รุนแรงหรือไม่รุนแรง ? แปลโดย
สามัญชน
ปัญหาที่เกี่ยวข้องกับรัฐนั้นย่อมเชื่อมโยงอยู่กับความรุนแรงอยู่แล้ว
ชนชั้นปกครองมีเครื่องมือสำเร็จหลากหลายรูปแบบเพื่อใช้ในการคุกคาม ไม่ว่าจะเป็นกองทัพ ตำรวจ
ตำรวจลับ ศาล คุกตะราง
นักกฎหมาย ผู้พิพากษา รวมไปถึงผู้คุม บรรดาผู้ประท้วงต่างได้รับบทเรียนอันล้ำค่าจากทฤษฎีลัทธิมาร์กซที่ว่าด้วย
รัฐ อย่างสมบูรณ์แบบจากกระบองของตำรวจซึ่งไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรเลย เพราะประวัติศาสตร์ส่วนใหญ่ได้แสดงให้เห็นอยู่แล้วว่าชนชั้นปกครองไม่เคยยินยอมสละความมั่งคั่ง อำนาจ และอภิสิทธิ์โดยปราศจากการต่อสู้อีกทั้งเป็นการต่อสู้ที่ไร้กฎกฎเกณฑ์กติกาอีกด้วย
การเคลื่อนไหวปฏิวัติใดๆจะต้องถูกต่อต้านจากเครื่องมือที่ใช้กดขี่ของรัฐเสมอ
นักลัทธิมาร์กซมีทัศนะต่อความรุนแรงอย่างไร? ชนชั้นนายทุนและผู้ปกป้องทั้งหลายจะกล่าวให้ร้ายลัทธิมาร์กซอยู่เสมอ ซุ้งเป็นเรื่องที่ตลกสิ้นดี เราลองมาพิจารณาดูคลังอาวุธที่ชนชั้นปกครองที่กองสุมไว้ กองทัพที่พรั่งพร้อมไปด้วยอาวุธหนักเบาทั้งหลาย ตำรวจ
คุกตะรางและอื่นๆอีกนับไม่ถ้วน
จะเห็นได้ว่าชนชั้นปกครองไม่ได้ต่อต้านความรุนแรงเลยแม้แต่น้อย ในความเป็นจริง..พวกเขาปกครองด้วยความรุนแรงอยู่แล้วในหลากหลายรูปแบบ แต่มีความรุนแรงเพียงรูปแบบเดียวเท่านั้นที่พวกเขาเกลียดชังนั่นก็คือ เมื่อคนจนผู้ถูกกดขี่และมวลชนผู้ถูกเอารัดเอาเปรียบพยายามที่จะปกป้องตนเองโดยการลุกขึ้นมาต่อต้านความรุนแรงขององค์กรอำนาจรัฐของชนชั้นนายทุนที่กระทำต่อพวกเขา นั่นหมายถึงการต่อต้านความรุนแรงโดยตรง ซึ่งก็คือการกดขี่ทางชนชั้น อำนาจ และระบอบกรรมสิทธิ์ของชนชั้นปกครอง
มันเกิดขึ้นโดยไม่ต้องกล่าวว่าเราไม่ได้สนับสนุนความรุนแรง เราได้เตรียมที่จะใช้ทุกวิธีที่ประชาธิป ไตยของชนชั้นนายทุนที่อนุญาตและเปิดทางให้ แต่เราจะต้องไม่อยู่ภายใต้สิ่งลวงตา ภายใต้ประ
ชาธิปไตยชนชั้นนายทุนที่เป็นเสมือนม่านบังตา มันได้ช่อนเร้นความเป็นเผด็จการของบรรดานายธนาคารใหญ่และบริษัทขนาดใหญ่ทั้งหลายเอาไว้ ในขณะที่ประชาชนได้รับการบอกเล่าว่า
