Tuesday, August 25, 2015

บทเรียนของกรีซ: ความล้มเหลวของลัทธิปฏิรูป


บทเรียนของกรีซ: ความล้มเหลวของลัทธิปฏิรูป

 นายอเล็กซิส  ซีปราส    นายกรัฐมนตรีกรีกพึ่งจะประกาศว่าจะลงจากตำแหน่งเมื่อวันที่ 20 สิงหาคม    เขาได้สูญเสียเสียงสนับสนุนข้างมากในรัฐสภาและการแตกแยกของพรรคซีรีซา (Syriza) โดย  นาย ลาฟาซานิส แกนนำนำปีกซ้ายได้ประกาศตั้งพรรค”เอกภาพประชาชน” ขึ้นใหม่     ซีปราสได้ประกาศในโทรทัศน์เมื่อคืนที่ผ่านมาว่า     รัฐบาลพรรคซีรีซาได้ยื่นใบลาออกเพื่อให้มีการเลือกตั้งใหม่   ซีปราสกล่าวว่าประชาชนชาวกรีกยังคงต้องทำการต่อสู้ต่อไป แต่ประเทศกรีซได้ ”ตัดสินใจอย่างมีเกียรติ์”  ในเรื่องล่าสุดที่เรียกกันว่าการรับเงินช่วยเหลือ    มันหมายความว่าอย่างไร?

เงินช่วยเหลือ(เงินกู้)งวดแรกนี้มีมูลค่าแปดหมื่นหกพันล้านยูโร (86,000,000,000 ล้าน) หรือประมาณ เก้าหมื่นล้านดอลลาร์  ที่ต้องนำมาใช้จ่ายอย่างเข้มงวดในรูปแบบของการ”ปฏิรูป” ซึ่งบงการโดยกลุ่มทรอยก้า (Troika  คือวิธีเทียมม้าแบบรัสเซียที่ใช้ม้าเทียม 3 ตัว ในที่นี้นำมาเปรียบเทียบกับเจ้าหนี้ 3 ฝ่าย ได้แก่ ธนาคารกลางยุโรป . สมาชิกกลุ่มเศรษฐกิจยุโรป . และสถาบันการเงิน ไอ.เอ็ม.เอฟ) หลังจากมีการอภิปรายกันอย่างเผ็ดร้อนในรัฐสภา  รัฐบาลกรีกยอมรับการแปรรูปวิสาหกิจขนาดใหญ่(คือการทำทรัพย์สินของรัฐให้เป็นของเอก ชน) มาตรการเพิ่มภาษี  ทุกๆคนในกรีซรู้ดีถึงนโยบาย  และการตัดลด(cuts)เพื่อเป็นการประหยัด  มันบ่งบอกถึงการละทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างที่ซีปราสได้เคยสัญญากับประชาชนของกรีซเมื่อเขาได้รับเลือกตั้งในวันที่ 25 มกราคม ศกนี้ไปจนหมดสิ้น

 
ประชาชนชาวกรีกต่างรู้ว่านโยบายเหล่านี้หมายถึง   การตัดลดที่มากขึ้น  มาตรฐานการครองชีพที่ต่ำลง  การว่างงานเพิ่มสูงขึ้น  และความท้อแท้สิ้นหวัง    เพื่ออะไรล่ะ?  หลังจากที่ต้องทุกข์ทรมานกับนโยบายตัดลดที่โหดร้ายมาเป็นเวลา 5 ปี   ภาระหนี้สะสมของกรีกสูงขึ้นจาก 125% ไปเป็น 185% ของรายได้ ประชาชาติ     และขณะนี้กำลังพุ่งขึ้นเกอบจะแตะ 200% นี่คือความสำเร็จที่น่าทึ่งหรือ?   เงินกู้ยืมทั้ง หมดที่ให้แก่กรีซ  มีเพียงแค่ 10 % เท่านั้นที่กรีซได้รับ        ที่เหลือนั้นถูกส่งตรงไปยังหีบสมบัติของเยอรมันและสถาบันธนาคารต่างๆของยุโรป

 
เป็นที่ชัดเจนว่า  แม้คนตาบอดก็รู้ว่ากรีซไม่มีความสามารถที่จะจ่ายหนี้ก้อนมหึมานี้ได้   ในทางส่วนตัว(และแม้แต่ในด้านสาธารณะ)  นักเศรษฐศาสตร์ชนชั้นนายทุนก็ต้องยอมรับความจริง    กระนั้นพวกเขาก็ยังบีบคั้นประชาชนกรีกและผลักดันชาวกรีกให้ไปเกินกว่าขอบเขตจำกัดของความอดทน   จะต้องไม่มีมาตรการตัดลดใดๆอีกสำหรับประชาชนกรีกที่เป็นการเสี่ยงต่อการก่อให้เกิดการระเบิดทางสังคม  ประชา ชนกรีกได้แสดงออกให้เห็นอย่างชัดเจนในการคัดค้านอย่างรุนแรงในการทำประชามติในเดือนกรกฎาคมเมื่อประชาชนกรีกได้ลงคะแนนด้วยเสียงข้างมากต่อการรับเงินกู้งวดใหม่บนเงื่อนไขของการ รัดเข็มขัดให้มากขึ้น    และมวลชนจำนวนมหาศาลได้เคลื่อนไหวแสดงออกถึงความยินดีต่อชัยชนะอันยิ่งใหญ่    แต่ผู้นำของพรรคซีรีซากลับยอมยกธงขาวแสดงการยอมจำนนและยินยอมต่อคำบงการของบรรดาเจ้าหนี้ในยุโรป

 
การยอมจำนนที่น่าอับอายนี้  ได้สร้างความท้อแท้ผิดหวังแผ่ขยายไปในวงกว้างและยังเป็นแรงกระตุ้นให้เกิดกระแสการลาออกของสมาชิกพรรคเมื่อสัปดาห์ก่อนหน้านี้      อารมณ์ตกใจและสับสนเมื่อแรกๆได้กลายเป็นความเดือดดาลเมื่อประชาชนได้รู้ความจริงของนโยบายใหม่    และนี่เป็นเบื้องหลังในการแตกของพรรคซีรีซ่าและการเรียกร้องให้มีการเลือกตั้งใหม่ของซีปราส

 ความมืดบอดของนักปฏิรูป

การเลือกตั้งทั่วไปในเดือนมกราคมประชาชนได้เลือกพรรคซีรีซาเป็นรัฐบาลรัฐบาล  ที่ได้ให้สัญญาว่าจะยกเลิกมาตรการรัดเข็มขัดทั้งมวล     ถ้าคุณยอมรับในข้อจำกัดของระบอบทุนนิยม   ก็ต้องยอมรับในกฎกฎเกณฑ์ของมันด้วย      นั่นหมายความว่าคุณต้องการบริหารจัดการวิกฤติของระบอบทุนนิยม     สิ่งที่ ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ก็คือใช้มาตรการประหยัดสำหรับชนชั้นกรรมกร     ในขณะเดียวกันก็หยิบยื่นผลประ โยชน์ก้อนมหึมาซึ่งเป็นเงินของส่วนรวมให้แก่บรรดานายธนาคารและชนชั้นนายทุน

