รัฐเสรีนิยมใหม่ในภาคปฏิบัติ
ลักษณะทั่วไปของรัฐในยุคเสรีนิยมใหม่เป็นสิ่งที่ยากจะบรรยายเพราะเหตุผลสองประการด้วยกัน
ประการแรก การบิดเบนอย่างเป็นระบบจากต้นแบบของทฤษฎีเสรีนิยมใหม่เป็นสิ่งที่เห็นได้ในทันที
ซึ่งไม่อาจนิยามด้วยความขัดแย้งภายในที่กล่าวถึงข้างต้นได้ทั้งหมด
ประการที่สอง พลวัตเชิงวิวัฒนาการของลัทธิเสรีนิยมใหม่
มีลักษณะที่บังคับให้เกิดการประยุกต์ที่แตกต่างกันอย่างมากในแต่ละสถานที่และในแต่ละช่วงเวลา
ความพยายามใด ๆ ที่จะสร้างภาพรวมที่เป็นแม่แบบของรัฐเสรีนิยมใหม่ จากสภาพภูมิศาสตร์เชิงประวัติศาสตร์ที่ไม่แน่นอนและเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วนี้
ดูคล้ายภารกิจของคนโง่ กระนั้นก็ตาม ผู้เขียนคิดว่าคงมีประโยชน์ไม่น้อย หากวางเค้าโครงคำอธิบายโดยรวมบางประการ
ซึ่งจะชี้ให้เห็นมโนทัศน์เกี่ยวกับรัฐเสรีนิยมใหม่ได้แจ่มชัดขึ้น
ความพยายามที่จะฟื้นฟูอำนาจของชนชั้นมักสร้างความบิดเบือนขึ้นมา และในบางกรณีก็ถึงขั้นพลิกกลับทฤษฎีเสรีนิยมใหม่ในภาคปฏิบัติเลยทีเดียว
ความบิดเบือนนี้เกิดขึ้นในสองภาคส่วนคือ
ประการแรก เกิดจากความจำเป็นในการสร้าง "ภาคธุรกิจที่ดีหรือบรรยากาศเพื่อการลงทุน"
สำหรับการประกอบการในระบบทุนนิยม ในขณะที่เงื่อนไขบางอย่าง เช่น
ความมีเสถียรภาพทางการเมือง การเคารพกฎหมาย หรือการใช้กฎหมายอย่างเป็นธรรมต่อทุกฝ่าย
ทั้งหมดนี้อาจพอจะถือได้ว่ามีลักษณะ "เป็นกลางทางชนชั้น"
แต่ก็มีเงื่อนไขอื่น ๆ ที่เห็นได้ชัดว่าลำเอียง โดยเฉพาะความลำเอียงที่เกิดขึ้นจากการปฏิบัติต่อแรงงานและสิ่งแวดล้อมในฐานะสินค้า
เมื่อเกิดความขัดแย้งขึ้น
รัฐเสรีนิยมใหม่มักเข้าข้างการมีบรรยากาศการทำธุรกิจที่ดี โดยมีอคติต่อสิทธิส่วนรวม
(และคุณภาพชีวิต) ของแรง งานหรือความสามารถในการฟื้นฟูตัวเองของสิ่งแวดล้อม
ประการที่สอง ในสถานการณ์ของความขัดแย้งข้างต้น
จะมีความลำเอียงเกิดขึ้นด้วย กล่าวคือ รัฐเสรีนิยมใหม่มักเข้าข้างความมั่นคงของระบบการเงิน
และสภาพคล่องของสถาบันทางการเงินมากกว่าความอยู่ดีกินดีของประชากรหรือคุณภาพของสิ่งแวดล้อม อคติอย่างเป็นระบบทั้งสองประการนี้ใช่ว่าจะมองทะลุให้เห็นง่าย
