การต่อสู้ทางชนชั้น
- จิตสำนึกทางชนชั้น
มาร์กซ
ได้ใช้ทฤษฎีวัตถุนิยมวิภาษและวัตถุนิยมประวัติศาสตร์ของท่านไปวิเคราะห์ ค้นคว้าสังคม เรื่อง หนึ่งที่ได้ค้นพบก็คือ ความขัดแย้งทางผลประโยชน์ระหว่างชนชั้นที่ดำรงอยู่ในสังคมการผลิตที่มีระบอบกรรมสิทธิ์ ซึ่งได้พัฒนาไปสู่การต่อสู้ที่ไม่สามารถประนีประนอมกันได้และซึมซ่านอยู่ทั่วไปในประวัติ
ศาสตร์ของสังคมที่มีการขูดรีด และได้สรุปว่าประวัติศาสตร์ของมนุษย์ก็คือการต่อสู้ทางชนชั้น เป็นกระบวนการที่ดำรงอยู่ในสังคม ไม่มีใครสร้างมันขึ้นมา มาร์กซไม่ได้เป็นผู้สร้าง หากแต่เป็นผู้ค้นพบสัจธรรมอันนี้
การเป็นปรปักษ์ทางชนชั้น
บ่อยครั้งจะเชื่อมโยงไปถึงสงครามทางชนชั้นหรือการต่อสู้ทางชนชั้นซึ่งก็คือความตึงเครียดหรือความเป็นศัตรูทางชนชั้นที่ดำรงอยู่ในสังคม อันเนื่องมาจากการแข่งขันช่วงชิงกันในด้านผลประโยชน์และความต้องการทางสังคมระหว่างประชาชนที่มีฐานะแตกต่างกัน ในทัศนะของการต่อสู้ทางชนชั้น ถือได้ว่าเป็นการตระเตรียมไปสู่การเปลี่ยนแปลงรากฐานทางสังคมอย่างถึงที่ที่สุด ซึ่งเป็นปัญหาใจกลางในงานของคาร์ล
มาร์กซ และนักลัทธิอนาธิปไตย มิคาอิล บาคูนิน เลยทีเดียว แม้ว่าจะมีการค้นพบการดำรงอยู่ของการต่อสู้ทางชนชั้น แต่ก็ไม่ได้เป็นผลผลิตใน
ทางทฤษฎีแต่อย่างใด พูดง่ายๆก็คือ....การต่อสู้ทางชนชั้นไม่ใช่ทฤษฎี แต่ทฤษฎีของทั้ง มาร์กซ และ บาคูนิน ก็สามารถตอบสนองต่อการดำรงอยู่ของการต่อสู้ทางชนชั้นได้เป็นอย่างดี
ในอดีตที่ผ่านมา
นักสังคมนิยมเกือบจะทั้งหมดได้อธิบายชนชั้นและความเป็นปฏิปักษ์ทางชนชั้นจากการที่ชนชั้นหนึ่งในสังคมเป็นผู้ครอบครองปัจจัยการผลิตไว้ เช่นโรงงาน ที่ดิน และเครื่องจักรกล กับความสัมพันธ์ทางการผลิต จากมุมมองนี้..การควบคุมทางสังคมการผลิตและแรงงานได้แสดงให้เห็นถึงการต่อสู้ระหว่างชนชั้นซึ่งเป็นเรื่องที่ยากจะหลีกเลี่ยงได้ การกระทบกระทั่งกันในด้านผลประโยชน์ระดับธรรมดาได้ขยายตัวออกไปเป็นความขัดแย้งหลัก บางกรณีได้นำไปสู่ชัยชนะของชนชั้นหนึ่งต่ออีกชนชั้นหนึ่ง ยุคสมัยนี้ได้มีรูปการอื่นๆผสมผสานเข้ามาอีกมากมายในประเทศต่างๆที่สังคมทุนนิยมได้พัฒนาไปแบบตะวันตก
ในยุคปัจจุบัน ความเป็นปฏิปักษ์ทางชนชั้น อาจแสดงออกในรูปแบบต่างๆ โดยใช้ความรุนแรงโดยตรงเช่น การทำสงครามแย่งชิงแหล่งทรัพยากรและแรงงานราคาถูก หรือการใช้ความรุนแรงทางอ้อมเช่นการแซงชั่นทางเศรษฐกิจ ทำให้มีการเสียชีวิตจากความยากจน ความอดอยาก