 
ความมืดบอดของทั้ง ซีปราสและ วาโรอูฟากิส(อดีตรัฐมนตรีคลัง)คือการที่เชื่อว่าพวกเขาจะสามารถจูงใจนาง แมร์เคล(นายกรัฐมนตรีเยอรมัน)และนายทุนยุโรปคนอื่นๆ ให้ยินยอมอ่อนข้อต่อกรีซได้ด้วยการเจรจา     อย่างที่เราได้ทำนายไว้ว่า..จะไม่มีการเจรจา       ชนชั้นนายทุนยุโรปมีความตั้งใจที่จะบดขยี้กรีซอยู่แล้ว   อีกอย่างหนึ่งมันน่าจะเป็นตัวอย่างที่ดีสำหรับพรรคที่ต่อต้านการมาตรการประหยัดในประ เทศอื่นๆ เช่นพรรค โพเดมอส (Podemos  พรรคการเมืองปีกซ้ายของเสปน ก่อตั้งเมื่อเดือนมีนาคม 2014 โดย พาโบล  อิกเลซิยาส)  ในเสปน  ที่จะเดินตามรอย

 
เมื่อต้องเผชิญหน้ากับฝ่ายตรงกันข้ามที่ไร้ความปราณีของบรรดาผู้นำในยูโรโซน    ซีปราส ขอทำประ ชามติ     นั่นเป็นผลให้มวลชนเคลื่อนไหวสนับสนุนรัฐบาล    ประชาชนชาวกรีกพร้อมแล้วที่จะต่อสู้กับมาตรการประหยัด      ถ้าซีปราสยังคงเป็นนักลัทธิมาร์กซอยู่เขาควรจะฉกฉวยโอกาสใช้การเคลื่อนไหวนี้เพื่อการเปลี่ยนแปลงสังคม      เขาควรเรียกร้องให้ชนชั้นกรรมกรเข้ายึดธนาคารต่างๆและทำให้เป็นสมบัติของชาติเสีย

 
เขาควรจะเป็นตัวอย่างให้แก่กรรมกรในยุโรปได้เดินตามแนวทางสังคมนิยมกรีก   ซึ่งนั่นจะเป็นกองกำลังมวลชนขนาดมหึมาในการเคลื่อนไหวต่อต้านมาตรการประหยัดนี้ไปทั่วยุโรป        และเป็นเพียงหนทางเดียวที่นาง แมร์เคล และคนอื่นๆจะยอมถอย      แต่เนื่องจากเป็นนักปฏิรูป..ซีปราสไม่แม้แต่จะพิจารณาถึงความเป็นไปได้ในเรื่องนี้    แทนความคิดที่ว่าเขาสามารถใช้ผลของประชามติมาเป็นข้อต่อรองเพื่อให้ได้ข้อตกลงที่ดี     ผลสุดท้ายกลับได้สิ่งที่แย่กว่า...นั่นคือเสียงสะท้อนกลับของการไม่ยอมรับของประ ชาชนในเดือนกรกฏาคม

 
ขณะนี้รัฐบาลซึ่งถูกเลือกมาเพื่อให้ต่อต้านมาตรการตัดลด     แต่กำลังตระเตรียมดำเนินการตัดลดที่รุน แรงขึ้น    นี่เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่ผลักให้ทั้งกรีซและพรรคไซรีซาต้องตกอยู่ในห้วงวิกฤต  ซีปราสผู้ซึ่งได้รับความนิยมอย่างมากเมื่อไม่นานมานี้     กำลังเสื่อมเสียความนิยมอย่างหนักในหมู่ประชาชนซึ่งเป็นส่วนที่มีความสำคัญ   นี่เป็นการสะท้อนถึงวิกฤตของผู้นำ       ภายใต้สถานการณ์เช่นนั้นย่อมเป็นไปไม่ได้ที่พรรคซีรีซาจะเกาะกุมกันได้ต่อไปอีก ซึ่งก่อนหน้านี้ก็มีเค้าของการแตกแยกอยู่แล้ว       ซีปราสได้วางรากฐานให้แก่ตนเองไว้แล้วในพรรคของชนชั้นนายทุนที่เป็นฝ่ายตรงกันข้าม     เนื่องจากเขาไม่สามารถควบคุมพรรคที่ตนสังกัดได้อีกต่อไป

 
การเลือกตั้งจะแก้ปัญหาอะไร?

เหตุผลที่ซีปราสเรียกร้องให้มีการเลือกตั้งโดยเร็วก็เพราะเขาหวังว่าจะมีเวลาไม่เพียงพอสำหรับพรรคใหม่(ที่แยกออกไป)    ซึ่งก่อตั้งโดยผู้นำปีกซ้าย พานาจิโอติส  ลาฟาซานิส ที่ยังไม่มีความพร้อม  และไม่มีความชัดเจนพอว่าจะได้ผู้สนับสนุนพรรคเอกภาพประชาชนของเขาจากพรรคซีรีซาสักกี่คน   ที่แน่ นอนก็คือ ลาฟาซานิส จะได้ใจประชาชนจำนวนไม่น้อยที่โกรธแค้นซีปราส

 
แม้จะเป็นเช่นนี้...  ก็ยังคงจะเป็นเหมือนเดิมที่ซีรีซายังจะเป็นพรรคที่ได้รับการเลือกมากที่สุดแม้การสนับสนุนจะลดลง     แต่ทางเลือกที่เอียงขวาก็ทำให้เสื่อมเสียมากขึ้นไปอีก    หลังจากที่เคยได้รับคะแนนเสียงในการเลือกตั้งเดือนมกราคมที่ 27.8%     การหยั่งเสียงในขณะนี้ปรากฏว่า คะแนนนิยมของกลุ่มปีกขวาพรรรคประชาธิปไตยใหม่เหลือไม่ถึง 20%

 
ถ้าซีปราส มีเสียงเพียงพอ บางทีเขาอาจจะตั้งรัฐบาลผสมกับพรรค แพนเฮเลนนิค  โซเซียลิสต์ มูฟเม้นต์ (PASOK* พรรคสังคมประชาธิปไตยกรีก)  และพรรค โพทามิ    อย่างไรก็ตามไม่แน่ว่าพรรค PASOKจะได้กี่ที่นั่งในรัฐสภาใหม่     และถ้าพรรคซีรีซาได้ที่นั่งน้อยกว่า 20%    ซีปราสอาจจะตั้งรัฐบาลผสมกับพรรคประชาธิปไตยใหม่ก็ได้    และนั่นก็หมายความว่าซีปราสกำลังจะนำซีรีซาไปสู่ความตาย   ไม่ว่าอย่างไรสิ่งที่จะเกิดขึ้นก็คือรัฐบาลผสมที่อ่อนแอและไม่มีเสถียรภาพท่ามกลางวิกฤตนี้   คงอยู่ได้ไม่นาน ขั้นตอนต่างๆจะ ทำให้การต่อสู้ทางชนชั้นมีความเข้มข้นขึ้น     ลักษณะพิเศษก็คือจะมีการแบ่งขั้วกันรุนแรงขึ้นระหว่างซ้ายและขวา      ขณะนี้ซีปราสยังเป็นศูนย์กลางทางการเมืองที่ไม่สามารถแก้ปัญหาใดๆได้    มันกำลังจะก้าวไปสู้ความยุ่งเหยิง..พรรคคอมมิวนิสต์กรีกจะเติบโตขึ้น และพรรค เอกภาพประชาชนอยู่ด้านซ้ายและพรรค โกลเดน ดอว์น อยู่ด้านขวา