ๆ เสมอไป ทั้งนี้เพราะการปฏิบัติของรัฐมักบิดเบี้ยวแตกต่างกันไปจนสับสนยุ่งเหยิง เงื่อนไขเชิงสัมฤทธิผลนิยมและฉวยโอกาสมักมีบทบาทสำคัญมาก
ประธานาธิบดีบุชสนับสนุนตลาดเสรีและการค้าเสรี
แต่กลับตั้งกำแพงภาษีสินค้าเหล็กเพื่อรักษาฐานเสียงเลือกตั้งของตนในรัฐโอไฮโอ (และปรากฏว่าได้ผลด้วย) รัฐมักกำหนดโควตาสินค้านำเข้าจากต่างประเทศขึ้นมาอย่างไม่มีหลักเกณฑ์แน่นอน
เพียงเพื่อบรรเทาความไม่พอใจภายในประ เทศ
รัฐในยุโรปยืนยันเสียงแข็งที่จะให้มีการค้าเสรีในสินค้าทุกประเภท
ยกเว้นสินค้าเกษตรกรรมที่ปกป้องเอาไว้ โดยอ้างเหตุผลเชิงสังคม การเมือง หรือแม้กระทั่งเหตุผลเชิงสุนทรียะ
รัฐมักมีการแทรกแซงพิ เศษเพื่อเข้าข้างกลุ่มผลประโยชน์ทางธุรกิจบางกลุ่ม (เช่น การค้าอาวุธ)รวมทั้งการให้สินเชื่อระหว่างรัฐก็ทำกันตามอำเภอใจ
เพื่อได้มาซึ่งความใกล้ชิดทางการเมืองและอิทธิพลในภูมิภาคที่อ่อนไหวในเชิงภูมิศาสตร์การเมือง (เช่น ตะวันออกกลาง) ด้วยเหตุผลแบบนี้เอง
คงเป็นเรื่องน่าประหลาดใจมาก หากเราพบเจอรัฐเสรีนิยมใหม่ที่ยึดมั่นในหลักการของลัทธิเสรีนิยมใหม่ตลอดเวลา
ต่อให้เป็นรัฐที่คลั่งลัทธิเสรีนิยมใหม่มากที่สุดก็ตาม
ในกรณีอื่น
ๆ มีเหตุผลที่จะแสดงให้เห็นว่า ความแตกต่างระหว่างทฤษฎีกับการปฏิบัติเกิดมาจากปัญหาความขัดแย้งระหว่างการเปลี่ยนผ่าน ซึ่งสะท้อนถึงรูปแบบรัฐที่แตกต่างกันไป ก่อนจะเปลี่ยนไปสู่ลัทธิเสรีนิยมใหม่
ยกตัวอย่างเช่น สภาพการณ์ในยุโรปกลางและยุโรปตะวันออกหลังการล่มสลายของค่ายคอมมิวนิสต์มีลักษณะพิเศษมาก
ความรวดเร็วของการแปรรูปที่เกิดขึ้นภายใต้ "การบำบัดด้วยการช็อก" (shock therapy) ที่เข้ามาครอบงำกลุ่มประเทศเหล่านี้ในช่วงทศวรรษ
1990 สร้างความตึงเครียดอย่างใหญ่หลวงที่ยังส่งผลสั่นสะเทือนจนถึงทุกวันนี้
รัฐสังคมนิยมประชาธิปไตย(เช่น
กลุ่มประเทศสแกนดิเนเวียหรือสหราชอาณาจักรในช่วงหลังสงคราม โลกใหม่ ๆ) ได้ดึงเอาภาคส่วนสำคัญ
ๆ ของระบบเศรษฐกิจ เช่น การดูแลสุขภาพ การศึกษา แม้กระ ทั่งการเคหะ ออกจากตลาดมานานแล้ว โดยให้เหตุผลว่า *การเข้าถึงปัจจัยสี่ของมนุษย์ไม่ควรตกอยู่ภายใต้กลไกตลาด และไม่ควรปล่อยให้การเข้าถึงถูกจำกัดด้วยความสามารถในการจ่ายเงินซื้อหา ในขณะที่มาร์กาเร็ต แธตเชอร์