พวกเขาสามารถใช้วิถีทางประชาธิปไตยในการตัดสินใจเลือกแนวทางใดๆก็ได้โดยผ่านการเลือกตั้ง
ในความเป็นจริง..การตัดสินใจอยู่ที่กลุ่มผู้กุมอำนาจเพียงไม่กี่คน ผลประโยชน์ของชนชั้นนายทุนจำนวนเพียงหยิบมือเดียวมักมีน้ำหนักมากกว่าคะแนนเสียงของประชาชนธรรมดานับล้านๆคน ความหมายที่แท้จริงของรูปแบบประชาธิปไตยชนชั้นนายทุนก็คือ ทุกคนสามารถพูดได้ตามที่ตนเองต้องการตราบ เท่าที่เจ้าของธุรกิจขนาดมหึมายังเป็นผู้ตัดสินใจว่า
จะให้เกิดอะไรขึ้นในประเทศนี้
ความเป็นเผด็จการของธุรกิจขนาดมหึมานี้ซ่อนอยู่ภายใต้หน้ากากที่ยิ้มแย้ม แต่เมื่อใดที่เกิดวิกฤตหน้ากากที่เมตตาของ
”ประชาธิปไตย” จะกะเทาะออกมาปรากฎให้เห็นใบหน้าที่น่าชังของเผด็จการชนชั้นนายทุนออกมาให้เห็น ปัญหาก็คือ...ไม่ว่าอย่างไรประชาชนเราก็มีสิทธิ์ที่จะต่อต้านเผด็จการพวกนี้และขับไล่..โค่นล้มมันลงไป
คำตอบมันมีมานานแล้วเมื่อประชาชนอเมริกันได้ลุกขึ้นสู้พร้อมกับอาวุธในมือ
เพื่อปกป้องสิทธิของตนจากการกดขี่ของทรราชแห่งจักรวรรดิ์อังกฤษ เรื่องนี้ได้รับการแก้ไขเป็นพิเศษในรัฐธรรมนูญของสหรัฐฯ
ที่ปกป้องสิทธิของประชาชนในการใช้อาวุธเป็นหลักประกันของเสรีภาพ
บรรดา “เชษฐบุรุษ”
ผู้ก่อตั้งชาติได้ให้การสนับสนุนสิทธิของประชาชนในการลุกขึ้นสู้ด้วยอาวุธเพื่อต่อต้านรัฐบาลทรราช รัฐธรรมนูญฉบับนิวแฮมเชียร์
ปี 1784 ได้เขียนไว้ว่า “การไม่ต่อต้านอำนาจที่ไม่ชอบธรรมและกดขี่เป็นเรื่องที่เลวร้าย เป็นพฤติกรรมเยี่ยงทาส และเป็นการทำลายคุณความดีและความสงบสุขของงมนุษยชาติ”
การปฏิวัติทุกครั้งในประวัติศาสตร์ รวมไปถึงการปฏิวัติใหญ่ของประชาชนอเมริกา ได้แสดงให้เห็นถึงความถูกต้องของมาร์กซที่เขียนว่า
“กำลัง...คือนางผดุงครรภ์ที่ทำคลอดสังคมใหม่จากครรภ์ของสังคมเก่า” อย่างไรก็ตาม...
นโยบายขั้นแรกสุดของลัทธิมาร์กซที่เองเกลส์ได้เขียนอธิบายไว้ใน
“หลักการของลัทธิคอมมิวนิสต์” ถึงคำถามข้อ
16 ว่า
คำถาม มีความเป็นไปได้แค่ไหน ในการยกเลิกทรัพย์สินส่วนบุคคลโดยสันติวิธี?
