Friday, July 10, 2015

การต่อสู้ทางชนชั้น...

การต่อสู้ทางชนชั้น - จิตสำนึกทางชนชั้น

มาร์กซ ได้ใช้ทฤษฎีวัตถุนิยมวิภาษและวัตถุนิยมประวัติศาสตร์ของท่านไปวิเคราะห์ ค้นคว้าสังคม   เรื่อง หนึ่งที่ได้ค้นพบก็คือ ความขัดแย้งทางผลประโยชน์ระหว่างชนชั้นที่ดำรงอยู่ในสังคมการผลิตที่มีระบอบกรรมสิทธิ์   ซึ่งได้พัฒนาไปสู่การต่อสู้ที่ไม่สามารถประนีประนอมกันได้และซึมซ่านอยู่ทั่วไปในประวัติ ศาสตร์ของสังคมที่มีการขูดรีด   และได้สรุปว่าประวัติศาสตร์ของมนุษย์ก็คือการต่อสู้ทางชนชั้น   เป็นกระบวนการที่ดำรงอยู่ในสังคม  ไม่มีใครสร้างมันขึ้นมา   มาร์กซไม่ได้เป็นผู้สร้าง  หากแต่เป็นผู้ค้นพบสัจธรรมอันนี้

การเป็นปรปักษ์ทางชนชั้น   บ่อยครั้งจะเชื่อมโยงไปถึงสงครามทางชนชั้นหรือการต่อสู้ทางชนชั้นซึ่งก็คือความตึงเครียดหรือความเป็นศัตรูทางชนชั้นที่ดำรงอยู่ในสังคม อันเนื่องมาจากการแข่งขันช่วงชิงกันในด้านผลประโยชน์และความต้องการทางสังคมระหว่างประชาชนที่มีฐานะแตกต่างกัน     ในทัศนะของการต่อสู้ทางชนชั้น ถือได้ว่าเป็นการตระเตรียมไปสู่การเปลี่ยนแปลงรากฐานทางสังคมอย่างถึงที่ที่สุด   ซึ่งเป็นปัญหาใจกลางในงานของคาร์ล มาร์กซ และนักลัทธิอนาธิปไตย มิคาอิล บาคูนิน เลยทีเดียว      แม้ว่าจะมีการค้นพบการดำรงอยู่ของการต่อสู้ทางชนชั้น   แต่ก็ไม่ได้เป็นผลผลิตใน ทางทฤษฎีแต่อย่างใด     พูดง่ายๆก็คือ....การต่อสู้ทางชนชั้นไม่ใช่ทฤษฎี   แต่ทฤษฎีของทั้ง มาร์กซ และ บาคูนิน  ก็สามารถตอบสนองต่อการดำรงอยู่ของการต่อสู้ทางชนชั้นได้เป็นอย่างดี   

ในอดีตที่ผ่านมา นักสังคมนิยมเกือบจะทั้งหมดได้อธิบายชนชั้นและความเป็นปฏิปักษ์ทางชนชั้นจากการที่ชนชั้นหนึ่งในสังคมเป็นผู้ครอบครองปัจจัยการผลิตไว้  เช่นโรงงาน  ที่ดิน  และเครื่องจักรกล  กับความสัมพันธ์ทางการผลิต   จากมุมมองนี้..การควบคุมทางสังคมการผลิตและแรงงานได้แสดงให้เห็นถึงการต่อสู้ระหว่างชนชั้นซึ่งเป็นเรื่องที่ยากจะหลีกเลี่ยงได้    การกระทบกระทั่งกันในด้านผลประโยชน์ระดับธรรมดาได้ขยายตัวออกไปเป็นความขัดแย้งหลัก     บางกรณีได้นำไปสู่ชัยชนะของชนชั้นหนึ่งต่ออีกชนชั้นหนึ่ง     ยุคสมัยนี้ได้มีรูปการอื่นๆผสมผสานเข้ามาอีกมากมายในประเทศต่างๆที่สังคมทุนนิยมได้พัฒนาไปแบบตะวันตก