สามารถเปลี่ยนแปลงแนวคิดและการปฏิบัติในเรื่องนี้ได้ ชาวสวีเดนกลับขัดขืนได้ยาวนานกว่า
แม้เมื่อเผชิญกับความพยายามอย่างเข้มข้นของกลุ่มผลประโยชน์ชนชั้นนายทุนที่จะผลักดันประเทศไปสู่เส้นทางเสรีนิยมใหม่ก็ตาม
อนึ่ง
ด้วยเหตุผลที่แตกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง รัฐนักพัฒนา (เช่น สิงคโปร์และประเทศอื่น
ๆ ในเอเชีย) หันไปพึ่งพิงภาครัฐและการวางแผนของรัฐ โดยจับมือแนบแน่นกับทุนภายในประเทศและทุนบรรษัท (ซึ่งมักเป็นบรรษัทต่างชาติและบรรษัทข้ามชาติ) เพื่อส่งเสริมการสะสมทุนและความเติบโตทางเศรษฐกิจ(4) โดยส่วนใหญ่แล้ว รัฐนักพัฒนา (developmental state)(*) มักให้ความสนใจในด้านสังคมมากเท่า
ๆ กับโครงสร้างพื้นฐานทางวัตถุ ทำให้รัฐเหล่านี้มีนโยบายหลาย ๆ
ด้านที่เสมอภาคมากกว่า เช่น การเข้าถึงโอกาสในการศึกษาและการดูแลสุขภาพ
การลงทุนของรัฐในด้านการศึกษา ถือเป็นเงื่อนไขเบื้องต้นที่สำคัญอย่างยิ่งที่จะทำให้ประเทศมีความได้เปรียบในการแข่งขันในตลาดโลก
(4) P. Evans, Embedded Autonomy: States and Industrial
Transformation (Princeton: Princeton University Press, 1995); R. Wade,
Governing the Market (Princeton: Princeton University Press, 1992); M.
Woocummings (ed.), The Developmental State (Ithaca, NY: Cornell University
Press, 1999).
(*) รัฐนักพัฒนา
(developmental state) ผู้เขียนยังคิดหาคำแปลที่ดีกว่านี้ไม่ได้… ขอเสนอคำว่า”รัฐที่มุ่งเน้นการพัฒนา?”
ครับ)
หมายถึง รัฐที่มีบทบาทในการวางแผนเศรษฐกิจมหภาค
โดยเฉพาะประเทศในเอเชียตะวันออก เช่น ญี่ปุ่น เกาหลีใต้
แต่ต่อมาครอบคลุมไปถึงรัฐในภูมิภาคอื่น ๆ เช่น อินเดีย บอทสวานา เป็นต้น
รัฐประเภทนี้มักให้การคุ้มครองอุตสาหกรรมในประเทศที่เพิ่งเริ่มต้น มีความคิดชาตินิยมในการพัฒนาเศรษฐกิจ
เน้นส่วนแบ่งการตลาดมากกว่ากำไร ส่งเสริมการถ่ายทอดเทคโนโลยีจากต่างประ เทศ
มีระบบราชการที่ใหญ่โต และให้ความสำคัญกับการเติบโตทางเศรษฐกิจมากกว่าการปฏิรูปทางการเมือง (ผู้แปล)
รัฐนักพัฒนาปฏิบัติสอดคล้องกับลัทธิเสรีนิยมใหม่ในแง่ที่เอื้อให้เกิดการแข่งขันระหว่างบริษัท