ตอบ มันเป็นความปรารถนาของเราที่จะให้เป็นเช่นนั้น และชาวคอมมิวนิสต์ถือว่านั้นเป็นเรื่องสุด ท้ายที่จะต้องคัดค้าน ชาวคอมมิวนิสต์รู้เป็นอย่างดีว่าแผนงานที่ต่อเนื่องเช่นนี้ไม่ใช่เป็นเพียงเรื่องที่เปล่าประโยชน์แม้ว่าจะเป็นเรื่องที่น่าวิตกก็ตาม พวกเขายังรู้ดีว่าการปฏิวัติไม่ได้ทำกันอย่างเจาะจงและไร้กฎเกณฑ์แต่จะเกิดขึ้นได้ในทุกหนทุกแห่งและทุกเวลา ผลที่ออกมาของสถานการณ์ทั้งหมดไม่ได้ขึ้นอยู่กับความต้องการและการนำของพรรคที่แน่นอนใดๆหรือของชนชั้นทั้งชนชั้น แต่ในขณะ เดียวกันก็สามารถสังเกตเห็นได้ถึงพัฒนาการของชนชั้นกรรมาชีพที่ถูกบังคับกดขี่ในปะเทศที่อารยะแล้ว ดังนั้นจากสิ่งเหล่านี้ชาวคอมมิวนิสต์จึงแนวโน้มที่จะสนับสนุนการปฏิวัติในทุกวิถีทาง สมควรกระตุ้น ให้ชนชั้นกรรมาชีพที่ถูกกดขี่ให้เข้าร่วมในการปฏิวัติ นั่นเป็นสาเหตุให้เราชาวคอมมิวนิสต์จะปก ป้องชนชั้นกรรมาชีพด้วยการกระทำเหมือนเช่นเราได้ประกาศไว้ (Engels, Principles of Communism, Marx and Engels Selected Works, Vol. I, p. 89.)
เป็นความจริงที่ว่าเมื่อชนชั้นกรรมกรได้มีการจัดตั้งและเคลื่อนไหวเพื่อที่จะเปลี่ยนแปลงสังคมที่ไม่มีรัฐ ไม่มีกองทัพ หรือตำรวจมาคอยขัดขวาง เก้าในสิบครั้ง..ไม่ว่าการลุกขึ้นสู้ในช่วงสถานการณ์ปฏิวัติ ชนชั้นปกครองจะเป็นผู้ก่อความรุนแรงขึ้นก่อนเสมอเพราะมีอำนาจ ดังนั้นในทางกลับกัน.. อันตรายจากความรุนแรงเมื่อคิดตามสัดส่วนแล้ว ไม่ได้เป็นความต้องการของชนชั้นกรรมาชีพในการต่อสู้เพื่อเปลี่ยนแปลงสังคมเลย เหมือนที่ชาวโรมันโบราณพูดอยู่เสมอๆว่า “” ถ้าต้องการสันติภาพ..จงเตรียมทำสงคราม” (Si pacem vis para bellum)
อย่างไรก็ตาม นั่นก็ไม่ได้หมายว่าเราสนับสนุนการกระทำด้วยความรุนแรง ที่นั่น ที่นี่โดยกลุ่มคนหรือ โดยตัวบุคคล เช่นการก่อจราจลโดยไม่มีสาเหตุ ปากระจก วางเพลิง ฯลฯ สิ่งเหล่านี้ได้สะท้อนถึงความโกรธแค้นและไม่พอใจของผู้คน โดยเฉพาะคนว่างงานและคนหนุ่มที่ถูกปลดออกจากงาน ที่รู้สึกว่าไม่มีความเป็นธรรมในสังคมชนชั้น แต่การแสดงออกเช่นนี้ไม่ได้ก่อผลในทางบวกเลย พวกเขาเป็นเพียงชั้นชนที่แปลกแยกของชนชั้นกรรมกรอันไพศาล และยังเปิดโอกาสให้แก่ชนชั้นปกครองสา มารถมีข้ออ้างที่จะใช้กำลังของรัฐอย่างเต็มที่ในการปราบปรามการเคลื่อนไหวทั่วๆไปอีกด้วย พลังทางสังคมชนิดหนึ่งที่มีความเข้มแข็งมากกว่าแม้แต่กองกำลังของรัฐ นั่นก็คือพลังของชนชั้นกรรมกรซึ่งในไม่ช้าจะถูกจัดตั้งขึ้นเพื่อเคลื่อนไหวในการเปลี่ยนแปลงสังคม ทันทีที่กองกำลังมหึมานี้เคลื่อนไหวมันจะไม่มีพลังใดๆในโลกที่จะยับยั้งได้ หากกรรมกรนับล้านๆเคลื่อนไหวจนถึงที่สุด พลังของมันจะสามารถโค่นระบอบที่กดขี่ลงไปได้ ปัญหาอยู่ที่การนำและองค์กรของชนชั้นกรรมกรเอง
