Wednesday, December 14, 2016

เรื่องที่น่าตื่นตระหนกห้าประการเกี่ยวกับสงครามกับจีนที่กำลังใกล้เข้ามา

 เรื่องที่น่าตื่นตระหนกห้าประการเกี่ยวกับสงครามกับจีนที่กำลังใกล้เข้ามา 
 จากภาพยนตร์สารคดี โดย จอห์น   พิลเกอร์  10 Dec, 2016  



จอห์น พิลเกอร์ นักหนังสือพิมพ์กล่าวว่า      ฐานทัพของอเมริกานับสิบๆแห่งที่ตั้งโอบล้อมจีนอยู่เป็นประหนึ่ง “บ่วงแร้วขนาดใหญ่” และประวัติศาสตร์ของการปรากฏตัวด้านอาวุธนิวเคลียร์ของอเมริกาในภูมิภาคแปซิฟิค,สงครามระหว่างมหาอำนาจทางการทหารที่ใหญ่ที่สุดกับประเทศที่มีเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับสองของโลก  ไม่ใช่เป็นเรื่องที่ไม่อาจคาดคิดอีกต่อไป

ในภาพยนต์สารคดีของเขาเรื่อง “สงครามที่จะมาถึงของจีน”  ที่ได้ออกอากาศทางช่อง อาร์ ที ด๊อคคิวเมนแทรี่ เมื่อปลายสัปดาห์นี้        นักข่าวและผู้สร้างภาพยนตร์สารคดีที่ได้รับรางวัลมากมายได้ยืนยันความตั้งใจของตนที่จะ “ทำลายความเงียบงัน” ลงไป     พิลเกอร์เริ่มต้นจากการสังเกตข้อเท็จจริงต่างๆทางประวัติศาสตร์ที่ละเลยการแสดงแสนยานุภาพของอเมริกาในย่านเอเซีย-แปซิฟิค

นักข่าวชาวออสเตรเลียกล่าวที่ฐานทัพของอังกฤษ  ในตะวันตกเห็นว่า..”การคุกคามของจีนได้กลายเป็นข่าวที่มีความสำคัญ...สื่อได้พากันประโคมโหมกระหน่ำกลองสงครามราวกับจะให้โลกเห็นและระมัดระวังจีนว่าเป็นศัตรูตัวใหม่ ”       สื่อหลักของโลกเช่น ซี เอ็น เอ็น ได้นำเสนอข่าวนี้แยกออกเป็นข่าวพิเศษในกรณีที่สหรัฐฯประกาศควบคุมเที่ยวบินต่างๆเหนือบริเวณหมู่เกาะที่เกิดกรณีพิพาทในทะเลจีนใต้  ภาพ
ยนต์ของพิลเกอร์ระบุว่า  “ฐานทัพของสหรัฐฯได้สร้างบ่วงแร้วขนาดยักษ์ในการปิดล้อมจีนด้วย ขีปนาวุธ..เครื่องบินทิ้งระเบิด  กองเรือรบ ในเส้นทางทั้งหมดตั้งแต่ออสเตรเลียตลอดทั้งแปซิฟิคไปยังเอเชียและไกลกว่านั้น”   เจมส์ แบรดเลย์ ในฐานะของผู้เผยแพร่ภาพยนต์ข่าวผู้หนึ่ง.. และเป็นผู้เขียนหนังสือเรื่อง  “จีน..ภาพลวงตา”   กล่าวว่า  “ถ้าคุณอยู่ในกรุงปักกิ่งและยืนอยู่บนตึกที่สูงที่สุดและมองไปยังมหาสมุทรแปซิฟิค...คุณจะเห็นเรือรบของสหรัฐฯ.คุณก็น่าจะเห็นเกาะกวมที่กำลังจะจมลงเพราะน้ำหนักของบรรดา ขีปนาวุธที่เล็งเป้าไปยังจีน”