บรรษัทและกลุ่มต่าง ๆ ทั้งยังยอมรับกฎเกณฑ์ของการค้าเสรีและพึ่งพิงตลาดส่งออกที่เปิดกว้าง
กระนั้นก็ตาม รัฐเหล่านี้มีบทบาทเป็นนักแทรกแซงในด้านการสร้างโครงสร้างพื้นฐานเพื่อบรรยากาศทางธุรกิจที่ดี
ด้วยเหตุนี้ ลัทธิเสรีนิยมใหม่จึงเปิดโอกาสให้รัฐนักพัฒนาสามารถยกฐานะในการแข่งขันระหว่างประเทศ
โดยให้รัฐเข้าไปแทรกแซงด้วยการพัฒนาโครงสร้างใหม่ ๆ (เช่น การสนับสนุนการวิจัยและพัฒนา)
แต่ในขณะเดียวกัน ลัทธิเสรีนิยมใหม่ก็สร้างเงื่อนไขที่เอื้อต่อการก่อรูปทางชนชั้น และเมื่อใดที่อำนาจของชนชั้นนั้นเข้มแข็งขึ้น
ชนชั้นนั้นก็มีแนวโน้มที่จะหาทางปลดปล่อยตัวเองจากการพึ่งพิงอำนาจรัฐและหันเหอำนาจรัฐให้เดินตามแนวทางเสรีนิยมใหม่มากขึ้น
(ดังเช่นที่เกิดขึ้นกับเกาหลีใต้ในปัจจุบัน)
เมื่อการจัดระบบสถาบันแบบใหม่ก้าวเข้ามานิยามกฎเกณฑ์การค้าโลก
อาทิเช่น เดี๋ยวนี้การเปิดตลาดทุนเป็นเงื่อนไขในการเข้าเป็นสมาชิกไอเอ็มเอฟและดับเบิลยูทีโอ
เป็นต้น รัฐนักพัฒนาก็เริ่มพบว่าตนเองถูกดึงเข้าไปสู่ค่ายเสรีนิยมใหม่มากขึ้นๆ
ตัวอย่างที่เกิดขึ้นก็คือ วิกฤตการณ์เอเชียช่วงปี ค.ศ. 1997-8 ก่อให้เกิดผลกระทบที่สำคัญอย่างหนึ่งคือ ทำให้รัฐนักพัฒนาต้องปฏิบัติตามบรรทัดฐานของเสรีนิยมใหม่มากขึ้น
และดังที่เราเห็นมาแล้วในกรณีของอังกฤษ เป็นเรื่องยากที่จะรักษาจุดยืนแบบเสรีนิยมใหม่ในระบบเศรษฐกิจระหว่างประเทศ
(เช่น การให้ความสะดวกแก่การดำเนินงานของทุนการเงิน) โดยไม่ยอมรับแนวทางเสรีนิยมใหม่ภายในประเทศอย่างน้อยในระดับหนึ่ง
(เกาหลีใต้ต้องต่อสู้กับความตึงเครียดแบบนี้เองในช่วงเวลาที่เพิ่งผ่านมา)
กระนั้นก็ตาม รัฐนักพัฒนามิได้ปักใจเชื่อเลยว่า เส้นทางแบบเสรีนิยมใหม่เป็นเส้นทางที่ถูกต้อง
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อเห็นได้ว่าหลาย
ๆประเทศ(เช่น ไต้หวันและจีน) ที่ไม่ยอมเปิดเสรีตลาดทุน กลับประสบปัญหาในวิกฤตการณ์ทางการเงิน
ค.ศ. 1997-8 น้อยกว่ากลุ่มประเทศที่เปิดเสรีมาก
(5)
(5) J. Henderson, 'Uneven Crises: Institutional Foundation of
East Asian Turmoil, Economy and Society, 28/3 (1999), 327-68.
