Friday, July 24, 2015

รุนแรงหรือไม่รุนแรง

รุนแรงหรือไม่รุนแรง ?   แปลโดย  สามัญชน

ปัญหาที่เกี่ยวข้องกับรัฐนั้นย่อมเชื่อมโยงอยู่กับความรุนแรงอยู่แล้ว      ชนชั้นปกครองมีเครื่องมือสำเร็จหลากหลายรูปแบบเพื่อใช้ในการคุกคาม     ไม่ว่าจะเป็นกองทัพ  ตำรวจ  ตำรวจลับ  ศาล   คุกตะราง  นักกฎหมาย   ผู้พิพากษา   รวมไปถึงผู้คุม      บรรดาผู้ประท้วงต่างได้รับบทเรียนอันล้ำค่าจากทฤษฎีลัทธิมาร์กซที่ว่าด้วย รัฐ อย่างสมบูรณ์แบบจากกระบองของตำรวจซึ่งไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรเลย   เพราะประวัติศาสตร์ส่วนใหญ่ได้แสดงให้เห็นอยู่แล้วว่าชนชั้นปกครองไม่เคยยินยอมสละความมั่งคั่ง   อำนาจ และอภิสิทธิ์โดยปราศจากการต่อสู้อีกทั้งเป็นการต่อสู้ที่ไร้กฎกฎเกณฑ์กติกาอีกด้วย    การเคลื่อนไหวปฏิวัติใดๆจะต้องถูกต่อต้านจากเครื่องมือที่ใช้กดขี่ของรัฐเสมอ

นักลัทธิมาร์กซมีทัศนะต่อความรุนแรงอย่างไร?      ชนชั้นนายทุนและผู้ปกป้องทั้งหลายจะกล่าวให้ร้ายลัทธิมาร์กซอยู่เสมอ      ซุ้งเป็นเรื่องที่ตลกสิ้นดี     เราลองมาพิจารณาดูคลังอาวุธที่ชนชั้นปกครองที่กองสุมไว้       กองทัพที่พรั่งพร้อมไปด้วยอาวุธหนักเบาทั้งหลาย  ตำรวจ  คุกตะรางและอื่นๆอีกนับไม่ถ้วน     จะเห็นได้ว่าชนชั้นปกครองไม่ได้ต่อต้านความรุนแรงเลยแม้แต่น้อย     ในความเป็นจริง..พวกเขาปกครองด้วยความรุนแรงอยู่แล้วในหลากหลายรูปแบบ     แต่มีความรุนแรงเพียงรูปแบบเดียวเท่านั้นที่พวกเขาเกลียดชังนั่นก็คือ        เมื่อคนจนผู้ถูกกดขี่และมวลชนผู้ถูกเอารัดเอาเปรียบพยายามที่จะปกป้องตนเองโดยการลุกขึ้นมาต่อต้านความรุนแรงขององค์กรอำนาจรัฐของชนชั้นนายทุนที่กระทำต่อพวกเขา      นั่นหมายถึงการต่อต้านความรุนแรงโดยตรง  ซึ่งก็คือการกดขี่ทางชนชั้น  อำนาจ และระบอบกรรมสิทธิ์ของชนชั้นปกครอง