ความลับของเกาะบิกินี
คือสถานที่ทดลองระเบิดนิวเคลียร์ของสหรัฐฯมานานหลายปี   เป็นชื่อที่ดังกระฉ่อนในเรื่องของความอื้อฉาว   เป็นเกาะปะการัง(Atoll)ที่ยืมชื่อมาจากการออกแบบชุดว่ายน้ำของสุภาพสตรี..เกาะปะการังนี้อยู่ในหมู่เกาะมาร์แชลที่เป็น”ยุทธศาสตร์ลับของอเมริกา”   ตั้งอยู่ในมหาสมุทรแปซิฟิคที่กว้างใหญ่ ระ  หว่างอเมริกาและเอเซีย  เป็นบันไดหินที่ดีเยี่ยมในการก้าวไปสู่เอเชียและจีน   ปี 1946 สหรัฐฯได้รับการมอบหมายให้ดูแลหมู่เกาะในแปซิฟิคเหล่านี้ภายใต้สนธิสัญญาของสหประชาชาติ แต่มันได้ถูกเปลี่ยนไปเป็น “ห้องทดลองของการทดสอบอาวุธนิวเคลียร์  ประชากรของที่นี่ก็ได้กลายเป็นหนูทดลอง”    ในภาพยนตร์กล่าวต่อไปว่า..รวมไปถึงผลการทดลองระเบิดนิวเคลียร์ที่ได้ทดสอบกับสัตว์ต่างๆด้วย

 
 ในขณะเดียวกันชุดว่ายน้ำบิกินีก็ได้ปรากฏขึ้นหลังจากการทดลองระเบิดไฮโดรเจนของสหรัฐฯที่เกาะปะการังบิกินี...แต่รูปร่างของชาวเกาะก็ไม่ได้โด่งดังอย่างผู้ที่สวมใส่    พวกเขากลับอาศัยอยู่ท่ามกลางสถานที่ๆมีกัมมันตภาพรังสีมากที่สุดในโลก   จากการทดลองในทะเล  อากาศ  บนแนวปะการัง และใต้น้ำ     ผลรวมของการทดลองระเบิดทั้งบนเกาะและรอบๆหมู่เกาะมาร์แชลนั้นมีปริมาณมากกว่าการทิ้งระเบิดที่ฮิโรชิมาถึง 7,200 เท่า    นั่นหมายความว่าเมื่อเทียบกันแล้วจะมากกว่า
การทิ้งระเบิดที่ฮิโรชิมาวันละหนึ่งลูกทุกๆวันนานถึง 12 ปี     พิลเกอร์กล่าวว่า จนถึงทุกวันนี้เกาะบิกินีก็ยังไม่เหมาะสำหรับมนุษย์ที่จะอยู่อาศัย

พื้นที่บริเวณรอบๆปล่องภูเขาไฟที่ใหญ่ที่สุดซึ่งมนุษย์ได้สร้างขึ้นจากการทดลองระเบิดไฮโดรเจนที่เรียกว่า “บราโว” คือแหล่งที่มีมลพิษเจือปนมากที่สุดบนโลกใบนี้   สารคดีได้อ้างคำพูดของเจ้าหน้าที่ สหรัฐฯที่เกี่ยวกับพลังงานนิวเคลียร์ว่า..”มันจะเป็นเรื่องน่าสนใจที่จะแสดงให้เห็นว่ามนุษย์สามารถจะอยู่อาศัยในสิ่งแวดล้อมที่มีการปนเปื้อนได้”...ในขณะที่ผู้ผลิตสารคดีนี้ได้สำรวจพบถึงภัยอันตรายว่าประชา  ชนที่อาศัยอยู่บนเกาะปะการังหลายคนเสียชีวิตจากโรคมะเร็ง  “สิ่งที่ชาวอเมริกันทำนั้นไม่ใช่อุบัติเหตุ  พวกเขามาที่นี่เพื่อทำลายแผ่นดินของเรา   พวกเขามาเพื่อทดสอบผลของการทดลองระเบิดนิวเคลียร์กับพวกเรา”   สตรีท้องถิ่นกล่าวกับคณะของเรา