ในปัจจุบัน
การปฏิบัติที่เกี่ยวข้องกับทุนการเงินและสถาบันการเงิน น่าจะเป็นส่วนที่สอดคล้องกับหลักความเชื่อเสรีนิยมใหม่น้อยที่สุด
รัฐเสรีนิยมใหม่มักอำนวยความสะดวกให้แก่การแผ่ขยายอิทธิพลของสถาบันการเงินด้วยวิธีการลดกฎเกณฑ์ข้อบังคับ
แต่ในขณะเดียวกัน รัฐเสรีนิยมใหม่ก็มักรับประกันความมั่นคงและสภาพคล่องของสถาบันการเงิน
โดยไม่คำนึงว่าต้องทุ่มเทต้นทุนแค่ไหน พันธกิจเช่นนี้ส่วนหนึ่งเกิดมาจากความเชื่อว่าลัทธิการเงินนิยม
(monetarism) (*) คือรากฐานของนโยบายรัฐ
(ซึ่งถือเป็นแนวคิดที่ถูกต้องในทฤษฎีเสรีนิยมใหม่บางสำนัก)
(*) Monetarism สำนักการเงินนิยมเชื่อว่า การเปลี่ยนแปลงในภาคการเงินเป็นสาเหตุหลักของความไร้เสถียรภาพในระบบเศรษฐกิจ
ดังนั้น พวกการเงินนิยมจึงมีความเห็นว่า การใช้นโยบายการเงินในการรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ
ย่อมมีประสิทธิภาพมากกว่าการใช้นโยบายการคลัง ผู้เป็นตัวตั้งตัวตีคนสำคัญของสำนักนี้คือ
มิลตัน ฟรีดแมน (ผู้แปล)
ความมั่นคงและเข้มแข็งของเงินตราคือฟันเฟืองสำคัญในนโยบายนี้ แต่แนวคิดนี้ทำให้เกิดข้อขัดแย้งขึ้นมาในตัวเองว่า รัฐเสรีนิยมใหม่ไม่สามารถทนต่อการผิดนัดชำระหนี้ทางการเงินขนาดใหญ่
ถึงแม้ว่าสถาบันการเงินเป็นผู้ตัดสินใจผิดพลาดเองแท้ ๆ รัฐจำต้องก้าวเข้ามาและควักเนื้อเพื่อแทนที่เงิน
"ไม่ดี" ด้วยเงิน "ดี" ของรัฐเอง เหตุผลนี้เองที่ทำให้นายธนาคารกลางตกอยู่ภายใต้แรงกดดันและจำต้องหาทางรักษาความเชื่อมั่นในความเข้มแข็งของเงินสำรองภาครัฐเอาไว้
อำนาจรัฐมักถูกดึงมาใช้ช่วย เหลือบริษัทต่าง ๆ ให้รอดจากการล้มละลายหรือหลีกเลี่ยงความล้มเหลวในภาคการเงิน
อาทิเช่น วิกฤตการณ์เงินออมและเงินกู้ของสหรัฐฯ เมื่อ ค.ศ. 1987-8 ทำให้ผู้เสียภาษีชาวอเมริกันสูญเงินไปถึงราว 150 พันล้านดอลลาร์
หรือการล่มสลายของกองทุนประกันความเสี่ยง Long Term Capital Management ใน ค.ศ. 1997-8 ซึ่งทำให้สูญเงินภาษีไปถึง 3.5
พันล้านดอลลาร์
ในเชิงสากลนั้น ใน ค.ศ. 1982 รัฐเสรีนิยมใหม่ที่เป็นกลุ่มแกนกลางได้มอบให้ไอเอ็ม
เอฟและธนาคารโลกมีอำนาจเต็มในการเจรจาประนอมหนี้ ซึ่งหมายถึงการคุ้มครองสถาบันการเงินรายใหญ่ในโลกให้พ้นจากภัยคุกคามของการพักชำระหนี้
ไอเอ็มเอฟทำงานอย่างสุดความสามารถเพื่อปกป้องความเสี่ยงและความไม่แน่นอนในตลาดการเงินระหว่างประเทศ
หากพิจารณาตามทฤษฎีเสรีนิยมใหม่จริง ๆ