มันเกิดขึ้นโดยไม่ต้องกล่าวว่าเราไม่ได้สนับสนุนความรุนแรง   เราได้เตรียมที่จะใช้ทุกวิธีที่ประชาธิป  ไตยของชนชั้นนายทุนที่อนุญาตและเปิดทางให้  แต่เราจะต้องไม่อยู่ภายใต้สิ่งลวงตา        ภายใต้ประ ชาธิปไตยชนชั้นนายทุนที่เป็นเสมือนม่านบังตา       มันได้ช่อนเร้นความเป็นเผด็จการของบรรดานายธนาคารใหญ่และบริษัทขนาดใหญ่ทั้งหลายเอาไว้     ในขณะที่ประชาชนได้รับการบอกเล่าว่า   พวกเขาสามารถใช้วิถีทางประชาธิปไตยในการตัดสินใจเลือกแนวทางใดๆก็ได้โดยผ่านการเลือกตั้ง      ในความเป็นจริง..การตัดสินใจอยู่ที่กลุ่มผู้กุมอำนาจเพียงไม่กี่คน        ผลประโยชน์ของชนชั้นนายทุนจำนวนเพียงหยิบมือเดียวมักมีน้ำหนักมากกว่าคะแนนเสียงของประชาชนธรรมดานับล้านๆคน    ความหมายที่แท้จริงของรูปแบบประชาธิปไตยชนชั้นนายทุนก็คือ   ทุกคนสามารถพูดได้ตามที่ตนเองต้องการตราบ    เท่าที่เจ้าของธุรกิจขนาดมหึมายังเป็นผู้ตัดสินใจว่า  จะให้เกิดอะไรขึ้นในประเทศนี้

ความเป็นเผด็จการของธุรกิจขนาดมหึมานี้ซ่อนอยู่ภายใต้หน้ากากที่ยิ้มแย้ม     แต่เมื่อใดที่เกิดวิกฤตหน้ากากที่เมตตาของ ”ประชาธิปไตย”    จะกะเทาะออกมาปรากฎให้เห็นใบหน้าที่น่าชังของเผด็จการชนชั้นนายทุนออกมาให้เห็น     ปัญหาก็คือ...ไม่ว่าอย่างไรประชาชนเราก็มีสิทธิ์ที่จะต่อต้านเผด็จการพวกนี้และขับไล่..โค่นล้มมันลงไป     คำตอบมันมีมานานแล้วเมื่อประชาชนอเมริกันได้ลุกขึ้นสู้พร้อมกับอาวุธในมือ เพื่อปกป้องสิทธิของตนจากการกดขี่ของทรราชแห่งจักรวรรดิ์อังกฤษ      เรื่องนี้ได้รับการแก้ไขเป็นพิเศษในรัฐธรรมนูญของสหรัฐฯ  ที่ปกป้องสิทธิของประชาชนในการใช้อาวุธเป็นหลักประกันของเสรีภาพ        บรรดาเชษฐบุรุษ” ผู้ก่อตั้งชาติได้ให้การสนับสนุนสิทธิของประชาชนในการลุกขึ้นสู้ด้วยอาวุธเพื่อต่อต้านรัฐบาลทรราช     รัฐธรรมนูญฉบับนิวแฮมเชียร์ ปี 1784  ได้เขียนไว้ว่า  “การไม่ต่อต้านอำนาจที่ไม่ชอบธรรมและกดขี่เป็นเรื่องที่เลวร้าย    เป็นพฤติกรรมเยี่ยงทาส    และเป็นการทำลายคุณความดีและความสงบสุขของงมนุษยชาติ”   

การปฏิวัติทุกครั้งในประวัติศาสตร์ รวมไปถึงการปฏิวัติใหญ่ของประชาชนอเมริกา    ได้แสดงให้เห็นถึงความถูกต้องของมาร์กซที่เขียนว่า “กำลัง...คือนางผดุงครรภ์ที่ทำคลอดสังคมใหม่จากครรภ์ของสังคมเก่า”    อย่างไรก็ตาม... นโยบายขั้นแรกสุดของลัทธิมาร์กซที่เองเกลส์ได้เขียนอธิบายไว้ใน “หลักการของลัทธิคอมมิวนิสต์”  ถึงคำถามข้อ 16 ว่า