การเหยียดเชื้อชาติในแปซิฟิค
การสร้าวฐานทัพของอเมริกันในภูมิภาคนี้..ชี้ชัดว่า  “เป็นเรื่องที่มีความสำคัญและเป็นความลับสุดยอด”เรื่องหนึ่งที่รู้จักกันในนาม แหล่งทดลองของ โรนัล เรแกน   นักข่าวพบว่าฐานยิงจรวดของสหรัฐฯขึ้นตรงต่อเขาในการ  “ควบคุมเส้นทางทั้งหมดในมหาสมุทรแปซิฟิคที่จะไปสู่เอเชียและจีน”  ด้วยอาวุธทั้งมวลในการทำลายล้างที่ “ออกแบบมาสำหรับสงครามที่กำลังจะมาถึง”    ฐานทัพทั้งหลายคือส่วน ”น่าสัง เกตุ” ของแผนควบคุมทางอากาศของสหรัฐฯที่รู้กันในนาม “วิสัยทัศน์ 2020” ที่ออกแบบไว้เมื่อทศวรรษ ที่ 1990    สามารถอธิบายอย่างเป็นทางการว่าครอบคลุมอย่าง “เต็มรูปแบบ” วอชิงตันได้ทุ่มเงินจำนวน มหาศาลไปกับความทะเยอทะยานทางการทหาร     ด้วยการซ้อมรบทางอากาศ..ทดลองยิงจรวดข้ามทวีปจากแคลิฟอร์เนียไปยังหมู่เกาะมาแชลส์ ที่มีระยะทางถึง 5000 ไมล์   ในขณะที่คนท้องถิ่นยังจมอยู่กับความยากจน

อเมริกันปฏิบัติต่อประชาชนผู้อาศัยอยู่อีกฟากหนึ่งของอ่าวที่ตรงกันข้ามกับฐานทัพของตนอย่างที่พิลเกอร์ให้คำนิยามว่า “การเหยียดเชื้อชาติแห่งแปซิฟิค”  และที่อาศัยของชาวพื้นเมืองว่า “แหล่งเสื่อมโทรมแห่งแปซิฟิค”  ชาวเกาะกว่า 12,000 คนล้วนแต่เป็นผู้อพยพจากที่อยู่เดิมของตน ซึ่งปัจจุบันนี้คือฐานยิงจรวดของสหรัฐฯ  และผู้คนบนเกาะที่มีมลพิษจากการทดลองนิวเคลียร์ซึ่งถูกนำมาทำงานอยู่ในสนามกอล์ฟสำหรับชาวอเมริกันในฐานทัพ    หลังจากทำงานหนักทั้งวันพวกเขาก็ลงเรือเฟอร์รี่กลับบ้านไปสู่ความยากจนเช่นเดิม

ประชาชนชาวเกาะต่อต้านอำนาจกองทัพที่ใหญ่ที่สุดในโลก
เกาะ โอกินาวา ของญี่ปุ่นได้กลายเป็น ”แนวหน้าของการส่งสัญญานสงครามกับจีน”  ในขณะที่การต่อ ต้านคัดค้านอย่างสันติของฝ่ายประชาชนในท้องถิ่นได้ท้าทายนโยบาย สร้างความเข้มแข็งในเอเซียของสหรัฐฯ     เอกสารได้เปิดเผยว่า  เมื่อปี 1962 อาวุธนิวเคลียร์ของสหรัฐฯเกือบจะถูกยิงจากเกาะ...เมื่อฐานทัพที่นี่ยืนยันว่าได้รับคำสั่งให้เตรียมพร้อมในการโจมตีจีน..แต่มีคำสั่งให้ยุติอย่างกระทันหัน   หนึ่งในผู้ปฏิบัติงานของอเมริกาซึ่งมีหน้าที่ในการยิงขีปนาวุธบอกกับ พิลเกอร์ว่า  จีนคือเป้าหมายทางนิวเคลียร์ของสหรัฐฯ ในระหว่างวิกฤติขีปนาวุธในคิวบา

“ เราไม่ต้องการความทุกข์ยากจากสงครามอีก”   หนึ่งในผู้นำการเคลื่อนไหวปะท้วงที่โอกินาวาบอกกับผู้สื่อข่าว     พร้อมกล่าวว่า “ภาระหน้าที่” ของเธอในฐานะผู้รอดชีวิตจากสงครามโลกครั้งที่สอง  เธออยากเห็นฐานทัพของอเมริกาออกไปจากเกาะของญี่ปุ่น    แต่เครื่องบินรบของอเมริกาก็ยังบินขึ้นลงอยู่ในโอกินาวา  “การคุกคามก็ยังมีอยู่เป็นประจำ”

บ่อยครั้งที่ครูไม่สามารถทำการสอนได้เนื่องมาจากเสียงที่ดังรบกวนหรือความหวาดกลัว...ย้อนหลังไป เมื่อปี 1959  เครื่องบินรบของอเมริกันตกที่โรงเรียนประถม มิยาโมริ และบ้านเรือนใกล้เคียงยังคงเจิดจ้าอยู่ในความทรงจำ   นักบินดีดตัวออกอย่างปลอดภัย  แต่เครื่องบินได้ทำให้ผู้คน 200 คนจมอยู่ในกองเลือด  ส่วนใหญ่เป็นเด็กนักเรียนที่เสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บในอุบัติเหตุครั้งนั้น