จะทำอย่างไรดี
การนำองค์กรมวลชนเริ่มต้นที่สหภาพแรงงาน แต่ทุกแห่งเป็นเรื่องที่น่าเสียใจ ภาพที่ฉายออกมา เป็นภาพที่ชนชั้นกรรมกรถูกพิชิตอันเนื่องมาจากการนำที่ไม่ดี เป็นที่เข้าใจกันดีว่า เยาวชนคนหนุ่มสาวต่างไม่สบอารมณ์กับบทบาทการนำในปัจจุบันนี้ จึงมุ่งสู่แนวคิดและการแก้ปัญหาแบบอนาธิปไตย ในหลายๆกรณี... ผู้ที่เรียกตัวเองว่าเป็นนักอนาธิปไตยนั้นไม่มีความรู้แม้กระทั่งเรื่องทฤษฎีและประวัติ
ศาสตร์ของลัทธิอนาธิปไตยเลย หลักการอนาธิปไตยของพวกเขาไม่ใช่ลัทธิอนาธิปไตยอย่างแน่นอน
มันเป็นเพียงปฏิกิริยาต่อต้านลัทธิขุนนางและลัทธิปฏิรูปเท่านั้น เมื่อพวกเขาพูดว่า
..“เราต่อต้านการ เมือง” พวกเขาหมายถึง ”เราต่อต้านการเมืองที่เป็นอยู่นี้ ซึ่งมันไม่ได้เป็นตัวแทนของประชาชนอย่างแท้จริง” เมื่อเขาพูดว่า “เราไม่ต้องการพรรคและผู้นำ!” พวกเขาจะหมายถึง... “เราไม่ต้องการพรรคการเมืองและผู้นำในปัจจุบันที่ตีตัวออกจากสังคม
และรักษาผลประโยชน์ส่วนตัวและของนายทุนที่หนุนหลังพวกเขาเท่านั้น”
ลัทธิอนาธิปไตย
จริงๆแล้วมันเป็นแค่เปลือกนอกที่ยังไม่สมบูรณ์ของพรรคบอลเชวิคที่มีนักปฏิวัติลัทธิมาร์กซเท่านั้น
แต่มันได้ใจเยาวชนคนหนุ่มสาวผู้มีความปรารถนาที่จะเปลี่ยนแปลงสังคมอย่างสุดจิตสุดใจ หลายๆคนในหมู่พวกเขาจะรู้สึกถึงข้อจำกัดในความคิดของนักอนาธิปไตยและวิธีการต่างๆ และเพื่อแสวงหาทางเลือกที่ปฏิวัติกว่า แต่การขาดการนำที่ถูกต้องและขาดนโยบายที่ชัดเจนในการ
เคลื่อนไหวต่อสู้ทำให้จำนวนคนที่เข้าร่วมลดลงตลอดเวลา จากประสบการณ์ที่เจ็บปวดนี้กรรมกรและเยาวชนรุ่นใหม่เริ่มเข้าใจธรรมชาติของปัญหาที่วางอยู่เบื้องหน้า และเริ่มเข้าใจทีละน้อยถึงความต้องการแก้ปัญหาอย่างถึงรากถึงโคน องค์ประกอบที่ดีเลิศสำหรับการเริ่มต้นที่จะตระหนักว่าวิธีที่จะหลุดพ้นจากทางตันได้
ก็คือการฟื้นฟูการปฏิวัติสังคม
มันไม่ใช่เรื่องง่ายๆเลยสำหรับเรื่องนี้ แต่แน่นอน..ไม่มีสิ่งดีๆอะไรที่ง่ายในชีวิต
ก้าวแรกที่สำคัญคือการปฏิเสธสังคมที่กำลังดำรงอยู่นี้ ไม่ว่าจะเป็นสถาบันของมัน คุณค่าและจริยธรรมของมัน นี่คือย่างก้าวที่ง่ายที่สุดบนเส้นทางที่หลากหลาย...