คำถาม   มีความเป็นไปได้แค่ไหน  ในการยกเลิกทรัพย์สินส่วนบุคคลโดยสันติวิธี?
ตอบ   มันเป็นความปรารถนาของเราที่จะให้เป็นเช่นนั้น       และชาวคอมมิวนิสต์ถือว่านั้นเป็นเรื่องสุด ท้ายที่จะต้องคัดค้าน     ชาวคอมมิวนิสต์รู้เป็นอย่างดีว่าแผนงานที่ต่อเนื่องเช่นนี้ไม่ใช่เป็นเพียงเรื่องที่เปล่าประโยชน์แม้ว่าจะเป็นเรื่องที่น่าวิตกก็ตาม       พวกเขายังรู้ดีว่าการปฏิวัติไม่ได้ทำกันอย่างเจาะจงและไร้กฎเกณฑ์แต่จะเกิดขึ้นได้ในทุกหนทุกแห่งและทุกเวลา     ผลที่ออกมาของสถานการณ์ทั้งหมดไม่ได้ขึ้นอยู่กับความต้องการและการนำของพรรคที่แน่นอนใดๆหรือของชนชั้นทั้งชนชั้น  แต่ในขณะ เดียวกันก็สามารถสังเกตเห็นได้ถึงพัฒนาการของชนชั้นกรรมาชีพที่ถูกบังคับกดขี่ในปะเทศที่อารยะแล้ว     ดังนั้นจากสิ่งเหล่านี้ชาวคอมมิวนิสต์จึงแนวโน้มที่จะสนับสนุนการปฏิวัติในทุกวิถีทาง      สมควรกระตุ้น ให้ชนชั้นกรรมาชีพที่ถูกกดขี่ให้เข้าร่วมในการปฏิวัติ        นั่นเป็นสาเหตุให้เราชาวคอมมิวนิสต์จะปก ป้องชนชั้นกรรมาชีพด้วยการกระทำเหมือนเช่นเราได้ประกาศไว้ (Engels, Principles of Communism, Marx and Engels Selected Works, Vol. I, p. 89.)
 
เป็นความจริงที่ว่าเมื่อชนชั้นกรรมกรได้มีการจัดตั้งและเคลื่อนไหวเพื่อที่จะเปลี่ยนแปลงสังคมที่ไม่มีรัฐ  ไม่มีกองทัพ  หรือตำรวจมาคอยขัดขวาง      เก้าในสิบครั้ง..ไม่ว่าการลุกขึ้นสู้ในช่วงสถานการณ์ปฏิวัติ    ชนชั้นปกครองจะเป็นผู้ก่อความรุนแรงขึ้นก่อนเสมอเพราะมีอำนาจ     ดังนั้นในทางกลับกัน..  อันตรายจากความรุนแรงเมื่อคิดตามสัดส่วนแล้ว   ไม่ได้เป็นความต้องการของชนชั้นกรรมาชีพในการต่อสู้เพื่อเปลี่ยนแปลงสังคมเลย     เหมือนที่ชาวโรมันโบราณพูดอยู่เสมอๆว่า “” ถ้าต้องการสันติภาพ..จงเตรียมทำสงคราม” (Si pacem vis para bellum)
 
อย่างไรก็ตาม    นั่นก็ไม่ได้หมายว่าเราสนับสนุนการกระทำด้วยความรุนแรง ที่นั่น ที่นี่โดยกลุ่มคนหรือ โดยตัวบุคคล   เช่นการก่อจราจลโดยไม่มีสาเหตุ   ปากระจก  วางเพลิง ฯลฯ  สิ่งเหล่านี้ได้สะท้อนถึงความโกรธแค้นและไม่พอใจของผู้คน   โดยเฉพาะคนว่างงานและคนหนุ่มที่ถูกปลดออกจากงาน ที่รู้สึกว่าไม่มีความเป็นธรรมในสังคมชนชั้น    แต่การแสดงออกเช่นนี้ไม่ได้ก่อผลในทางบวกเลย     พวกเขาเป็นเพียงชั้นชนที่แปลกแยกของชนชั้นกรรมกรอันไพศาล       และยังเปิดโอกาสให้แก่ชนชั้นปกครองสา  มารถมีข้ออ้างที่จะใช้กำลังของรัฐอย่างเต็มที่ในการปราบปรามการเคลื่อนไหวทั่วๆไปอีกด้วย   พลังทางสังคมชนิดหนึ่งที่มีความเข้มแข็งมากกว่าแม้แต่กองกำลังของรัฐ    นั่นก็คือพลังของชนชั้นกรรมกรซึ่งในไม่ช้าจะถูกจัดตั้งขึ้นเพื่อเคลื่อนไหวในการเปลี่ยนแปลงสังคม     ทันทีที่กองกำลังมหึมานี้เคลื่อนไหวมันจะไม่มีพลังใดๆในโลกที่จะยับยั้งได้    หากกรรมกรนับล้านๆเคลื่อนไหวจนถึงที่สุด     พลังของมันจะสามารถโค่นระบอบที่กดขี่ลงไปได้       ปัญหาอยู่ที่การนำและองค์กรของชนชั้นกรรมกรเอง