ในยุคปัจจุบัน  ความเป็นปฏิปักษ์ทางชนชั้น  อาจแสดงออกในรูปแบบต่างๆ โดยใช้ความรุนแรงโดยตรงเช่น  การทำสงครามแย่งชิงแหล่งทรัพยากรและแรงงานราคาถูก      หรือการใช้ความรุนแรงทางอ้อมเช่นการแซงชั่นทางเศรษฐกิจ     ทำให้มีการเสียชีวิตจากความยากจน   ความอดอยาก  โรคภัยไข้เจ็บ    ความไม่ปลอดภัยในการทำงาน    การขู่เข็ญบังคับ     การคุกคามให้สูญเสียตำแหน่งงานโดยการถอนการลงทุน  หรือการยัดเยียดระบบความคิดที่เป็นการกระทำอย่างมีเจตนาด้วยการใช้หนังสือและปัจจัยที่สนับสนุนระบอบทุนนิยม   หรือจากการกระทำที่ไม่ส่อเจตนาเช่นการชักชวนให้ผู้คนบริโภคสินค้าที่ด้อยคุณภาพโดยผ่านการโฆษณาที่เกินจริง  รวมไปถึงความขัดแย้งทางการเมืองในรูปแบบต่างๆทั้งที่ถูกและผิดกฎหมาย   เช่นการโน้มน้าว(lobby)และติดสินบนผู้นำรัฐบาลโดยผ่านลิ่วล้อตัวแทน   เพื่อออกกฎหมายที่เอื้อประโยชน์และให้เป็นไปตามความต้องการของตน เช่นกฎหมายแรงงาน(ที่เป็นประโยชน์ต่อนายจ้าง)   กฎหมายเกี่ยวกับภาษี(ปกป้องผลประโยชน์ของนายทุน)  กฎหมายผู้บริโภค  โดยใช้มาตรการลงโทษ   คำสั่งศาล   หรือค่าธรรมเนียมต่างๆเป็นต้น     ความเป็นปฏิปักษ์อย่างเปิดเผยเช่นการปิดกิจการโดยมีเป้าหมายในการทำลายสหภาพแรงงาน     หรือด้วยเจตนาซ่อนเร้นเช่นการลดกำลังการผลิต    หรือลดค่าจ้างอย่างไม่เป็นธรรม  ฯลฯ  จะอย่างไรก็ตามโดยด้านหลักแล้วการต่อสู้ทางชนชั้นจะดำเนินไปในรูปการเหล่านี้คือ

การต่อสู้ทางเศรษฐกิจ    หมายถึงการต่อสู้ในการดำรงชีวิตทางการผลิตของมนุษย์   การต่อสู้ชนิดนี้เราต้องให้ความสนใจเป็นพิเศษในการจัดตั้งองค์กรของมวลชนกรรมกรเข้าต่อสู้   โดยมากจะเป็นการต่อสู้เรียกร้องเพื่อปากท้องของบรรดากรรมกรและครอบครัวเสียเป็นส่วนใหญ่     เป็นการคัดค้านการเอารัดเอาเปรียบกรรมกรโดยเฉพาะการขูดรีดแรงงานส่วนเกิน    อาศัยคู่ความขัดแย้งในผลประโยชน์โดยธรรมชาติระหว่างชนชั้นกรรมกรและชนชั้นนายทุนเป็นเงื่อนไขในการเคลื่อนไหว    การต่อสู้ทางเศรษฐ- กิจทุกครั้งต้องสามารถคาดคะเนได้ว่าจะชนะหรือประสบความสำเร็จ    จึงจะสามารถดึงมวลชนส่วนใหญ่เข้าร่วมในขบวนการ    ซึ่งถือได้ว่าเป็นการปลุกจิตสำนึกทางชนชั้นได้ในระดับหนึ่ง     แต่ต้องระมัดระวังอย่าให้การต่อสู้ชนิดนี้กลายไปเป็นลัทธิเศรษฐกิจล้วนๆแต่เพียงอย่างเดียว เราจะต้องระลึกอยู่เสมอว่าการต่อสู้ทางเศรษฐกิจนั้นมีขอบเขตจำกัด       เพราะมันไม่ได้ส่งผลสะเทือนไปถึงรากฐานของระบอบที่กดขี่ของชนชั้นนายทุน     และไม่สามารถปลดปล่อยกรรมกรให้หลุดพ้นจากแอกของจากการขูดรีดได้      