โรคภัยไข้เจ็บ ความไม่ปลอดภัยในการทำงาน
การขู่เข็ญบังคับ การคุกคามให้สูญเสียตำแหน่งงานโดยการถอนการลงทุน หรือการยัดเยียดระบบความคิดที่เป็นการกระทำอย่างมีเจตนาด้วยการใช้หนังสือและปัจจัยที่สนับสนุนระบอบทุนนิยม หรือจากการกระทำที่ไม่ส่อเจตนาเช่นการชักชวนให้ผู้คนบริโภคสินค้าที่ด้อยคุณภาพโดยผ่านการโฆษณาที่เกินจริง รวมไปถึงความขัดแย้งทางการเมืองในรูปแบบต่างๆทั้งที่ถูกและผิดกฎหมาย เช่นการโน้มน้าว(lobby)และติดสินบนผู้นำรัฐบาลโดยผ่านลิ่วล้อตัวแทน เพื่อออกกฎหมายที่เอื้อประโยชน์และให้เป็นไปตามความต้องการของตน เช่นกฎหมายแรงงาน(ที่เป็นประโยชน์ต่อนายจ้าง) กฎหมายเกี่ยวกับภาษี(ปกป้องผลประโยชน์ของนายทุน) กฎหมายผู้บริโภค
โดยใช้มาตรการลงโทษ คำสั่งศาล
หรือค่าธรรมเนียมต่างๆเป็นต้น ความเป็นปฏิปักษ์อย่างเปิดเผยเช่นการปิดกิจการโดยมีเป้าหมายในการทำลายสหภาพแรงงาน หรือด้วยเจตนาซ่อนเร้นเช่นการลดกำลังการผลิต หรือลดค่าจ้างอย่างไม่เป็นธรรม ฯลฯ จะอย่างไรก็ตามโดยด้านหลักแล้วการต่อสู้ทางชนชั้นจะดำเนินไปในรูปการเหล่านี้คือ
การต่อสู้ทางเศรษฐกิจ
หมายถึงการต่อสู้ในการดำรงชีวิตทางการผลิตของมนุษย์ การต่อสู้ชนิดนี้เราต้องให้ความสนใจเป็นพิเศษในการจัดตั้งองค์กรของมวลชนกรรมกรเข้าต่อสู้ โดยมากจะเป็นการต่อสู้เรียกร้องเพื่อปากท้องของบรรดากรรมกรและครอบครัวเสียเป็นส่วนใหญ่
เป็นการคัดค้านการเอารัดเอาเปรียบกรรมกรโดยเฉพาะการขูดรีดแรงงานส่วนเกิน อาศัยคู่ความขัดแย้งในผลประโยชน์โดยธรรมชาติระหว่างชนชั้นกรรมกรและชนชั้นนายทุนเป็นเงื่อนไขในการเคลื่อนไหว การต่อสู้ทางเศรษฐ- กิจทุกครั้งต้องสามารถคาดคะเนได้ว่าจะชนะหรือประสบความสำเร็จ จึงจะสามารถดึงมวลชนส่วนใหญ่เข้าร่วมในขบวนการ ซึ่งถือได้ว่าเป็นการปลุกจิตสำนึกทางชนชั้นได้ในระดับหนึ่ง แต่ต้องระมัดระวังอย่าให้การต่อสู้ชนิดนี้กลายไปเป็นลัทธิเศรษฐกิจล้วนๆแต่เพียงอย่างเดียว เราจะต้องระลึกอยู่เสมอว่าการต่อสู้ทางเศรษฐกิจนั้นมีขอบเขตจำกัด
เพราะมันไม่ได้ส่งผลสะเทือนไปถึงรากฐานของระบอบที่กดขี่ของชนชั้นนายทุน และไม่สามารถปลดปล่อยกรรมกรให้หลุดพ้นจากแอกของจากการขูดรีดได้