 
สถานการณ์ปัจจุบันคือการก่อกำเนิดของการปฏิวัติที่มีศักยภาพ    สิ่งที่ขาดคือผู้นำการปฏิวัติที่แท้จริง ซึ่งสามารถเสนอทางออกแก่ประชาชนให้พ้นจากวิกฤตได้        พรรคคอมมิวนิสต์กรีซจำเป็นต้องได้รับการสนับสนุนจากทุกกลุ่ม  ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มที่มียุทธวิธีซ้ายจัด และบางส่วนที่คัดค้านซีปราสอย่างเหนียว แน่น      การได้รับความสนับสนุนจากพวกเขาย่อมมีความจำเป็นหลังจากซีปราสยอมจำนน      รวมไปถึงกลุ่มที่นิยมคอมมิวนิสต์ในพรรคซีรีซาที่ยืนหยัดคัดค้านการสมยอมของซีปราสและสนับสนุนนโยบายสังคมนิยมมาตลอด  ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นกรรมกรและกำลังจะแยกตัวออกจากพรรคซีปราส  รวมทั้งสมา ชิกพรรคคอมมิวนิสต์กรีกด้วย

 
สหาย ลาฟาซานิส  จะต้องได้รับเกียรติในการยืนหยัดต่อต้านการสมยอมของบรรดาผู้นำพรรคซีรีซา  แต่นโยบายของเขาที่เสนอนั้นไม่ใช่ทางเลือกที่แท้จริง         เขาสนับสนุนการออกจากการเป็นสมาชิกของกลุ่มยูโร     แต่ในขั้นตอนที่แน่นอนนั้นมีความเป็นไปได้ที่กรีซจะถูกขับออกจากสมาชิกยูโรไม่ว่าจะด้วยกรณีใดๆ   แม้ว่าโดยพื้นฐานของทุนนิยมจะเป็นการนำไปสู่วิกฤตที่หนักขึ้นอีก  เช่นการพังทลายของระ บบเงินตรา   อัตราเงินเฟ้อจะสูงขึ้น และในที่สุดมาตรฐานการครองชีพจะลดต่ำลง     ทั้งภายในหรือภาย นอกกลุ่มยูโร    หรือกลุ่มร่วมมือกันทางเศรษฐกิจยุโรป (EU)      วิธีแก้ปัญหาของกรีซนั้นอยู่บนพื้นฐานของระบอบทุนนิยมที่  ปัญหารุนแรงต้องแก้ไขด้วยวิธีที่รุนแรง

 

มีเพียงหนทางเดียวที่ประชาชนชาวกรีกจะสามารถควบคุมชะตากรรมให้กลับมาอยู่ในมือของตนได้ก็คือการขจัดอำนาจเผด็จการของบรรดานายธนาคารและนายทุนทั้งหลาย   ไม่เพียงแต่ในเบอร์ลิน  หรือ ในบรัสเซล เท่านั้นต้องในเอเธนส์อีกด้วย       มีความจำเป็นที่จะต้องยึดทรัพย์สินของบรรดานายธนาคาร    ผู้มีอิทธิพล  และพวกอภิสิทธิ์ชนกาฝากที่เป็นผู้ปกครองกรีซตัวจริง     มีเพียงทางนี้เท่านั้นที่การวาง แผนเศรษฐกิจอย่างสมเหตุสมผลจึงพอจะมีทางเป็นไปได้  ในการขจัดการว่างงาน   การไม่มีที่อยู่อาศัยและการสร้างรากฐานที่เป็นธรรมและสังคมประชาธิปไตยที่แท้จริงขึ้นมา

 
ะบอบทุนนิยมของกรีซอยู่ในภาวะขึ้นๆลงๆมาเป็นเวลาหลายปีแล้ว    ความไม่มั่นคงอย่างหนึ่งที่เป็นมาอย่างต่อเนื่องคือการรวมกลุ่มพันธมิตรทางการเมืองที่ไม่มีความแน่นอน    ผลของการเลือกตั้งแกว่งไปมาระหว่างซ้ายกับขวาต่อเนื่องกันซึ่งไม่สามารถแกปัญหาได้....ไม่ว่าในความรู้สึกของทั้งฝ่ายปฏิวัติและปฏิปักษ์ปฏิวัติ

เมื่อวิเคราะห์ให้ถึงที่สุดแล้ว        ชนชั้นนายทุนกรีกและยุโรปจะเรียกร้องให้ยุติในสิ่งที่พวกเขาเห็นว่าเป็น  ”ความวุ่นวาย” และพวกเขาจะพูดว่า :   “มีการนัดหยุดงานมากเกินไป...  มีการเดินขบวนและประท้วงบนถนนมากเกินไป   เราเรียกร้องกฎระเบียบ “  ฝ่ายซ้ายไม่มีทางออก....ในที่สุดก็จะเป็นการปูทางไปสู่ระบอบวีรบุรุษในกรีซ แม้ว่าระบอบที่ว่านี้จะไม่มีความมั่นคงก็ตาม    มันไม่สามารถแก้ปัญหาได้ทุกอย่างและก็มีความเป็นไปได้ว่าจะอยู่ได้ไม่ตลอด       มีเพียงทางเดียวคือเตรียมการและยกระดับไปสู่การปฏิวัติที่ใหญ่ขึ้น  เหมือนที่เราเห็นเมื่อปี 1974     ชนชั้นกรรมกรกรีกนั้นมีความมีธรรมเนียมการปฏิวัติที่ฝังอยู่ในความทรงจำมาช้านาน      ขอให้เราลองย้อนไปถึงกลุ่มปกครองที่ครองอำนาจต่อเนื่องกันมาตั้งแต่ปี 1967 จนถึง 1974 แต่ต้องถูกโค่นลงด้วยการปฏิวัติ

วิกฤตยุโรป

วิกฤตของยุโรปนั้นถูกเผยออกมาให้เห็นถึงรูปแบบที่แข็งทื่อในประเทศทุนนิยมที่อ่อนแอเช่น      เสปน  โปรตุเกส   และกรีซที่กระบวนการของมันได้ดำเนินไปไกลกว่าที่อื่นๆ แต่ในเสปนนั้นได้ก้าวล้ำหน้ากรีซไปแล้วก้าวหนึ่ง    ความฝันในการรวมเป็นหนึ่งเดียวของชนชั้นนายทุนยุโรปกำลังแตกสลายบนหลักการประหยัด