 
รวมถึงโศกนาฏกรรมจากอุบัติเหตุ 44 ครั้งจากเครื่องบินรบของอเมริกาในหมู่เกาะโอกินาวา     รวมถึงเรื่องความรุนแรงทางเพศที่กระทำต่อสตรีท้องถิ่นซึ่งได้รับการยืนยันว่าล้วนแล้วเกิดจากผู้ปฏิบัติงานชาวอเมริกันทั้งสิ้น     หนึ่งใน ”สถานีรบของสหรัฐฯ” ที่ขึ้นชื่อที่สุดตั้งอยู่บนเกาะเซจู ในเกาหลีใต้    ซึ่งก็มีการเคลื่อนไหวต่อต้านฐานทัพเรือของอเมริกาซึ่งเป็น ”ฐานทัพที่ยั่วยุที่สุดในโลก” ที่สร้างขึ้นบนพื้นที่เกาะที่ได้รับการสถาปนาขึ้นเป็นมรดกโลก..เป้าหมายของมันคือเซี่ยงไฮ้  ที่อยู่ห่างไม่เกิน 400 ไมล์  ซึ่งเป็นเสมือนเส้นชีวิตของจีนในการซื้อขายน้ำมันและพลังงานระดับโลก
.
ยังมีฐานลับอีกมากมายที่วอชิงตันได้สร้างขึ้นภายในพื้นที่ของประเทศอื่นเพื่อการปกปิดอำพรางฐานะของสหรัฐฯ     ซึ่งโดยทั่วไปสถานที่เหล่านั้นไม่ได้แสดงว่าเป็นฐานทัพ    หลายแห่งเป็นการอ้างว่าเพื่อ “ต่อต้านอิทธิพลทางเศรษฐกิจของจีน”  ในขณะที่ฐานทัพหลายแห่งจ่อหน้าประตูบ้านจีน มีฐานะเป็นตัว “ ยั่วยุ ”

เหมืองทองของยาเสพย์ติดและโรคหวาดระแวง
นโยบายต่อต้านจีนที่เป็น ”ต้นแบบของความรุนแรง” เริ่มตั้งแต่ศตวรรษที่ 19   และได้แพร่กระจายไปทั่วสหรัฐฯ   ในภาพยนตร์..เสนอว่านโยบายเช่นนี้ได้ปกปิดนัยที่แอบแฝงอยู่เบื้องลึก...คือฝิ่น   เบื้องหลังชนชั้นสูงของสหรัฐฯ... จีนคือ “เหมืองทองของยาเสพย์ติด”      วอร์เรน  เดลาโน ตาของแฟรงกลิน ดี.รูสเวลท์  ประธานาธิบดีคนที่ 32 ของสหรัฐฯคือเจ้าพ่อฝิ่นชาวอเมริกันในจีน   เจมส์ แบรดเลย์ นักเขียนกล่าวว่า  “ความรุ่งโรจน์ของมหาวิทยาลัยส่วนใหญ่ทางฝั่งตะวันออกของอเมริกาเช่นโคลัมเบีย  ฮาวาร์ด  เยลส์  ปรินซตัน  ล้วนแต่เกิดจากเงินของฝิ่น       การปฏิวัติอุตสาหกรรมของอเมริกาได้รับการอุดหนุนจากเงินกองทุนที่มาจากยาเสพย์ติดที่ผิดกฎหมาย(จาก)ตลาดที่ใหญ่ที่สุดในโลก..นั่นคือจีน”   สาเหตุจากอะไรนั้นเขาไม่ได้พูดถึงแต่เรียกมันว่า “การค้ากับจีน”

หลังศตวรรษที่ 20 เป็นต้นมา..แนวทางใหม่ในการนำเสนอจีนได้ถูกประดิษฐ์ขึ้น...  จากการปฏิวัติของเหมา  ได้จุดชนวนความหวาดวิตกขึ้นในวอชิงตัน   ริชาร์ด นิกสัน  ประกาศว่าจีนคือ “สาเหตุพื้นฐานของของความยุ่งยากทั้งหมดของเราในเอเซีย ”     ปี 1953  เอ็ดเวิร์ด เทลเลอร์  บิดาแห่งระเบิดไฮโดรเจนได้กล่าวไว้เป็นสิบๆปีถึงความจำเป็นในการป้องกันอำนาจตะวันออก    ภาพยนต์ได้นำเสนอคำพูดของเขา..”ในนามของความปลอดภัยของเรา..ผมเชื่อว่า..มีความจำเป็นที่จะต้องตระเตรียมการป้องกันการโจมตีของจีนต่อสหรัฐฯด้วยขีปนาวุธ”