การต่อสู้ทางเศรษฐกิจจะต้องเสริมด้วยการต่อสู้ทางการเมือง หาไม่แล้วก็จะไม่สามารถรักษาแนวทางและจิตสำนึกทางชนชั้นให้ดำรงอยู่ได้ เพราะการต่อสู้ทางเศรษฐกิจนั้นโดยมากจะต่อสู้กับเจ้าของกิจการเพียงคนเดียวหรือกลุ่มเดียวในระยะแรก ซึ่งไม่ใช่ระยะที่มวลชนกรรมกรจะมีจิตสำนึกร่วมกันทั้งชนชั้นเพื่อต่อสู้กับชนชั้นนายทุน ดังนั้นการต่อสู้ทางชนชั้นจะต้องแปรออกจากผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจและพัฒนาไปสู่การต่อสู้ทางการเมือง แรกสุดคือต้องสร้างตัวแทนที่ก้าวหน้าในระดับกว้างที่สามารถรวบรวมมวลชนกรรมกรเข้าต่อสู้กับชนชั้นที่กดขี่ทั้งชนชั้น และต่อสู้กับรัฐที่สนับสนุนชนชั้นนั้น
การต่อสู้ทางอุดมการณ์ เลนินได้กล่าวไว้ว่า “จิตสำนึกทางชนชั้นหมายถึงความเข้าใจของกรรมกรที่ว่ามีแต่เพียงหนทางเดียวเท่านั้นที่จะทำให้สภาพชีวิตของพวกเขาดีขึ้นได้ก็คือ การต่อสู้กับเจ้าของโรง งาน...ไปจนถึงการมีจิตสำนึกต่อการปฏิวัติเปลี่ยนแปลงสังคม” แต่สำนึกเช่นนี้ย่อมไม่อาจเกิดขึ้นหรือมีอยู่ในตัวกรรมกรทั้งชนชั้น ด้านหนึ่งเพราะพวกเขามีความเคยชินกับการดำรงชีพในระบอบทุนนิยมที่ขูดรีดและหลอกลวง
แต่ในขณะเดียวกันก็ได้รับรู้ถึงการกดขี่เอารัดเอาเปรียบจากชนชั้นนายทุน ดังนั้นพวกเขาจึงมีจิตสำนึกอยู่สองอย่างที่ขัดแย้งกันอย่างที่
อันโตนิโย กรัมชี นักลัทธิมาร์กซชาวอิตาลีได้กล่าวไว้ คือจิตสำนึกในชีวิตความเป็นอยู่ประจำวัน
เป็นจิตสำนึกในชีวิตทางวัตถุของพวกเขาซึ่งถือได้ว่าเป็น จิตสำนึกแท้ นั่นคือความคับแค้น ยากจน
ขาดแคลนวัตถุปัจจัยในการดำรงชีวิต
ขาดแคลนไปเสียทุกอย่างทั้งยังตกเป็นเบี้ยล่างทั้งทางวัตถุและทางความคิดของชนชั้นอื่นอยู่ตลอดเวลา จิตสำนึกอีกประเภทหนึ่งก็คือ การที่ชนชั้นกรรมกรได้ถูกทำให้เชื่อในวัฒนธรรมประเพณีของชนชั้นที่กดขี่ซึ่งสืบทอดกันมาอย่างยาว นาน
จากการโฆษณาชวนเชื่อ การโกหกหลอกลวง และการยัดเยียดอุดมการณ์ของชนชั้นนายทุน ทำให้เข้าใจสถานะทางสังคมของตนผิดเพี้ยนไป โดยคิดไปว่าเหตุที่ตนมีฐานะต่ำต้อยเช่นนี้มาจากผลพวงในความล้มเหลวของตนเอง หรือไม่ก็เป็นเพราะบุญวาสนาและผลกรรมบันดาลให้เป็นไปตามแนวคิดจิตนิยมจากคำสอนทางศาสนาที่ถูกบิดเบือน
จิตสำนึกชนิดนี้ทำให้พวกเขาเข้าใจผิดว่ามันเป็นเพียงช่องทางเดียวที่จะนำพาตนเองเข้าสู่สังคมของผู้กดขี่ได้อย่างมีความ