มากกว่า 20 ปี  ที่เราได้ชี้ให้เห็นถึงความเป็นไปไม่ได้   ในการรวมระบบเศรษฐกิจที่ดำเนินไปในทิศทางที่ต่างกัน     บนพื้นฐานของการเฟื่องฟูทางเศรษฐกิจลักษณะภายนอกของมันยังดำรงความเป็นเอกภาพ  เอาไว้ได้     แต่บนพื้นฐานของวิกฤตเศรษฐกิจความเป็นปรปักษ์เดิมๆในระดับชาติจะเริ่มก่อตัวขึ้นอีกครั้ง    แรงเหวี่ยงจากศูนย์กลางที่ทรงพลังทางเศรษฐกิจก็เริ่มจะมีการแตกตัว     และพลังที่ว่านี้จะเติบใหญ่ขึ้นตลอดเวลา
ผลกระทบของวิกฤตเศรษฐกิจกรีกรู้สึกว่าจะไปไกลเกินกว่าขอบเขตภายในประเทศ      ทั่วทั้งยุโรปจะ เกิดความหวั่นไหวไปกับนโยบายรัดเข็มขัดนี้ที่ไม่ใช่จะใช้แก้ไขปัญหาเพียงชั่วคราว  แต่มันจะลุกลามไปถึงมาตรฐานการครองชีพอีกด้วย     ในประเทศเช่นกรีซ โปรตุเกส และไอร์แลนด์นโยบายนี้มีผลในการตัดลดค่าจ้างและบำนาญไปเรียบร้อยแล้วโดยไม่มีการแก้ปัญหาการขาดดุล       ดังนั้นมันจึงเป็นความความล้มเหลวที่เกิดขึ้นบนความเจ็บปวดและความคับแค้นของประชาชน      ทุกหนทุกแห่งคนจนยิ่งจนลงไปอีก  ในขณะที่คนรวยกลับรวยมากขึ้น

ในการเจรจากับกรีซ   เยอรมันทำตัวเหมือนกับว่าเป็นผู้ควบคุมวงวงดนตรีที่บงการไปเสียทุกเรื่อง  ส่วน   นายทุนฝรั่งเศสก็เป็นประหนึ่งเจ้าทฤษฎีคนที่สองของยุโรป    ที่ผงกหัวเห็นด้วยอย่างนอบน้อมเมื่อนาง แมร์เคล  บอกปัดและโต้แย้งอย่างไม่ยี่หระกับข้อเสนอที่เกี่ยวข้องกับเรื่องทั้งหมด   สิ่งที่เราได้เห็นก็คือความอำมหิตที่แท้จริงซึ่งซ่อนอยู่หลังหน้ากากที่ยิ้มแย้มของ  ”ความเป็นหนึ่งเดียวของยุโรป”      การปฏิบัติของพวกเขาต่อกรีซนั้น    ชนชั้นนายทุนเยอรมันได้แสดงความกรุณาของเจ้าหนี้ที่สามานย์ที่สุดออกมา    “ถ้าคุณไม่มีเงินจ่ายหนี้  ก็ขายเครื่องเรือนมาชดใช้สิ!    อ้อ...ขายเครื่องเรือนแล้วรึ  งั้นก็เฉดหัวออกไปอยู่กลางถนนโน่น”
วิกฤตของระบอบปฏิรูป

ในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2  พรรคแรงงานและพรรคสังคมประชาธิปไตยได้นำเอาวิธีปฎิรูปมาใช้หลายครั้ง      พรรคเหล่านี้ได้รับการสนับสนุนในระดับที่น่าพอใจทำให้มีความมั่นคงในระดับหนึ่ง  แต่ช่วงเวลาเช่นนั้นได้จบลงไปแล้ว      ระบอบทุนนิยมได้ถลำลึกลงไปในห้วงวิกฤต   ทำให้ชนชั้นนายทุนไม่สามารถอดทนต่อวิกฤตที่ต่อเนื่องอย่างที่เคยเป็นมาเช่นในอดีตอีกแล้ว   จึงจำยอมให้มีการปฏิรูปขึ้น วิกฤติของระบอบทุนนิยมก็มีลักษณะเดียวกันกับระบอบปฏิรูป      ลักษณะประชาธิปไตยของชนชั้นนาย ทุนไม่เคยเป็นจริง และกำลังถูกเปิดโปงขึ้นในความรู้สึกนึกคิดของผู้คนนับล้านๆคนในเหตุการณ์ปัจจุบัน       จะมีคุณค่าอะไรสำหรับการลงประชามติและการเลือกตั้ง   ถ้าผู้มีอำนาจและบรรดานายธนาคารทั้งหลายไม่ได้ให้ความสนใจและเป็นผู้ตัดสินใจในท้ายที่สุด       ความว่างเปล่าและภาพลวงตาที่แสนสวยของลัทธิปฏิรูปและสังคมประชาธิปไตยได้ถูกเปิดโปงออกมาอย่างล่อนจ้อนไปทั่วทั้งทวีป     กระบวนการเช่นนี้ได้ถูกเร่งให้เร็วขึ้น  และกำลังจะเกิดขึ้นในประเทศต่างๆในช่วงเวลาเดียวกันนี้   
การขึ้นลงของพรรคและเหล่าผู้นำนั้นเปรียบเสมือนบารอมิเตอร์ที่สะท้อนให้เห็นถึงการเคลื่อนที่และความนิยมของมวลชนได้อย่างรวดเร็ว       บางทีก็กินเวลานับสิบปีสำหรับพรรคๆหนึ่งที่จะสูญเสียฐานมวลชน   แต่ภายใต้สถานการณ์ปัจจุบันมันใช้เวลาเพียงไม่กี่ปีหรือไม่กี่เดือน       เหมือนอย่างคราวที่พรรคซีรีซาตั้งขึ้นใหม่และได้ก้าวเข้ามาแทนพรรค Pasok อย่างรวดเร็ว    แต่ครั้งนี้พรรคที่ตั้งใหม่อาจได้รับความนิยมหรือตกต่ำได้อย่างรวดเร็ว    แต่องค์กรจัดตั้งมวลชนนั้นอยู่ได้เป็นทศวรรษหรือชั่วอายุคน    เคยอยู่ในวิกฤติ   แตกแยก  หรือไม่ก็สูญสลายไป

มาถึงบัดนี้  พรรคPasok คือพรรคหลักของชนชั้นกรรมกรกรีก  มันได้ถูกทำลายไปเนื่องจากผลพวงของการทรยศ      ผลก็คือพรรค Pasok ต้องประสบกับหายนะในขณะที่พรรคไซรีซาได้รับความนิยมแต่ก็เร็วเหลือเกินที่พรรคซีรีซากำลังตกอยู่ในห้วงวิกฤต      ความผุพังเสื่อมถอยของพรรคสังคมนิยมและพรรคคอมมิวนิสต์ได้นำไปสู่ความรุ่งโรจน์ของพรรคซีรีซาและพรรคโพเดมอส         การมองหาทางออกจากวิกฤตของมวลชนได้ทดสอบพรรคการเมืองต่างๆพรรคแล้วพรรคเล่า    บรรดาผู้นำรุ่นเก่าและนโยบายต่างๆได้รับการวิเคราะห์และถูกโยนทิ้งไป   แต่กรีซก็ยังแสดงออกในทางกลับกัน     ถ้าพวกเขาไม่แยกทางกับระบอบทุนนิยมและรับเอานโยบายแบบสังคมนิยมแล้ว      พวกเขาจะล่มสลายไปอย่างรวดเร็ว      นี่เป็นธรรมชาติของช่วงเวลาประวัติศาสตร์ในยุคปัจจุบัน