มันไม่ใช่เรื่องยากที่จะประท้วงหรือปฏิเสธ
แต่อะไรละที่มีความจำเป็น...ก็คือคำพูดที่ปราศจากข้อสงสัยว่า “ จะทำอย่างไรกัน
?”
สิ่งสำคัญที่จะต้องเน้นคือ ความจำเป็นที่จะต้องมีจิตสำนึกแนวคิดที่แจ่มชัดรวมไปถึงนโยบายและยุทธวิธี ความผิดพลาดทางทฤษฎีเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะนำไปสู่ความผิดพลาดทางการปฏิบัติ นี่ไม่ใช่การทดสอบทางวิชาการ
การต่อสู้ทางชนชั้นไม่ใช่การเล่นเกมส์
และในประวัติศาสตร์นั้นอุดมไปด้วยตัวอย่างนานาชนิดที่แสดงถึงความไม่ชัดเจนในทางการเมืองอันจะนำไปสู่โศกนาฏกรรมที่เศร้าสลดซึ่งติดตามมา ประเทศสเปนเมื่อทศวรรษที่ 1930 คือกรณีตัวอย่าง
ในขั้นตอนแรกของการปฏิวัติ สิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้คือการรวมกันของความไร้เดียงสาและสิ่งลวงตาทุกชนิด
แต่สิ่งลวงตาเหล่านั้นจะถูกทำลายลงไปโดยเหตุการณ์ที่เป็นจริง
การเคลื่อนไหวเป็นการทดสอบและข้อผิดพลาด...มันต้องการเวลาสำหรับการเรียนรู้
หากมีพรรคลัทธิมาร์กซที่มีรากฐานมวล ชนและมีความเข้มแข็งในทางการเมืองอยู่ กระบวนการเรียนรู้ก็จะเป็นไปได้อย่างรวดเร็วโดยไม่มีข้อ
ข้อสงสัย และแน่นอน..มันอาจจะเพรี่ยงพล้ำและถดถอยบ้างแต่ก็เพียงเล็กน้อย ถ้ายังไม่มีพรรคการ เมืองแบบนั้น ... ก็มีความจำเป็นที่จะสร้างพรรคขึ้นมาอย่างเร่งด่วน
ความสับสน..การขาดนโยบาย การถกเถียงที่ไม่มีข้อสรุปคือการการเคลื่อนไหวที่ไม่เป็นคุณ
ถ้าต้อง
การให้การเคลื่อนไหวสำเร็จลุล่วง....จะต้องติดอาวุธทางความคิดที่ชัดเจนและมีนโยบายสอดคล้องกับการปฏิวัติ และนั่น...ลัทธิมาร์กซสามารถตอบสนองได้ กรรมกรและเยาวชนได้แสดงออกถึงสติปัญ ญาและเริ่มต้นได้อย่างยอดเยี่ยม บัดนี้ทุกอย่างนั้นขึ้นอยู่กับความสามารถของนักปฏิวัติซึ่งประกอบ
กับกรรมกร และ นักศึกษา เยาวชนที่จะนำพาไปสู่บทสรุป ติดอาวุธด้วยนโยบายของการปฏิวัติที่แท้ จริง..ที่พวกศัตรูไม่อาจเอาชนะได้
คัดมาจากบางตอนของบทความขนาดยาว
เรื่อง “ลัทธิมาร์กซหรือลัทธิอนาธิปไตย”
ของ อลัน วูดส์
No comments:
Post a Comment