การปฏิบัติแบบนี้เป็นเรื่องที่แทบไม่มีเหตุผล ในเมื่อตามหลักการแล้ว
พวกนักลงทุนควรรับผิดชอบต่อความผิดพลาดของตนเอง ด้วยเหตุนี้ นักเสรีนิยมใหม่เคร่งคัมภีร์จึงเชื่อว่าควรล้มล้างสถาบันไอเอ็มเอฟไปเสียเลย
เคยมีการพิจารณาทางเลือกนี้อย่างจริงจังระหว่างช่วงปีแรก ๆ ของรัฐบาลเรแกน ต่อมาผู้แทนพรรครีพับลิกันเคยหยิบยกประเด็นนี้ขึ้นมาอีกครั้งใน ค.ศ. 1998 เจมส์ เบเกอร์ (James Baker) รัฐมนตรีว่า การกระทรวงการคลังในรัฐบาลเรแกนช่วยชุบชีวิตสถาบันนี้ขึ้นมาใหม่ เมื่อเขาต้องเผชิญหน้ากับสถานการณ์ที่เม็กซิโกอาจล้มละลายทางเศรษฐกิจ ซึ่งอาจทำให้เกิดความสูญเสียอย่างร้ายแรงต่อกลุ่มธนาคารเพื่อการลงทุนรายใหญ่ในนิวยอร์กซิตี ที่ให้กู้แก่ประเทศเม็กซิโกเมื่อ ค.ศ. 1982 เบเกอร์ใช้ไอเอ็มเอฟยัดเยียดการปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจให้แก่เม็กซิโก และคุ้มครองนายธนาคารนิวยอร์กจนพ้นจากการพักชำระหนี้ การปฏิบัติเช่นนี้ให้ความสำคัญสูงสุดแก่ความจำเป็นของธนาคารและสถาบันการเงิน ขณะเดียวกัน การลดทอนมาตรฐานการครองชีพของประชาชนในประเทศลูกหนี้เป็นสิ่งที่เคยนำร่องมาก่อนแล้ว ในสมัยที่เกิดวิกฤตการณ์หนี้สินในนิวยอร์กซิตี ในบริบทระหว่างประเทศ นี่หมาย ถึงการดูดซับมูลค่าส่วนเกินจากประชากรยากจนในโลกที่สามไปจ่ายหนี้ให้แก่นายธนาคารระหว่างประเทศ "ช่างเป็นโลกที่แปลกประหลาดนัก"
โจเซฟ
สติกลิทซ์ ตั้งข้อสังเกตด้วยความฉงน "กลุ่มประเทศยากจนกลับเป็นฝ่ายอุดหนุนทางการเงินแก่กลุ่มประเทศร่ำรวยที่สุด"
แม้กระทั่งชิลี ซึ่งเคยเป็นนักเรียนตัวอย่างในการปฏิบัติตามลัทธิเสรีนิยมใหม่
"ขนานแท้" หลังจาก ค.ศ. 1975 เป็นต้นมา
ก็ยังโดนผลกระทบแบบนี้ใน ค.ศ. 1982-3 ส่งผลให้ผลิต ภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ
(จีดีพี) ตกต่ำลงเกือบ 14% และการว่างงานเพิ่มขึ้นถึง 20%
ในช่วงเวลาแค่ปีเดียว แต่ข้อสรุปว่า ลัทธิเสรีนิยมใหม่
"ขนานแท้" เป็นสิ่งที่ใช้การไม่ได้ กลับไม่ได้รับการยอมรับในเชิงทฤษฎี ถึงแม้การปรับประยุกต์วิธีการเชิงปฏิบัติที่เกิดขึ้นตามมาในชิลี
(รวมทั้งสหราชอาณาจักร หลัง จาก ค.ศ. 1983) จะมีการประนีประนอมจำนวนมากที่ยิ่งถ่างช่องว่างระหว่างทฤษฎีกับการปฏิบัติให้ห่างออกจากกันยิ่งขึ้น
(6)
(6) Stiglitz,
The Roaring Nineties, 227; P. Hall, Governing the Economy; Fourcade-Gourinchas
and Babb, 'The Rebirth of the Liberal Creed'.