ในเสปนเราได้เห็นการเกิดขึ้นของพรรค โพเดมอส  ในสหราชอาณาจักรเราได้เห็นปรากฏการณ์ คอร์ไบน์ (Corbyn phenomenon)      ทั้งหมดนี้ได้แสดงให้เห็นถึงความไม่พอใจอย่างลึกซึ้งของสังคมในการแสวงหาทางการเมือง     และเรายังได้เห็นกระบวนการพื้นฐานเช่นนี้ในหลายๆประเทศ   มวลชนมีความมุ่งมั่นที่จะหาทางออกจากฝันร้าย    พวกเขาเลือกพรรคการเมืองและผู้นำครั้งแล้วครั้งเล่าและทิ้ง คนเหล่านั้นลงถังขยะแห่งประวัติศาสตร์ไปคนแล้วคนเล่าเช่นกัน          นั่นหมายถึงความโกรธแค้นที่เพิ่มขึ้นต่อผู้นำทางการเมือง    การต่อต้านคนร่ำรวยที่มีอำนาจละอภิสิทธิ์ก็ดี        ปฏิกิริยาต่อต้านสถานภาพเหล่านี้ก็ดี   เป็นพัฒนาการของเมล็ดพืชที่มีหน่ออ่อนของการปฏิวัติ    ที่ไปไกลกว่าเรื่องการปรับปรุงทางเศรษฐกิจ

จำนวนประชาชนที่ไม่เชื่อต่อคำมั่นสัญญาของบรรดานักการเมืองเพิ่มมากขึ้น   ที่แท้แล้วมันเป็นแค่สิ่ง ลวงตาที่พรรคการเมืองทั่วๆไปได้สร้างขึ้นมา    พรรคการเมืองที่ได้รับเลือกเหล่านั้นได้ทรยศต่อความความหวังของประชาชนโดยดำเนินการ”ตัดลด”ซึ่งถือว่าเป็นการฝ่าฝืนคำสัญญา    ทำให้พวกเขาต้องหมดความเชื่อถือไปอย่างรวดเร็ว    ผู้นำทางการเมืองที่ได้รับความนิยมมากที่สุดเพราะดูเหมือนว่าจะยืนหยัดเพื่อการเปลี่ยนแปลงนั้นต้องจบลงด้วยความดูหมิ่นเกลียดชังเมื่อพวกเขาดำเนินนโยบายที่น่าอดสูเช่นเดียวกับที่ผ่านมา    สิ่งเหล่านี้ได้เกิดขึ้นกับ ซีปราส ซึ่งเป็นตัวอย่างที่โดดเด่นในเวลานี้

คำพูดอย่างเป็นรูปธรรมซึ่งเป็นที่ชื่นชอบของบรรดานักลัทธิมาร์กซทั้งหลาย   “สถานการณ์ปัจจุบันได้หยิบยื่นสิ่งที่เป็นไปได้แก่ผู้ที่เตรียมจะหยิบฉวย     แต่ความเป็นไปได้ที่ยิ่งใหญ่กว่านั้นจะเปิดโอกาสให้ในช่วงที่พายุและความตึงเครียดได้ผ่านไปแล้ว”     วิกฤตนี้ไม่ธรรมดา..เป็นสถานการณ์เปลี่ยนแปลงที่แหลมคมและมีนัยต่อจิตสำนึก     ในโอกาสที่ซ้ำซากเช่นนี้ความคิดที่ยังยึดติดอยู่กับกฎเกณฑ์ในอดีต จะเป็นอันตรายต่อแนวโน้มในการปฏิวัติ    เราต้องเรียนรู้ที่จะคาดคะเนในสิ่งที่ไม่อาจคาดคะเนได้
การเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วและแหลมคมในสถานการณ์อันเป็นรูปธรรมนี้      เรียกร้องยุทธวิธีที่ชัดเจนที่มีความสอดคล้องและสัมพันธ์กัน      ผู้ที่สนับสนุนชาวคอมมิวนิสต์ได้ประกาสตนในการเข้าร่วมกับพรรคเอกภาพประชาชน    ภายใต้สถานการณ์ปัจจุบันมีเพียงการตัดสินใจที่ถูกต้องเท่านั้น   เรามีความเชื่อมั่นว่าชาวคอมมิวนิสต์จะสรรค์สร้างกำลังของตนต่อไป       ปลุกเร้าและให้การศึกษาแก่บรรดาผู้ปฏิบัติงานให้มีความสามารถที่จะพัฒนาการปฏิวัติของกรีซให้เติบใหญ่ขึ้นต่อไป

อลัน  วูดส์   ลอนดอน London 21 สิงหาคม 2015.

 

 

Sunday, August 16, 2015

กงสุลไทยถูกโจมตีที่ตุรกี...

กงสุลไทยถูกโจมตีที่ตุรกี...การการยั่วยุครั้งล่าสุดในสงครามตัวแทน สหรัฐฯ-จีน
โดย Tony    Catalucci
ฝูงม็อบที่โบกธงสีฟ้าขาวของรัฐ “เตอรกีสถานตะวันออก”  ที่ถูกสร้างขึ้นปัจจุบันตั้งอยู่ที่มณฑลซินเกียง  ของจีน      ได้ทำการโจมตีบุกรุกและทำลายทรัพย์สินของสถานกงสุลไทยในกรุงอิสตันบูล   ประเทศตุรกี     การโจมตีได้เกิดขึ้นหลังจากรัฐบาลไทยได้มีคำสั่งให้ส่งชาวอุยกูร์สัญชาติจีนในไทยไปยังตุรกีหรือจีนขึ้นอยู่กับการพิสูจน์สัญชาติ
                                                 
หนังสือพิมพ์ บางกอก โพสต์  ได้รายงานเรื่อง “สถานกงสุลถูกโจมตีในตุรกี” ว่า ....มีรายงานว่าฝูงชนได้รวมตัวกันที่หน้าสถานกงสุลในเวลาประมาณ 11.00น.ตามเวลาท้องถิ่น (เวลาในประเทศไทยบ่าย 3 โมง)   ทันใดนั้นเหตุการณ์ได้เปลี่ยนไปเป็นความรุนแรง    ฝูงชนได้พังรั้วและบุกเข้าไปในตัวอาคาร ทุบกระจกหน้าต่างและชักธงไทยลงมา      หลังจากนั้นเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยได้ทำการสลายฝูงชนและมีรายงานว่า .. ไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บ

กำลังของเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยได้มาถึงที่เกิดเหตุภายหลังที่ฝูงชนได้ทำการบุกเข้าไปแล้ว และได้ทำการสลายฝูงชนที่มีการจัดตั้งอย่างดี   เป็นที่เข้าใจได้ว่า.. ทำไมกำลังของเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยชาวเตอรกีถึงได้อนุญาตให้มีการโจมตีสถานกงสุลไทยดำเนินต่อไป  ต้องมีการรู้เห็นต่อบทบาทของชาวอุยกูร์ด้วย  ทั้งตุรกีและกระทรวงต่างประเทศสหรัฐฯเองต้องการบ่อนทำลายสันติภาพและความมั่นคงในประเทศจีนและต้องการสร้างพลวัตในการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลใหม่ของไทยโดยดึงเข้ามาในเกม

อีริค  เดรทสเตอร์  ได้วิเคราะห์ในด้านภูมิศาสตร์การเมืองในหัวข้อ  “ตุรกี,ลัทธิก่อการร้าย,และสง ครามตัวแทนทั่วโลก” ได้ให้รายละเอียดถึงบทบาทของตุรกีว่าเป็นผู้สนับสนุนเครือข่ายการก่อการร้ายขนาดใหญ่ของโลกที่ถูกใช้เป็นเครื่องมือของสหรัฐในการขยายอำนาจไปทั่วโลก   โดยเฉพาะอย่างยิ่งชาวอุยกูร์ก็คือเครือข่ายการดำเนินงานโดยตุรกีเชื่อมไปยังจีนโดยตรงโดยผ่านเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ไปยังตะวันออกกลาง   โดยปฏิบัติการเคลื่อนย้ายนักรบชาวอุยกูร์เข้าและออกจากสนามรบต่างๆรวมไปถึงซีเรียที่ชาวอุยรกูร์ได้เข้าร่วมรบเคียงบ่าเคียงไหล่กับกลุ่มก่อการร้าย ไอซิส

 เขายังชี้ให้เห็นถึงการสนับสนุนทางการเงินของสหรัฐโดยตั้งกองทุนขนาดใหญ่ และหนุนช่วยทางการการเมืองให้แก่กลุ่มแยกดินแดนใน มณฑลซินเกียงของจีน  โดยผ่าน เวปไซต์   กองทุนเพื่อประชาธิป  ไตยแห่งชาติ ( National Endowment for Democracy / NED) ที่ใช้ชื่อ “เตอรกีสถานตะวันออก” ซึ่งเป็นเพียงรัฐกำมะลอ ที่เกี่ยวโยงไปถึงการแยกดินแดนซินเกียงของจีน     ธงที่ใช้เป็นสัญลักษณ์ของรัฐที่ว่านี้มีรูปดาวและเดือนเสี้ยวบนพื้นธงสีฟ้าเหมือนกับธงที่ฝูงชนใช้ในการโจมตีสถานกงสุลไทย   เวปไซต์นี้มีการเขียนและลบอยู่เป็นประจำ    และในเวลาที่ผ่านมาได้มีองค์กรต่างๆได้บริจาคเงินเพื่อปฏิบัติการในมณฑลซินเกียงของจีนเช่น

มูลนิธิสิทธิมนุษยชนและประชาธิปไตยชาวอุยกูร์ระหว่างประเทศ 187,918 ดอลลาร์   เพื่อสนับ สนุนและยกระดับสถานะภาพด้านสิทธิมนุษยชนของชนกลุ่มน้อยที่เป็นสตรีและเด็กชาวอุยกูร์  เวปไซต์ของมูลนิธิ  มีทั้งภาษาอังกฤษและอุยกูร์ 

สมคมนักเขียนชาวอุยกูร์ระหว่างประเทศ บริจาค45,000 ดอลลาร์    เพื่อส่งเสริมเสรีภาพ ในการแสดงออกของชาวอุยกูร์      เวปไซต์ขององค์กรจะเสนอเรื่องงานหนังสือ  บทความ ที่ถูกสั่งห้ามของนักเขียน    กวี   นักประวัติศาสตร์  นักหนังสือพิมพ์ และอื่นๆ    สมาคมนักเขียนอุยกูร์ได้ดำเนินการรณณรงค์ในทางสากลเกี่ยวกับเรื่องสิทธิมนุษยชนของนักเขียนที่ถูกจำคุก 

สมาคมชาวอเมริกัน-อุยกูร์ บริจาค 280,000 ดอลลาร์   เพื่อเฝ้ามองปัญหาสิทธิมนุษยชนชาวอุยกูร์   โดยสมาคมมีโครงงานเรื่องสิทธิมนุษยชน  เช่นการวิจัย   รวบรวมเอกสารหลักฐาน   เพื่อนำไปสู่ความสนใจในทางสากล   เป็นอิสระในการรายงานการละเมิดสิทธิมนุษยชนที่มีผลกระทบต่อประชาชนเชื้อสายเติร์กในเขตปกครองตนเองซินเกียง ประเทศจีน

สภาชาวอุยกูร์โลก บริจาค 185,000 ดอลลาร์    เพื่อยกระดับความสามารถของชาวอุยกูร์กลุ่มที่นิยมประชาธิป ไตยและผู้นำ   ให้มีความเข้าใจในการดำเนินการด้านสิทธิมนุษยชนอย่างมีประสิทธิภาพและรณณรงค์  เพื่อการปกครองในระบอบประชาธิปไตย         สภาฯจะจัดการให้มีการประชุมขึ้นสำหรับกลุ่มผู้ที่นิยมระบอบประชาธิปไตยและบรรดาผู้นำในหัวข้อเรื่องปัญหาชนชาติส่วนน้อยในระดับสากลเพื่อนำนำไปสู่การสนับสนุนงานสิทธิมนุษยชนชาวอุยกูร์

รายชื่อขององค์กรที่กล่าวมาข้างบนนี้    ถูกใช้เป็นแนวร่วมทางการเมืองขององค์กรก่อการร้ายติดอาวุธที่ ทำการโจมตีจนทำให้ผู้คนเสียชีวิตทั้งในจีนและที่อื่นๆ   โดยมีเป้าหมายอยู่ที่ตำรวจและพลเรือน  รวม ไปถึงกรณืการใช้มีดไล่แทงคนที่สถานีรถไฟคุนหมิงเมื่อปี 2014    หลายองค์กรตามรายชื่อข้างบนนั้นได้ใช้ถ้อยคำแก้ต่างให้กับการโจมตีเช่นว่านั้น

เหมือนกับกองทุน NED ของสหรัฐที่ได้ดำเนินการในประเทศไทย โดยแอบอยู่เบื้องหลังของสิ่งที่เรียก ว่า “สิทธิมนุษยชน” และ “ประชาธิปไตย”   ในการสนับสนุนค้ำจุนกลุ่มก่อการร้ายติดอาวุธ  โดยไม่ได้มีจุดมุ่งหมายในการรักษาผลประโยชน์ของคนในท้องถิ่นเลย      หากแต่เพื่อความก้าวหน้าของวาระการประชุมของชาติตะวันตกที่มีเป้าหมายใจกลางในการบ่อนทำลายอธิปไตยของชาติต่างๆ   และผลักดันภูมิศาสตร์การเมืองและการอ่อนข้อทางเศรษฐกิจเพื่อประโยชน์ของกลุ่มทุนแห่ง วอลล์สตรีท  ลอนดอน  และ บรัสเซล     ไม่เป็นที่ประหลาดใจแต่อย่างใดเลยที่องค์กรชนิดเดียวกันนี้ซึ่งมีสหรัฐฯอยู่เบื้องหลังผลประโยชน์ในประเทศไทย   ต่างก็ดาหน้าออกมาพูดเกี่ยวกับกรณีของชาวอุยกูร์ด้วยถ้อยคำที่เข้าข้างสหรัฐฯ