พิลเกอร์กล่าวว่า..”จีน..คู่ปรับของอเมริกาและการต่อสู้กับระบอบทุนนิยม  เป็นสิ่งที่ไม่อาจอภัยให้ได้”เขาได้เปิดเผยสาส์นลับของ เหมา เจ๋อ ตุง ที่ส่งมายังวอชิงตันเมื่อห้าปีก่อนการปฏิวัติของพรรคคอม มิวนิสต์ ในปี 1949....มีใจความตอนหนึ่งว่า. ”(เรา)ต้องสร้างจีนให้เป็นประเทศอุตสาหกรรมอย่างเร่ง ด่วน  เรื่องนี้สามารถทำได้โดยวิสาหกิจแบบเสรี    ผลประโยชน์ของประชาชนจีนและประชาชนอเมริกันมีความสอดคล้องกันทั้งทางด้านเศรษฐกิจและการเมือง      อเมริกาไม่มีความจำเป็นต้องกลัวว่าเราจะร่วมมือกันไม่ได้     เราไม่อาจเสี่ยงในการก้าวก่ายอเมริกา  เราไม่อาจเสี่ยงต่อการมีความขัดแย้งใดๆ”    แต่ผู้นำจีนไม่ได้รับคำตอบใดๆ  และการยื่นมือมาได้ถูกปัดทิ้งไปอย่างสิ้นเชิง

อาวุธที่แยบยลที่สุดคือการให้ผลประโยชน์แก่ศัตรู
สารคดียังเสนอ...”ต้นแบบของเผด็จการคอมมิวนิสต์”  ที่กระจายไปทั่วโดยสหรัฐอเมริกาจากความเข้าใจที่ไม่ถูกต้องว่า “จีนเป็นเช่นนั้น”   อีริค ลี  นักบริหารวิสาหกิจและนักรัฐศาสตร์กล่าวว่า….ในอเมริกาคุณสามารถเปลี่ยนพรรคการเมืองได้แต่คุณไม่สามารถเปลี่ยนแปลงนโยบายได้  จีนเป็นประเทศที่ใช้เศรษฐกิจการตลาดที่ยืดหยุ่น แต่ไม่ใช่ประเทศทุนนิยม  เขากล่าวต่อไปว่า “ในประเทศจีน.ทุนไม่อาจอยู่เหนืออำนาจทางการเมือง       ดังนั้นมหาเศรษฐีทั้งหลายจึงไม่อาจควบคุมคณะกรรมการกรมการเมืองได้   เหมือนเช่นบรรดามหาเศรษฐีอเมริกันที่เป็นผู้สร้างนโยบายของชาติเสียเอง

ลีกล่าวว่า  รัฐบาลจีน “ไม่มีความพยายามที่จะชี้นำโลก  ไม่แม้แต่จะชี้นำเอเชีย-แปซิฟิค       ผมคิดว่าพวกเขาต้องการเพียงมิให้อเมริกาเข้ามาครอบงำภูมิภาคนี้      ดังนั้นพวกเขาจำต้องทำอย่างที่พวกเขาเชื่อ...ว่ามันเป็นสิ่งที่ถูกต้องอันเนื่องมาจากมันเป็นภาาระหน้าที่ทางประวัติศาสตร์ที่มีมาอย่างยาวนาน” และกล่าวต่อไปว่า.. ” จีน... โดยปกติแล้วค่อนข้างจะอ่อนน้อมเมื่อเปรียบกับศักยภาพของพวกเขา”
เมื่อพลังทางเศรษฐกิจของโลกเคลื่อนย้ายเข้าสู่เอเชียอย่างรวดเร็ว  ความรับผิดชอบของอเมริกาคือการเคลื่อนกำลังทางเรือเข้าสู่ภูมิภาคอย่างที่พิลเกอร์กล่าว...”การเสริมกำลังทางการทหารขนาดใหญ่เป็นที่รู้กันในวอชิงตันว่า เพื่อสร้างความมั่นคงแก่เอเซียนั้น..มีเป้าหมายอยู่ที่จีน” อย่างที่ประธานาธิบดี บารัค โอบามาได้กล่าวไว้ในปี 2011ว่า  การเข้าไปในเอเชีย- แปซิฟิค คือ “ภารกิจแรกๆที่มีความสำคัญ”