การใช้กลไกทางการเงินเก็บส่วยจากประเทศยากจน เป็นวิธีปฏิบัติที่เก่าแก่ในระบบจักรวรรดินิยม วิธีนี้พิสูจน์แล้วว่ามีประโยชน์อย่างมากในการช่วยฟื้นฟูอำนาจของชนชั้น
โดยเฉพาะในศูนย์กลางทางการเงินใหญ่ ๆ ของโลก และไม่จำเป็นต้องอาศัยวิกฤตการณ์ของการปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจเสมอไปด้วย
ยกตัวอย่างเช่น เมื่อใดที่ผู้ประกอบการในประเทศกำลังพัฒนากู้ยืมเงินจากต่างประเทศ เงื่อนไขที่ประเทศของผู้ประกอบการรายนั้น
ต้องมีการสำรองเงินตราต่างประเทศมากเพียงพอที่จะชด เชยเงินกู้นั้น หมายความว่ารัฐนั้น
ๆ จำเป็นต้องลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ความแตกต่างระหว่างอัตราดอกเบี้ยเงินกู้
(เช่น 12%) กับเงินที่ฝากไว้เป็นหลักทรัพย์ประกันการกู้ยืมในกระทรวงการคลังสหรัฐฯ
ที่วอชิงตัน (เช่น 4%) ทำให้เกิดการไหลออกทางการเงินสุทธิไปสู่ศูนย์กลางจักรวรรดินิยมด้วยค่าใช้จ่ายของประเทศกำลังพัฒนา
แนวโน้มเช่นนี้ที่เกิดขึ้นในกลุ่มรัฐแกนกลางอย่างสหรัฐฯ
ซึ่งจะคุ้มครองกลุ่มผลประโยชน์ทางการเงินและยืนดูเฉย ๆ เมื่อกลุ่มผลประโยชน์นั้นดูดมูลค่าส่วนเกินจากประเทศอื่น
ๆ การปฏิบัติทั้งสองประการนี้ ทั้งส่งเสริมและสะท้อนให้เห็นการฟื้นฟูอำนาจเป็นปึกแผ่นของชนชั้นสูงภายในรัฐแกนกลางเหล่านี้
โดยอาศัยกระบวนการทางการเงิน แต่นิสัยที่ชอบเข้าไปแทรกแซงตลาดและอุ้มสถาบันการเงินเมื่อมีปัญหา
ย่อมไม่สอดคล้องกับทฤษฎีเสรีนิยมใหม่อย่างสิ้นเชิง การขาดทุนควรเป็นบทลงโทษผู้ให้กู้ที่ลงทุนอย่างสะเพร่า แต่รัฐกลับปกป้องผู้ให้กู้ให้ปลอดพ้นจากการขาดทุนเป็นส่วนใหญ่ ส่วนผู้กู้กลับต้องเป็นฝ่ายชดใช้แทน
โดยไม่คำนึงถึงต้นทุนทางสังคมที่จะตามมา อันที่จริง ทฤษฎีเสรีนิยมใหม่ควรให้คติว่า
"เจ้าหนี้ จงระวังตัว" แต่การปฏิบัติกลับกลายเป็น "ลูกหนี้
จงระวังตัว"
กระนั้นก็ตาม
การรีดเอามูลค่าส่วนเกินจากระบบเศรษฐกิจของประเทศกำลังพัฒนาก็มีขีดจำกัดอยู่เหมือนกัน
เมื่อต้องรัดเข็มขัดด้วยมาตรการเข้มงวดทางการเงินการคลัง ย่อมทำให้ประเทศกำลังพัฒนาตกสู่ภาวะชะงักงันทางเศรษฐกิจเรื้อรัง
โอกาสในการจ่ายคืนหนี้จึงมักเนิ่นนานออกไปอีก ภายใต้สภาพการณ์เช่นนี้ การยอมขาดทุนในระดับหนึ่งอาจเป็นทางเลือกที่น่าสนใจกว่า
เหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นภายใต้แผนเบรดี (Brady
Plan) ใน ค.ศ. 1989 (7) สถาบันการเงินยินยอมลดหนี้ค้างชำระลง 35%
เพื่อแลกกับพันธบัตรลดราคา (ซึ่งสนับสนุนโดยไอเอ็มเอฟและกระทรวงการคลังสหรัฐฯ)
และหลักประกันว่าจะได้รับการชำระหนี้ส่วนที่เหลือคืน (กล่าวอีกอย่างหนึ่งคือ เจ้าหนี้ได้รับหลักประกันว่าจะได้รับการชำระหนี้คืนในอัตรา
65 เซนต์ต่อหนึ่งดอลลาร์)
(7) I. Vasquez, 'The Brady Plan
and Market-Based Solutions to Debt Crises', The Cato Journal, 16/2 (online).