สำนักข่าวรอยเตอร์ได้เสนอบทความเรื่อง “ประเทศไทยบีบบังคับผลักดันชาวอุยกูร์กว่าร้อยคนกลับไปประเทศจีน”   เพื่อทำให้สับสนคลุมเครือในเรื่องความรุนแรงที่กลุ่มแยกดินแดนเหล่านี้ได้มีส่วนร่วม   พอๆกับการรับทุนก้อนใหญ่จากสหรัฐฯก่อนจะรายงานข่าว       กลุ่มฝ่ายขวาได้แสดงความคิดเห็นต่อกรณีที่รัฐบาลไทยตัดสินใจส่งชาวอุยกูร์กลับประเทศจีน..กลัวว่าพวกเขาจะต้องเผชิญกับการปฏิบัติที่เลวร้ายกระทั่งถูกทรมาน   “เป็นเรื่องที่น่าตกใจและสับสนที่ไทยยอมรับการกดดันจากปักกิ่ง”  นักวิจัยด้านสิทธิมนุษยชนชาวไทยคนหนึ่งได้กล่าวกับสำนักข่าวรอยเตอร์        คนๆนี้..ว่าที่จริงแล้วก็คือหนึ่งในผู้สนับสนุนฝ่ายขวาไทย   ซึ่งได้รับการสนับสนุนทางการเงินจากองค์กร NED  เพื่อการปลุกระดมในประ เทศไทย  รวมไปถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นล่าสุดในการจับกุมนักศึกษา 14 คนที่ประท้วงรัฐบาล     ส่วนที่ร่วมมือและให้การสนับสนุนทางการเมืองแก่นักวิจัยผู้นี้น่าจะเป็นสำนักข่าวออนไลน์สำนักหนึ่ง  รวมไปถึงนักวิชาการบางคน       องค์กร NGO ที่ตั้งขึ้นโดยสหรัฐฯ  ล้วนแต่ได้รับเงินสนับสนุนจาก NED  ทั้งสิ้น  

ไทยได้ใช้เวลาตัดสินใจไม่นานนักที่ไม่อนุญาตให้ชาวอุยกูร์ใช้ดินแดนของไทยเป็นทางผ่าน..  ความสัม พันธ์ระหว่างจีน-ไทย ที่เพิ่มสูงขึ้น    ประเทศทั้งสองมีการร่วมมือกันมากมายหลายๆด้านเช่นด้านโครง    การสาธารณูประโภคพื้นฐานที่มีศักยภาพ, การจัดซื้อเรือดำน้ำโดยกองทัพเรือไทย      สำหรับประชาชนชาวไทยรู้ดีว่าสหรัฐฯ แทรกแซงกิจการภายในของไทยไปไกลถึงขนาดว่า  ใช้คนทรยศปลุกปั่นก่อความไม่สงบ โดยราดน้ำมันลงไปในสถานการณ์ทั้งทางการเมืองและเศรษฐกิจ    กระทั่งสนับสนุนปฏิบัติการ จากภายนอกประเทศและภายในบริเวณพรมแดนของไทย     รวมไปถึงการแสดงบทบาทของสหรัฐฯที่พยายามจะใช้ไทยเป็นที่อำนวยความสะดวกในกิจกรรมในต่างประเทศของตน    ที่สำคัญที่สุดก็คือการบ่อนทำลายประเทศจีนรวมไปถึงการสนับสนุนระบอบก่อการร้ายในตะวันออกกลาง
สหรัฐฯได้แสดงออกอย่างเปิดเผยมากขึ้นถึงความจำเป็นในการทำลายความสัมพันธ์ที่กำลังเติบโตเหล่า นี้      ด้วยความพยายามขยายความขัดแย้งกรณีพิพาทที่เกิดขึ้นในทะเลจีนใต้    และเพิ่มความพยายามที่จะให้เกิดความไม่มั่นคงในประเทศไทย โดยสร้างความปั่นป่วนในด้านผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจและการเมืองของประเทศไทยทั้งภายในและภายนอก
การโจมตีสถานกงสุลไทยในตุรกีโดยกลุ่มชนที่โบกธง ตุรกีสถานตะวันออก ที่สหรัฐฯสนับสนุนนั้นก็เท่า กับว่าเป็นการกระทำของสหรัฐฯโดยตรง    พันธมิตรชาวตุรกีของสหรัฐฯอเมริกาที่จัดตั้งกันมาอย่างดี ได้ทำการโจมตีและแยกย้ายสลายตัวกันไป   มีเจตนาที่จะส่งสัญญาณจากวอชิงตันถึงกรุงเทพฯ ว่า...การขัดขวางความเป็นเจ้าของตะวันตกนั้น..น่าจะเป็นอันตรายต่อสุขภาพของใครบางคน
ประวัติศาสตร์ยังคงพิสูจน์ว่า   การยอมจำนนต่ออำนาจความเป็นใหญ่ของตะวันตกนั้นเป็นอันตรายแค่ไหน? บางทีอาจจะหนักกว่านี้   ความสัมพันธ์ของไทย-จีนที่เพิ่มสูงขึ้นนั้นได้ยืนยันถึงความเข้าใจร่วมกันว่า ความพยายามที่จะอยู่ร่วมกับตะวันตกนั้นไม่ได้หมายความว่าจะรอดพ้นจากการครอบงำ     “การอยู่ร่วมกัน” ในความคิดของพวกเขานั้น     คือต้องการให้ตะวันออกยอมสยบต่อพวกเขาโดยสิ้นเชิงทั้งในด้านอธิปไตยด้วย


Wednesday, August 12, 2015

คำปราศรัยครั้งสุดท้ายของ กัดดาฟี

คำปราศรัยครั้งสุดท้ายของ กัดดาฟี

ในพระนามของอัลเลาะห์.. คุณความดี  และเมตตาธรรม....