Monday, December 12, 2016

ทำไมระบอบเผด็จการจึงประสบความสำเร็จในสังคมไทย

ทำไมระบอบเผด็จการจึงประสบความสำเร็จในสังคมไทย’ 
งานวิจัยชิ้นใหม่ของ ประจักษ์ ก้องกีรติ        28-09-2016
HIGHLIGHTS:
·      ประชาธิปไตยไม่ใช่ OS (ระบบปฏิบัติการ) ทางการเมืองที่สมบูรณ์แบบที่สุด แต่เป็น OS ที่พร้อมจะอัพเดตได้ง่ายที่สุด ต่างจากเผด็จการที่เป็นเหมือน OS ที่อัพเดตไม่ได้
·      อาวุธลับของเผด็จการไทย คือการเปรียบเทียบอดีตที่วุ่นวายกับปัจจุบันที่สงบ เพื่อค่อยๆ นวดให้ประชาชนรู้สึกว่าแบบนี้ก็ดีอยู่แล้ว
·      อำนาจเด็ดขาดและความสงบเป็นเพียงภาพลวงตา แท้จริงแล้วยังมีปัญหาอีกมากมายที่เผด็จการไม่เคยแก้ไข
ระบอบเผด็จการกับการเมืองไทยคือสิ่งที่อยู่คู่กันมาอย่างยาวนาน แม้เราอยากจะปฏิเสธแค่ไหน ก็คงหนีความจริงข้อนี้ไปไม่พ้น    ถ้าประชาธิปไตยคือจุดหมายปลายทางที่สำคัญของประเทศ แทนที่จะตีอกชกหัวพร่ำโทษว่าทำไมประเทศไทยไม่เป็นประชาธิปไตย     เราอยากชวนคุณมากลับมุมคิดกับงานวิจัยชิ้นล่าสุดของ ผศ. ดร.ประจักษ์ ก้องกีรติ อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ที่ใช้เวลานานกว่า 6 เดือน เก็บตัวอย่างศึกษาระบอบเผด็จการอย่างจริงจังที่ประเทศสิงคโปร์ จนสุดท้ายกลายมาเป็นผลงานวิจัยที่ใช้ชื่อว่า 'A Tales of Three Authoritarianism' หรือ 'เรื่องเล่าจากระบอบเผด็จการ 3 ยุค'

แม้ว่าผลวิจัยนี้จะยังไม่เสร็จสมบูรณ์ แต่สิ่งที่เขาได้เรียนรู้จากการศึกษาครั้งนี้ น่าจะทำให้เราเห็นภาพของระบอบการปกครองเผด็จการได้ชัดเจนยิ่งขึ้น

ทำไมเราต้องเข้าใจเผด็จการ?
ประโยคที่เราชอบพูดกันซ้ำๆ ว่าประชาธิปไตยไทยอายุ 80 กว่าปีแต่ก็ยังล้มเหลว จริงๆ ประโยคนี้ผิดตั้งแต่ต้น เพราะสังคมไทยไม่ได้แต่งงานกับประชาธิปไตย แล้วใช้ชีวิตคู่อย่างราบรื่นมาโดยตลอด มันมีการหย่าร้างกันหลายช่วง

ประจักษ์เริ่มต้นตอบคำถามของเราด้วยการอ้างถึงความเข้าใจแบบผิดๆ ที่เราถูกพร่ำสอนมานาน ก่อนจะเสริมว่า   หลังจากศึกษาเรื่องประชาธิปไตยมานาน พอทำไปถึงจุดหนึ่งก็เริ่มรู้สึกถึงทางตันกับการตอบคำถามว่า ทำไมประชาธิปไตยไทยถึงล้มเหลว   ซึ่งนักวิชาการหลายคนสรุปแทบไม่ต่างกันเช่น วัฒน ธรรมไทยไม่เอื้อ   สังคมไทยเป็นสังคมอุปถัมภ์ ไม่ได้เชื่อเรื่องความเท่าเทียมกัน บางคนใช้คำว่าเนื้อดินมันไม่เอื้อ วัฒนธรรมเราเป็นแบบหนึ่ง ประชาธิปไตยเป็นของนอก  เอามาปลูกเลยไม่โต   หรือคนมักจะบอกว่าช่องว่างทางเศรษฐกิจมันเยอะเกินไป ยากที่ประชาธิปไตยจะเติบโตในสังคมที่มีช่องว่างระหว่างคนจนกับคนรวยสูง   หรือบางคนก็อธิบายว่าไทยมีความพิเศษบางอย่าง ทำให้จำเป็นต้องมีระบอบการปกครองเฉพาะของตัวเอง