”เท่าเทียม” จึงพยายามหนีชนชั้นของตนเอง จิตสำนึกอย่างหลังนี้ เป็นจิตสำนึกเทียม
การยกระดับจิตสำนึกนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายๆเลย ในชนชั้นผู้ใช้แรงงานที่มีหลากหลายอาชีพกล่าวได้ว่ามีชั้นชนที่หลากหลาย
เช่นคนงานก่อสร้าง กรรมกรในโรงงาน คนขับรถประจำทาง กรรมกรแบกหาม ช่างซ่อมเครื่องจักร กรรมกรเหมืองถ่านหิน ลูกเรือประมง และลูกจ้างพนักงานในภาคบริการ ฯลฯ คนเหล่านี้แม้จะเป็นชนชั้นผู้ใช้แรงงานเช่นเดียวกันแต่ก็มีลักษณะงานที่แตกต่างกัน ฐานะความเป็นอยู่และมาตรฐานการครองชีพมักจะแตกต่างกันด้วย ซึ่งเป็นปัจจัยพื้นฐานของการก่อเกิดจิตสำนึก
ชนชั้นที่กดขี่และผู้แก้ต่างของเขาจะทำการโฆษณาหลอกลวงอยู่ตลอดเวลาว่า
ระบบการขูดรีดนั้นเป็นนิรันดร์ เป็นสิ่งที่ไม่อาจแก้ไขเปลี่ยนแปลงได้และเป็นเช่นนี้มานานแล้วตั้งแต่อดีต และยังจะเป็นต่อไปในอนาคต..แต่ก็ยังมีช่องทางที่จะยกระดับชีวิตของกรรมกรให้ดีขึ้นได้ด้วยการ“ปฏิรูป”โดยเสนอที่จะปรับ ปรุงชีวิตความเป็นอยู่ของกรรมกรด้วยวิธีประนีประนอมกับชนชั้นนายทุน
ในขณะเดียวกันก็จะโฆษณากล่าวร้ายผ่านนักวิชาการสอพลออย่างไร้มโนธรรมว่า..”การต่อสู้ทางชนชั้นนั้นเป็นการสร้างความแตก แยกในชาติ” ซึ่งเราเห็นว่าน่าจะกล่าวเสียใหม่ว่า..การกดขี่
และดูถูกประชาชนนั่นแหละที่เป็นต้นเหตุหนึ่งของการต่อสู้ทางชนชั้นและสร้างความแตกแยกในชาติที่แท้จริง
จากการโฆษณา
การครอบงำทางความคิด การยัดเยียดอุดมการณ์ของชนชั้นนายทุนโดยผ่านระบบสังคม การศึกษา
วัฒนธรรม ตลอดจนความเชื่อที่งมงายไร้สาระจากการบิดเบือนคำสอนของศาสนา เกี่ยวกับเรื่องบุญบารมี เวรกรรม
การเก็งกำไรบุญ ฯลฯ ทำให้ประชาชนผู้ใช้แรงงานมีรูปการจิตสำนึกที่ค่อนข้างสลับซับซ้อน ดังนั้นภาระหน้าที่ของการต่อสู้ทางอุดมการณ์ก็คือ..รักษา
ปกป้อง และยืนหยัดในโลกทัศน์ที่ก้าวหน้าของทฤษฎีลัทธิมาร์กซ ซึ่งเป็นอาวุธทางปัญญาที่เฉียบคมของชนชั้นกรรมาชีพนี้เอาไว้