กว่า 40 ปีแล้ว  หรือนานกว่านั้น ข้าพเจ้าจำไม่ได้   ข้าพเจ้าได้ทำทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อประชาชน  จะได้มีที่อยู่อาศัย   มีโรงพยาบาล   มีโรงเรียน    และเมื่อพวกเขาหิว  ข้าพเจ้าให้อาหาร ทำให้เบงกาซี ที่เป็นทะเลทรายให้กลายมาเป็นแหล่งเพาะปลูก       ข้าพเจ้าได้ยืนหยัดต่อสู้กับการโจมตีของ โรนัน เรแกน   เมื่อเขาได้ฆ่าลูกสาวบุญธรรมของข้าพเจ้าแล้วยังพยายามฆ่าข้าพเจ้า     และยังได้เข่นฆ่าเด็กๆที่ไร้เดียงสาที่น่าสงสารอีก     เมื่อข้าพเจ้าทำการช่วยเหลือเงินทองให้แก่พี่น้องชายหญิงในอัฟริกาเพื่อสหภาพอัฟริกา

สิ่งที่ข้าพเจ้าได้ทำมาทั้งหมดนั้นเพื่อให้ประชาชนได้ซึมทราบถึงประชาธิปไตยที่แท้จริง   จากการบริหารประเทศโดยสภาประชาชน     แต่นั่นยังไม่เป็นที่พอใจ   มีบางคนบอกข้าพเจ้าว่า ผู้ที่เป็นเจ้าของบ้านขนาด 10 ห้องนอนนั้นไม่เคยมีความพอใจ      พวกเขาเห็นแก่ตัวและต้องการมากกว่านั้น   พวกเขาพูดกับอเมริกาและผู้มาเยือนอื่นๆว่า พวกเขาต้องการ”ประชาธิปไตย” และ “เสรีภาพ”    แต่ไม่เคยเข้าใจเลยว่านั่นเป็นระบบที่ต้องเฉือนเนื้อตัวเองเพื่อป้อนให้แก่สุนัขตัวที่ใหญ่ที่สุด   พวกเขายังลุ่มหลงต่อถ้อยคำเหล่านั้นโดยไม่เคยคำนึงเลยว่า  ในอเมริกาไม่มียาฟรี  ไม่มีโรงพยาบาลฟรี  ไม่มีบ้านฟรี  ไม่มีการศึก ษาและโรงเรียนฟรี   นอกจากประชาชนจะต้องแบมือขอหรือต่อแถวยาวเหยียดเพื่อซุปเพียงชามเดียว

ไม่ว่าสิ่งใดๆที่ข้าพเจ้าได้ทำมา  ไม่เคยเป็นที่พอใจของคนบางคน  แต่สำหรับคนอื่นพวกเขารู้ดีว่าผมเป็นเสมือนลูกชายของ กามาล อับเดล นัสเซอร์   ซึ่งเป็นผู้นำอาหรับและมุสลิมเพียงคนเดียวที่เราเคยมีมาตั้งแต่ ซาเล่ห์ อัล ดีน   เมื่อท่านได้ยึดคลองสุเอซเพื่อประชาชน     ก็เหมือนกับที่ข้าพเจ้าอ้างสิทธิ์ในลิเบียก็เพื่อประชาชน     เป็นการเดินตามรอยเท้าของท่าน   ที่ข้าพเจ้าได้กระทำไปก็เพื่อให้ประชาชนของเราได้หลุดพ้นจากการปกครองแบบอาณานิคมของบรรดาโจรที่ขโมยทรัพยากรของเรา

ขณะนี้ข้าพเจ้าอยู่ภายใต้การโจมตีโดยกำลังทหารที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์     โอบามา ลูกหลานเชื้อสายอัฟริกันต้องการฆ่าข้าพเจ้า   และแย่งยึดเอาเสรีภาพไปจากประเทศของเรา   แย่งชิงที่อยู่อาศัย   บ้านเรือน   การรักษาพยาบาล  การศึกษา  และอาหาร  ที่ให้บริการฟรีแก่ประชาชนของเราไป  และแทนที่ด้วยการปล้นสะดมภ์แบบอเมริกันที่ เรียกว่า “ระบอบทุนนิยม”ซึ่งพวกเราประเทศโลกที่สามซาบซึ้งถึงความหมายของมันดี   ที่มันร่วมมือกันขับเคลื่อนประเทศขับเคลื่อนโลก  ทำให้ประชาชนทั้งโลกต้องทนทุกข์ทรมาน

ดังนั้น..ข้าพเจ้าจึงไม่มีทางเลือกอื่นใด    จำเป็นต้องยืนหยัด   และถ้าเป็นพระประสงค์ของอัลเลาะห์  ข้าพเจ้าจะยอมตายในวิถีทางของพระองค์    ด้วยการสร้างประเทศชาติของเรามั่งคั่งไปด้วยแผ่นแผ่นดินแห่งเกษตรกรรมมีอาหารอุดมสมบูรณ์ประชาชนมีสุขอนามัยที่ดี และเราจะยังคงให้ความ ช่วยเหลือแก่พี่น้องช่าวอัฟริกาและอาหรับทั้งหลาย        ข้าพเจ้าไม่ปรารถนาความตาย   แต่ถ้าจะจะต้องตายเพื่อรัก ษาปิตุภูมิและประชาชนที่เป็นเสมือนบุตรหลานให้อยู่รอดปลอดภัย    ข้าพเจ้าก็พร้อมที่จะตาย

ข้าพเจ้าขอประกาศต่อโลกว่า   ข้าพเจ้าจะยืนหยัดต่อสู้กับการโจมตีของ นาโต้ผู้บุกรุก   ยืนหยัด ต่อสู้กับความโหดร้าย   เผชิญหน้ากับการทรยศ   ต่อสู้กับชาติตะวันตกและความทะเยอทะยานของเหล่านักล่าอาณานิคมทั้งหลาย  และข้าพเจ้าจะยืนเคียงบ่าเคียงไหล่และขอเป็นดวงประทีปนำทางให้แก่บรรดาพี่น้องชาว อัฟริกา   ชาวอาหรับที่แท้   พี่น้องมุสลิม   ทั้งหลาย

ในขณะที่คนอื่นๆสร้างคฤหาสน์     ข้าพเจ้าอาศัยในบ้านที่ธรรมดาที่สุดและในกระโจม    ไม่เคยลืมชีวิตในวัยเด็กที่เซียร์เต    ข้าพเจ้าไม่เคยใช้จ่ายทรัพยากรของชาติไปอย่างโง่เขลา    และเช่นเดียวกับ ซาเลห์ อัล ดีน  ผู้นำมุสลิมที่ยิ่งใหญ่ของเรา..ผู้ปลดปล่อยเยรูซาเล็มให้แก่อิสลาม  ข้าพเจ้าทำเพื่อตัวเองเพียงเล็กน้อยเท่านั้น

ในโลกตะวันตก บางคนเรียกข้าพเจ้าว่า “คนบ้า” บ้าง  “คนฟั่นเฟือน” บ้าง     พวกเขาต่างรู้ความจริง แต่ยังกล่าวเท็จต่อไป    พวกเขาต่างก็รู้ว่าปิตุภูมิของเรานั้นเป็นอิสระและเสรีไม่ยอมอยู่ในอุ้งมือของนักล่าอาณานิคม    นั่นคือทัศนะของข้าพเจ้า  นั่นคือวิถีทางของข้าพเจ้า    และเป็นที่ประจักษ์แก่สายตาของประชาชนว่า    ข้าพเจ้าจะต่อสู้จนลมหายใจสุดเฮือกสุดท้ายที่จะทำให้เราเป็นอิสระ   ขออัลเลาะห์ที่ทรงมหิทธานุภาพทรงโปรดช่วยเราในการรักษาสัจธรรมและความเป็นเสรีด้วยเทอญ

มูอัมมาร์  กัดดาฟี