ใน
ค.ศ. 1994 กลุ่มประเทศ 18 ประเทศ
(ซึ่งรวมถึงเม็กซิโก บราซิล อาร์เจนตินา เวเนซุเอลา และอุรุกวัย) ยอมรับข้อตกลงที่ช่วยลดหนี้สินให้ประเทศเหล่านี้ได้ราว
60 พันล้านดอลลาร์ แน่นอน สิ่งที่มุ่งหวังก็คือ การผ่อนผันหนี้สินเช่นนี้น่าจะช่วยจุดประกายให้เกิดการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ
ซึ่งจะช่วยให้ชำระหนี้สินส่วนที่เหลือได้ในเวลาที่เหมาะสม แต่ปัญหาก็คือ ไอเอ็มเอฟเข้ามาดูแลด้วยว่า
ทุกประเทศที่ได้รับการลดหนี้เป็นจำนวนน้อยนิดนี้ (ซึ่งหลายคนมองว่าเป็นจำนวนเงินขั้นต่ำสุดเมื่อเปรียบเทียบกับที่ธนาคารได้ไป)
จำต้องกลืนยาพิษที่มาในรูปของการปฏิรูปสถาบันตามแนวทางเสรีนิยมใหม่ด้วย วิกฤตการณ์ค่าเงินเปโซในเม็กซิโกเมื่อ
ค.ศ. 1995 วิกฤตการณ์ของบราซิลใน ค.ศ. 1998 และการล่มสลายของระบบเศรษฐกิจอาร์เจนตินาใน ค.ศ. 2001 คือผลลัพธ์ที่น่าจะคาดการณ์ได้ตั้งแต่แรก
หมายเหตุ: บทความชิ้นนี้ คัดมาจากหัวข้อที่3 บทที่ 3
ของหนังสือ " A Brief History of Neoliberalism, Oxford
University Press: 2007, " ของ David Harvey, ในหัวเรื่อง รัฐเสรีนิยมใหม่ในภาคปฏิบัติ ซึ่งแปลและเชิงอรรถ
โดย คุณ ภัควดี วีระภาสพงษ์ นักแปลอิสระ ลงในเวปไซต์
มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน เมื่อวันที่ 9 สิงหาคม 2551 ลำดับที่
1634 ........
เราเห็นว่าเป็นเรื่องที่น่าสน ใจและมีประโยชน์มากในการศึกษาระบอบทุนนิยม จึงเรียนขออนุญาตท่านผู้แปล เพื่อนำมาเสนอและเผยแพร่แก่ผู้ที่สนใจได้ศึกษา ขอขอบคุณท่านผู้แปลเป็นอย่างสูงมาในโอกาสนี้ด้วย
ด้วยภราดรภาพ
No comments:
Post a Comment