การต่อสู้ทางเศรษฐกิจจะต้องเสริมด้วยการต่อสู้ทางการเมือง   หาไม่แล้วก็จะไม่สามารถรักษาแนวทางและจิตสำนึกทางชนชั้นให้ดำรงอยู่ได้      เพราะการต่อสู้ทางเศรษฐกิจนั้นโดยมากจะต่อสู้กับเจ้าของกิจการเพียงคนเดียวหรือกลุ่มเดียวในระยะแรก         ซึ่งไม่ใช่ระยะที่มวลชนกรรมกรจะมีจิตสำนึกร่วมกันทั้งชนชั้นเพื่อต่อสู้กับชนชั้นนายทุน       ดังนั้นการต่อสู้ทางชนชั้นจะต้องแปรออกจากผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจและพัฒนาไปสู่การต่อสู้ทางการเมือง     แรกสุดคือต้องสร้างตัวแทนที่ก้าวหน้าในระดับกว้างที่สามารถรวบรวมมวลชนกรรมกรเข้าต่อสู้กับชนชั้นที่กดขี่ทั้งชนชั้น     และต่อสู้กับรัฐที่สนับสนุนชนชั้นนั้น

การต่อสู้ทางอุดมการณ์   เลนินได้กล่าวไว้ว่า “จิตสำนึกทางชนชั้นหมายถึงความเข้าใจของกรรมกรที่ว่ามีแต่เพียงหนทางเดียวเท่านั้นที่จะทำให้สภาพชีวิตของพวกเขาดีขึ้นได้ก็คือ การต่อสู้กับเจ้าของโรง งาน...ไปจนถึงการมีจิตสำนึกต่อการปฏิวัติเปลี่ยนแปลงสังคม”     แต่สำนึกเช่นนี้ย่อมไม่อาจเกิดขึ้นหรือมีอยู่ในตัวกรรมกรทั้งชนชั้น  ด้านหนึ่งเพราะพวกเขามีความเคยชินกับการดำรงชีพในระบอบทุนนิยมที่ขูดรีดและหลอกลวง   แต่ในขณะเดียวกันก็ได้รับรู้ถึงการกดขี่เอารัดเอาเปรียบจากชนชั้นนายทุน   ดังนั้นพวกเขาจึงมีจิตสำนึกอยู่สองอย่างที่ขัดแย้งกันอย่างที่ อันโตนิโย  กรัมชี  นักลัทธิมาร์กซชาวอิตาลีได้กล่าวไว้    คือจิตสำนึกในชีวิตความเป็นอยู่ประจำวัน  เป็นจิตสำนึกในชีวิตทางวัตถุของพวกเขาซึ่งถือได้ว่าเป็น จิตสำนึกแท้  นั่นคือความคับแค้น  ยากจน  ขาดแคลนวัตถุปัจจัยในการดำรงชีวิต   ขาดแคลนไปเสียทุกอย่างทั้งยังตกเป็นเบี้ยล่างทั้งทางวัตถุและทางความคิดของชนชั้นอื่นอยู่ตลอดเวลา  จิตสำนึกอีกประเภทหนึ่งก็คือ การที่ชนชั้นกรรมกรได้ถูกทำให้เชื่อในวัฒนธรรมประเพณีของชนชั้นที่กดขี่ซึ่งสืบทอดกันมาอย่างยาว นาน    

จากการโฆษณาชวนเชื่อ   การโกหกหลอกลวง   และการยัดเยียดอุดมการณ์ของชนชั้นนายทุน  ทำให้เข้าใจสถานะทางสังคมของตนผิดเพี้ยนไป      โดยคิดไปว่าเหตุที่ตนมีฐานะต่ำต้อยเช่นนี้มาจากผลพวงในความล้มเหลวของตนเอง      หรือไม่ก็เป็นเพราะบุญวาสนาและผลกรรมบันดาลให้เป็นไปตามแนวคิดจิตนิยมจากคำสอนทางศาสนาที่ถูกบิดเบือน      จิตสำนึกชนิดนี้ทำให้พวกเขาเข้าใจผิดว่ามันเป็นเพียงช่องทางเดียวที่จะนำพาตนเองเข้าสู่สังคมของผู้กดขี่ได้อย่างมีความ ”เท่าเทียม” จึงพยายามหนีชนชั้นของตนเอง   จิตสำนึกอย่างหลังนี้ เป็นจิตสำนึกเทียม

การยกระดับจิตสำนึกนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายๆเลย   ในชนชั้นผู้ใช้แรงงานที่มีหลากหลายอาชีพกล่าวได้ว่ามีชั้นชนที่หลากหลาย  เช่นคนงานก่อสร้าง   กรรมกรในโรงงาน   คนขับรถประจำทาง   กรรมกรแบกหาม   ช่างซ่อมเครื่องจักร   กรรมกรเหมืองถ่านหิน   ลูกเรือประมง  และลูกจ้างพนักงานในภาคบริการ ฯลฯ    คนเหล่านี้แม้จะเป็นชนชั้นผู้ใช้แรงงานเช่นเดียวกันแต่ก็มีลักษณะงานที่แตกต่างกัน    ฐานะความเป็นอยู่และมาตรฐานการครองชีพมักจะแตกต่างกันด้วย   ซึ่งเป็นปัจจัยพื้นฐานของการก่อเกิดจิตสำนึก

ชนชั้นที่กดขี่และผู้แก้ต่างของเขาจะทำการโฆษณาหลอกลวงอยู่ตลอดเวลาว่า    ระบบการขูดรีดนั้นเป็นนิรันดร์  เป็นสิ่งที่ไม่อาจแก้ไขเปลี่ยนแปลงได้และเป็นเช่นนี้มานานแล้วตั้งแต่อดีต  และยังจะเป็นต่อไปในอนาคต..แต่ก็ยังมีช่องทางที่จะยกระดับชีวิตของกรรมกรให้ดีขึ้นได้ด้วยการ“ปฏิรูป”โดยเสนอที่จะปรับ ปรุงชีวิตความเป็นอยู่ของกรรมกรด้วยวิธีประนีประนอมกับชนชั้นนายทุน   ในขณะเดียวกันก็จะโฆษณากล่าวร้ายผ่านนักวิชาการสอพลออย่างไร้มโนธรรมว่า..”การต่อสู้ทางชนชั้นนั้นเป็นการสร้างความแตก แยกในชาติ” ซึ่งเราเห็นว่าน่าจะกล่าวเสียใหม่ว่า..การกดขี่ และดูถูกประชาชนนั่นแหละที่เป็นต้นเหตุหนึ่งของการต่อสู้ทางชนชั้นและสร้างความแตกแยกในชาติที่แท้จริง

จากการโฆษณา   การครอบงำทางความคิด  การยัดเยียดอุดมการณ์ของชนชั้นนายทุนโดยผ่านระบบสังคม  การศึกษา  วัฒนธรรม  ตลอดจนความเชื่อที่งมงายไร้สาระจากการบิดเบือนคำสอนของศาสนา  เกี่ยวกับเรื่องบุญบารมี  เวรกรรม   การเก็งกำไรบุญ  ฯลฯ  ทำให้ประชาชนผู้ใช้แรงงานมีรูปการจิตสำนึกที่ค่อนข้างสลับซับซ้อน     ดังนั้นภาระหน้าที่ของการต่อสู้ทางอุดมการณ์ก็คือ..รักษา ปกป้อง และยืนหยัดในโลกทัศน์ที่ก้าวหน้าของทฤษฎีลัทธิมาร์กซ ซึ่งเป็นอาวุธทางปัญญาที่เฉียบคมของชนชั้นกรรมาชีพนี้เอาไว้