จะทำอย่างไรดี
การนำองค์กรมวลชนเริ่มต้นที่สหภาพแรงงาน    แต่ทุกแห่งเป็นเรื่องที่น่าเสียใจ     ภาพที่ฉายออกมา เป็นภาพที่ชนชั้นกรรมกรถูกพิชิตอันเนื่องมาจากการนำที่ไม่ดี    เป็นที่เข้าใจกันดีว่า เยาวชนคนหนุ่มสาวต่างไม่สบอารมณ์กับบทบาทการนำในปัจจุบันนี้     จึงมุ่งสู่แนวคิดและการแก้ปัญหาแบบอนาธิปไตย      ในหลายๆกรณี...  ผู้ที่เรียกตัวเองว่าเป็นนักอนาธิปไตยนั้นไม่มีความรู้แม้กระทั่งเรื่องทฤษฎีและประวัติ ศาสตร์ของลัทธิอนาธิปไตยเลย     หลักการอนาธิปไตยของพวกเขาไม่ใช่ลัทธิอนาธิปไตยอย่างแน่นอน มันเป็นเพียงปฏิกิริยาต่อต้านลัทธิขุนนางและลัทธิปฏิรูปเท่านั้น    เมื่อพวกเขาพูดว่า ..“เราต่อต้านการ เมือง” พวกเขาหมายถึง ”เราต่อต้านการเมืองที่เป็นอยู่นี้    ซึ่งมันไม่ได้เป็นตัวแทนของประชาชนอย่างแท้จริง”    เมื่อเขาพูดว่า “เราไม่ต้องการพรรคและผู้นำ!    พวกเขาจะหมายถึง... “เราไม่ต้องการพรรคการเมืองและผู้นำในปัจจุบันที่ตีตัวออกจากสังคม และรักษาผลประโยชน์ส่วนตัวและของนายทุนที่หนุนหลังพวกเขาเท่านั้น”

ลัทธิอนาธิปไตย  จริงๆแล้วมันเป็นแค่เปลือกนอกที่ยังไม่สมบูรณ์ของพรรคบอลเชวิคที่มีนักปฏิวัติลัทธิมาร์กซเท่านั้น     แต่มันได้ใจเยาวชนคนหนุ่มสาวผู้มีความปรารถนาที่จะเปลี่ยนแปลงสังคมอย่างสุดจิตสุดใจ       หลายๆคนในหมู่พวกเขาจะรู้สึกถึงข้อจำกัดในความคิดของนักอนาธิปไตยและวิธีการต่างๆ     และเพื่อแสวงหาทางเลือกที่ปฏิวัติกว่า       แต่การขาดการนำที่ถูกต้องและขาดนโยบายที่ชัดเจนในการ เคลื่อนไหวต่อสู้ทำให้จำนวนคนที่เข้าร่วมลดลงตลอดเวลา    จากประสบการณ์ที่เจ็บปวดนี้กรรมกรและเยาวชนรุ่นใหม่เริ่มเข้าใจธรรมชาติของปัญหาที่วางอยู่เบื้องหน้า       และเริ่มเข้าใจทีละน้อยถึงความต้องการแก้ปัญหาอย่างถึงรากถึงโคน    องค์ประกอบที่ดีเลิศสำหรับการเริ่มต้นที่จะตระหนักว่าวิธีที่จะหลุดพ้นจากทางตันได้ ก็คือการฟื้นฟูการปฏิวัติสังคม      