ชนชั้นกรรมาชีพจะต้องต่อสู้ปกป้องการบิดเบือนใส่ร้ายแนวคิดทฤษฎีที่ก้าวหน้าด้วยการยกระดับการการศึกษาแนวทางการต่อสู้ของทฤษฎีที่ก้าวหน้าอย่างไม่ย่อท้อ เพราะชนชั้นนายทุน ..ผู้แก้ต่างและเหล่าบริวารของพวกเขา ไม่เพียงแต่จะต่อต้านอุดมการณ์ของชนชั้นกรรมาชีพด้วยตนเองเท่านั้น ยังใช้คนในขบวนการของชนชั้นกรรมาชีพเองมาบ่อนเซาะทำลายอีกด้วย คนเหล่านี้โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้นำกรรมกรขุนนางผู้เห็นแก่เศษเดนผลประโยชน์ที่ชนชั้นนายทุนหยิบยื่นให้ ได้ออกมาบิดเบือน สกัดกั้นแนวคิดอุดมการณ์ที่ก้าวหน้าเพื่อมิให้เป็นภัยต่อชนชั้นนายทุนผู้ขุนเลี้ยงพวกเขา นี่คืองานของนักฉวยโอกาส นักปฏิรูป นักลัทธิแก้
และพวกปฏิปักษ์ปฏิวัติทุกคนได้ร่วมมือกันทำ
การต่อสู้ทางการเมือง
ประชาชนจะต่อสู้เพื่อเอาอำนาจรัฐมาเป็นของประชาชนมาได้อย่างไร? ในขั้นตอนนี้คือ การต่อต้านอำนาจรัฐเผด็จการของชนชั้นนายทุน และเปิดโปงการกดขี่ข่มเหงและขูดรีดเอารัดเอาเปรียบประชาชนของมันออกมาให้เห็นอย่างเป็นรูปธรรม แม้ว่าการเคลื่อนไหวในทางการเมืองในขณะนี้ค่อนข้างยากลำบาก มักจะเกิดภาวะสับสนทางความคิด เกิดความไม่แน่ใจ ลังเล..ไม่รู้จะทำอย่างไรต่อไป ทั้งนี้เพราะด้านหนึ่งยังขาดประสบการณ์และความจัดเจนในการเคลื่อนไหวต่อสู้และขาดความแม่นยำทางทฤษฎี, อีกด้านหนึ่งก็เกิดจากปัญหาทางความคิด (ที่มาจากพื้นฐานทางชนชั้น) เช่นไม่กล้าเคลื่อนไหว
กลัวไปเสียทุกอย่าง ประเมินศัตรูสูงเกินความเป็นจริงซึ่งเป็นการแสดงออกถึงความโน้มเอียงของลัทธิฉวยโอกาสเอียงขวา ในขณะเดียวกันก็ต้องไม่ทำการเคลื่อนไหวที่มีลักษณะสุ่มเสี่ยงเอียงซ้าย
ต้องระมัดระวังการเคลื่อนไหวต่อสู้ที่มีสีสันทางการเมืองเอาไว้บ้าง ควรพิจารณาจำแนกเป็นกรณีๆไปและต้องพยายามเลี่ยงสิ่งที่ผิดกฎหมาย อาศัยความขัดแย้งของชนชั้นปกครองให้เป็นประ โยชน์ในการเคลื่อนไหว
มันจะเป็นการสะสมพลังและความจัดเจนของชนชั้นกรรมกรและมวลชนให้ก้าวไปสู่การต่อสู้ทางการเมืองในขั้นตอนต่อไปได้ หาไม่แล้วเราก็ไม่สามารถรักษาแนวทางและจิตสำนึกทางชนชั้นให้ดำรงอยู่ได้
แม้ว่าสาเหตุหลักของความขัดแย้งระหว่างชนชั้นในสังคมจะมาจากเรื่องผลประโยชน์ทางด้านเศรษฐกิจ แต่การต่อสู้ทางการเมืองย่อมเป็นด้านหลักอยู่เสมอ การต่อสู้ทางเศรษฐกิจและทางอุดมการณ์นั้นมีความสำคัญมากก็จริง แต่ยังมีบทบาทเป็นรองการต่อสู้ทางการเมืองเพราะมันสามารถเป็นหลัก
ประกันให้แก่พื้นฐานทางเศรษฐกิจของผู้ถูกกดขี่ การต่อสู้ทางการเมืองคือการได้มาซึ่งอำนาจรัฐ เมื่อได้อำนาจรัฐแล้วจึงจะสามารถสร้างระบบเศรษฐกิจของประชาชนผู้ยากไร้ขึ้นมาได้
No comments:
Post a Comment