ชนชั้นกรรมาชีพจะต้องต่อสู้ปกป้องการบิดเบือนใส่ร้ายแนวคิดทฤษฎีที่ก้าวหน้าด้วยการยกระดับการการศึกษาแนวทางการต่อสู้ของทฤษฎีที่ก้าวหน้าอย่างไม่ย่อท้อ    เพราะชนชั้นนายทุน ..ผู้แก้ต่างและเหล่าบริวารของพวกเขา ไม่เพียงแต่จะต่อต้านอุดมการณ์ของชนชั้นกรรมาชีพด้วยตนเองเท่านั้น  ยังใช้คนในขบวนการของชนชั้นกรรมาชีพเองมาบ่อนเซาะทำลายอีกด้วย คนเหล่านี้โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้นำกรรมกรขุนนางผู้เห็นแก่เศษเดนผลประโยชน์ที่ชนชั้นนายทุนหยิบยื่นให้  ได้ออกมาบิดเบือน  สกัดกั้นแนวคิดอุดมการณ์ที่ก้าวหน้าเพื่อมิให้เป็นภัยต่อชนชั้นนายทุนผู้ขุนเลี้ยงพวกเขา    นี่คืองานของนักฉวยโอกาส นักปฏิรูป  นักลัทธิแก้  และพวกปฏิปักษ์ปฏิวัติทุกคนได้ร่วมมือกันทำ

การต่อสู้ทางการเมือง     ประชาชนจะต่อสู้เพื่อเอาอำนาจรัฐมาเป็นของประชาชนมาได้อย่างไร? ในขั้นตอนนี้คือ การต่อต้านอำนาจรัฐเผด็จการของชนชั้นนายทุน และเปิดโปงการกดขี่ข่มเหงและขูดรีดเอารัดเอาเปรียบประชาชนของมันออกมาให้เห็นอย่างเป็นรูปธรรม   แม้ว่าการเคลื่อนไหวในทางการเมืองในขณะนี้ค่อนข้างยากลำบาก   มักจะเกิดภาวะสับสนทางความคิด  เกิดความไม่แน่ใจ   ลังเล..ไม่รู้จะทำอย่างไรต่อไป   ทั้งนี้เพราะด้านหนึ่งยังขาดประสบการณ์และความจัดเจนในการเคลื่อนไหวต่อสู้และขาดความแม่นยำทางทฤษฎี, อีกด้านหนึ่งก็เกิดจากปัญหาทางความคิด (ที่มาจากพื้นฐานทางชนชั้น)    เช่นไม่กล้าเคลื่อนไหว  กลัวไปเสียทุกอย่าง  ประเมินศัตรูสูงเกินความเป็นจริงซึ่งเป็นการแสดงออกถึงความโน้มเอียงของลัทธิฉวยโอกาสเอียงขวา   ในขณะเดียวกันก็ต้องไม่ทำการเคลื่อนไหวที่มีลักษณะสุ่มเสี่ยงเอียงซ้าย   ต้องระมัดระวังการเคลื่อนไหวต่อสู้ที่มีสีสันทางการเมืองเอาไว้บ้าง     ควรพิจารณาจำแนกเป็นกรณีๆไปและต้องพยายามเลี่ยงสิ่งที่ผิดกฎหมาย อาศัยความขัดแย้งของชนชั้นปกครองให้เป็นประ โยชน์ในการเคลื่อนไหว       มันจะเป็นการสะสมพลังและความจัดเจนของชนชั้นกรรมกรและมวลชนให้ก้าวไปสู่การต่อสู้ทางการเมืองในขั้นตอนต่อไปได้ หาไม่แล้วเราก็ไม่สามารถรักษาแนวทางและจิตสำนึกทางชนชั้นให้ดำรงอยู่ได้   

แม้ว่าสาเหตุหลักของความขัดแย้งระหว่างชนชั้นในสังคมจะมาจากเรื่องผลประโยชน์ทางด้านเศรษฐกิจ แต่การต่อสู้ทางการเมืองย่อมเป็นด้านหลักอยู่เสมอ     การต่อสู้ทางเศรษฐกิจและทางอุดมการณ์นั้นมีความสำคัญมากก็จริง แต่ยังมีบทบาทเป็นรองการต่อสู้ทางการเมืองเพราะมันสามารถเป็นหลัก ประกันให้แก่พื้นฐานทางเศรษฐกิจของผู้ถูกกดขี่  การต่อสู้ทางการเมืองคือการได้มาซึ่งอำนาจรัฐ   เมื่อได้อำนาจรัฐแล้วจึงจะสามารถสร้างระบบเศรษฐกิจของประชาชนผู้ยากไร้ขึ้นมาได้




No comments:

Post a Comment