดการไหลออกทางการเงินสุทธิไปสู่ศูนย์กลางจักรวรรดินิยมด้วยค่าใช้จ่ายของประเทศกำลังพัฒนา

แนวโน้มเช่นนี้ที่เกิดขึ้นในกลุ่มรัฐแกนกลางอย่างสหรัฐฯ ซึ่งจะคุ้มครองกลุ่มผลประโยชน์ทางการเงินและยืนดูเฉย ๆ เมื่อกลุ่มผลประโยชน์นั้นดูดมูลค่าส่วนเกินจากประเทศอื่น ๆ การปฏิบัติทั้งสองประการนี้ ทั้งส่งเสริมและสะท้อนให้เห็นการฟื้นฟูอำนาจเป็นปึกแผ่นของชนชั้นสูงภายในรัฐแกนกลางเหล่านี้ โดยอาศัยกระบวนการทางการเงิน แต่นิสัยที่ชอบเข้าไปแทรกแซงตลาดและอุ้มสถาบันการเงินเมื่อมีปัญหา ย่อมไม่สอดคล้องกับทฤษฎีเสรีนิยมใหม่อย่างสิ้นเชิง การขาดทุนควรเป็นบทลงโทษผู้ให้กู้ที่ลงทุนอย่างสะเพร่า แต่รัฐกลับปกป้องผู้ให้กู้ให้ปลอดพ้นจากการขาดทุนเป็นส่วนใหญ่ ส่วนผู้กู้กลับต้องเป็นฝ่ายชดใช้แทน โดยไม่คำนึงถึงต้นทุนทางสังคมที่จะตามมา อันที่จริง ทฤษฎีเสรีนิยมใหม่ควรให้คติว่า "เจ้าหนี้ จงระวังตัว" แต่การปฏิบัติกลับกลายเป็น "ลูกหนี้ จงระวังตัว"

กระนั้นก็ตาม การรีดเอามูลค่าส่วนเกินจากระบบเศรษฐกิจของประเทศกำลังพัฒนาก็มีขีดจำกัดอยู่เหมือนกัน เมื่อต้องรัดเข็มขัดด้วยมาตรการเข้มงวดทางการเงินการคลัง ย่อมทำให้ประเทศกำลังพัฒนาตกสู่ภาวะชะงักงันทางเศรษฐกิจเรื้อรัง โอกาสในการจ่ายคืนหนี้จึงมักเนิ่นนานออกไปอีก ภายใต้สภาพการณ์เช่นนี้ การยอมขาดทุนในระดับหนึ่งอาจเป็นทางเลือกที่น่าสนใจกว่า เหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นภายใต้แผนเบรดี (Brady Plan) ใน ค.ศ. 1989 (7) สถาบันการเงินยินยอมลดหนี้ค้างชำระลง 35% เพื่อแลกกับพันธบัตรลดราคา (ซึ่งสนับสนุนโดยไอเอ็มเอฟและกระทรวงการคลังสหรัฐฯ) และหลักประกันว่าจะได้รับการชำระหนี้ส่วนที่เหลือคืน (กล่าวอีกอย่างหนึ่งคือ เจ้าหนี้ได้รับหลักประกันว่าจะได้รับการชำระหนี้คืนในอัตรา 65 เซนต์ต่อหนึ่งดอลลาร์)
(7) I. Vasquez, 'The Brady Plan and Market-Based Solutions to Debt Crises', The Cato Journal, 16/2 (online).

ใน ค.ศ. 1994 กลุ่มประเทศ 18 ประเทศ (ซึ่งรวมถึงเม็กซิโก บราซิล อาร์เจนตินา เวเนซุเอลา และอุรุกวัย) ยอมรับข้อตกลงที่ช่วยลดหนี้สินให้ประเทศเหล่านี้ได้ราว 60 พันล้านดอลลาร์ แน่นอน สิ่งที่มุ่งหวังก็คือ การผ่อนผันหนี้สินเช่นนี้น่าจะช่วยจุดประกายให้เกิดการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ ซึ่งจะช่วยให้ชำระหนี้สินส่วนที่เหลือได้ในเวลาที่เหมาะสม แต่ปัญหาก็คือ ไอเอ็มเอฟเข้ามาดูแลด้วยว่า ทุกประเทศที่ได้รับการลดหนี้เป็นจำนวนน้อยนิดนี้ (ซึ่งหลายคนมองว่าเป็นจำนวนเงินขั้นต่ำสุดเมื่อเปรียบเทียบกับที่ธนาคารได้ไป) จำต้องกลืนยาพิษที่มาในรูปของการปฏิรูปสถาบันตามแนวทางเสรีนิยมใหม่ด้วย วิกฤตการณ์ค่าเงินเปโซในเม็กซิโกเมื่อ ค.ศ. 1995 วิกฤตการณ์ของบราซิลใน ค.ศ. 1998 และการล่มสลายของระบบเศรษฐกิจอาร์เจนตินาใน ค.ศ. 2001 คือผลลัพธ์ที่น่าจะคาดการณ์ได้ตั้งแต่แรก

หมายเหตุ:  บทความชิ้นนี้  คัดมาจากหัวข้อที่3  บทที่ 3  ของหนังสือ " A Brief History of Neoliberalism, Oxford University Press: 2007,  " ของ   David Harvey, ในหัวเรื่อง รัฐเสรีนิยมใหม่ในภาคปฏิบัติ   ซึ่งแปลและเชิงอรรถ โดย คุณ ภัควดี วีระภาสพงษ์  นักแปลอิสระ  ลงในเวปไซต์ มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน เมื่อวันที่  9 สิงหาคม  2551  ลำดับที่  1634 ........  เราเห็นว่าเป็นเรื่องที่น่าสน ใจและมีประโยชน์มากในการศึกษาระบอบทุนนิยม     จึงเรียนขออนุญาตท่านผู้แปล  เพื่อนำมาเสนอและเผยแพร่แก่ผู้ที่สนใจได้ศึกษา     ขอขอบคุณท่านผู้แปลเป็นอย่างสูงมาในโอกาสนี้ด้วย  
ด้วยภราดรภาพ


No comments:

Post a Comment