มันไม่ใช่เรื่องง่ายๆเลยสำหรับเรื่องนี้   แต่แน่นอน..ไม่มีสิ่งดีๆอะไรที่ง่ายในชีวิต   ก้าวแรกที่สำคัญคือการปฏิเสธสังคมที่กำลังดำรงอยู่นี้   ไม่ว่าจะเป็นสถาบันของมัน  คุณค่าและจริยธรรมของมัน   นี่คือย่างก้าวที่ง่ายที่สุดบนเส้นทางที่หลากหลาย... มันไม่ใช่เรื่องยากที่จะประท้วงหรือปฏิเสธ    แต่อะไรละที่มีความจำเป็น...ก็คือคำพูดที่ปราศจากข้อสงสัยว่า “ จะทำอย่างไรกัน ?”  
สิ่งสำคัญที่จะต้องเน้นคือ      ความจำเป็นที่จะต้องมีจิตสำนึกแนวคิดที่แจ่มชัดรวมไปถึงนโยบายและยุทธวิธี     ความผิดพลาดทางทฤษฎีเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะนำไปสู่ความผิดพลาดทางการปฏิบัติ     นี่ไม่ใช่การทดสอบทางวิชาการ     การต่อสู้ทางชนชั้นไม่ใช่การเล่นเกมส์       และในประวัติศาสตร์นั้นอุดมไปด้วยตัวอย่างนานาชนิดที่แสดงถึงความไม่ชัดเจนในทางการเมืองอันจะนำไปสู่โศกนาฏกรรมที่เศร้าสลดซึ่งติดตามมา     ประเทศสเปนเมื่อทศวรรษที่ 1930 คือกรณีตัวอย่าง

ในขั้นตอนแรกของการปฏิวัติ  สิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้คือการรวมกันของความไร้เดียงสาและสิ่งลวงตาทุกชนิด    แต่สิ่งลวงตาเหล่านั้นจะถูกทำลายลงไปโดยเหตุการณ์ที่เป็นจริง      การเคลื่อนไหวเป็นการทดสอบและข้อผิดพลาด...มันต้องการเวลาสำหรับการเรียนรู้    หากมีพรรคลัทธิมาร์กซที่มีรากฐานมวล ชนและมีความเข้มแข็งในทางการเมืองอยู่     กระบวนการเรียนรู้ก็จะเป็นไปได้อย่างรวดเร็วโดยไม่มีข้อ ข้อสงสัย     และแน่นอน..มันอาจจะเพรี่ยงพล้ำและถดถอยบ้างแต่ก็เพียงเล็กน้อย   ถ้ายังไม่มีพรรคการ เมืองแบบนั้น  ... ก็มีความจำเป็นที่จะสร้างพรรคขึ้นมาอย่างเร่งด่วน

ความสับสน..การขาดนโยบาย   การถกเถียงที่ไม่มีข้อสรุปคือการการเคลื่อนไหวที่ไม่เป็นคุณ   ถ้าต้อง การให้การเคลื่อนไหวสำเร็จลุล่วง....จะต้องติดอาวุธทางความคิดที่ชัดเจนและมีนโยบายสอดคล้องกับการปฏิวัติ     และนั่น...ลัทธิมาร์กซสามารถตอบสนองได้   กรรมกรและเยาวชนได้แสดงออกถึงสติปัญ  ญาและเริ่มต้นได้อย่างยอดเยี่ยม       บัดนี้ทุกอย่างนั้นขึ้นอยู่กับความสามารถของนักปฏิวัติซึ่งประกอบ กับกรรมกร และ นักศึกษา เยาวชนที่จะนำพาไปสู่บทสรุป    ติดอาวุธด้วยนโยบายของการปฏิวัติที่แท้ จริง..ที่พวกศัตรูไม่อาจเอาชนะได้

คัดมาจากบางตอนของบทความขนาดยาว  เรื่อง  “ลัทธิมาร์กซหรือลัทธิอนาธิปไตย” ของ อลัน วูดส์   


No comments:

Post a Comment