พอคำตอบที่ได้มันเริ่มวนและไปไหนต่อไม่ได้ เลยอยากหาโจทย์วิจัยใหม่ๆ ดังนั้นผมเลยอยากมองไปที่อีกด้านของเหรียญ แทนที่จะมองว่าทำไม 84 ปีมานี้ประชาธิปไตยล้มเหลว ก็มองว่าทำไมระบอบเผด็จการถึงประสบความสำเร็จ โดยใช้วิธีการเปรียบเทียบทั้ง 3 ยุค คือ ยุคสฤษดิ์-ถนอม   ยุคสุจินดา และยุคปัจจุบัน

"คนมักจะเข้าใจผิดว่าระบอบเผด็จการคือความสงบ มั่นคง มีแบบแผน คาดเดาได้   แต่จริงๆ แล้วหัวใจของระบอบเผด็จการคือการคาดเดาไม่ได้"

รัฐธรรมนูญ = เครื่องมือสร้างการยอมรับของระบอบเผด็จการ
สิ่งหนึ่งที่ประจักษ์ได้ค้นพบจากการทำงานวิจัยชิ้นนี้ก็คือ ระบอบเผด็จการไทยมักจะยึดโยงตัวเองเข้ากับรัฐธรรมนูญในทุกยุคทุกสมัย   นั่นเป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่ทำให้ประเทศไทยมีรัฐธรรมนูญหลายฉบับ เพราะหลังจากรัฐประหารเสร็จสิ้น สิ่งแรกที่รัฐบาลเผด็จการต้องทำก็คือการฉีกรัฐธรรมนูญฉบับเก่าทิ้ง และร่างรัฐธรรมนูญขึ้นมาใหม่  มีบางคนล้อว่าการร่างรัฐธรรมนูญเป็นอุตสาหกรรมอย่างหนึ่ง เพราะมีคนที่มีชีวิตอยู่ได้ด้วยการรับจ้างร่างรัฐธรรมนูญ เหมือนเขียนหนังสือไตรภาค

ที่เป็นแบบนั้นก็เพราะรัฐธรรมนูญคือเครื่องมือที่ระบอบเผด็จการมักจะนำมาใช้เพื่อสร้างการยอมรับต่อนานาประเทศ    สังคมไทยไม่เคยเป็นสังคมปิดแบบพม่า เผด็จการไทยจึงเป็นระบอบเผด็จการที่พยา- ยามมีความสัมพันธ์กับโลกภายนอกตลอดเวลา เพราะถ้าปิดประเทศแบบพม่าก็จะเจ๊งกันหมด ชนชั้นนำก็เจ๊ง   คนทำรัฐประหารก็เจ๊งด้วย   เพราะเราไม่สามารถกลับไปอยู่แบบทำไร่ทำนา โดยไม่ต้องค้าขายกับโลกภายนอกได้       พอคุณพยายามจะสร้างความชอบธรรมกับต่างประเทศ  คุณก็ต้องแสดงให้เห็นว่าระบอบเผด็จการของคุณไม่ใช่ระบอบป่าเถื่อนโหดร้าย หรือใช้แต่อำนาจดิบ แต่ยังปกครองโดยยึดหลักกฎหมายด้วย

นอกจากนี้รัฐธรรมนูญยังจะช่วยให้ระบอบเผด็จการสามารถปกครองได้ยาวๆ แบบไม่ต้องเจอแรงกดดันมากนัก    เมื่อมีรัฐธรรมนูญก็เท่ากับระบอบนั้นกำลังมีข้ออ้างชั้นดีต่อประชาชนของตัวเองและโลกภาย นอก     คนมักจะเข้าใจผิดว่าระบอบเผด็จการคือความสงบ มั่นคง มีแบบแผน คาดเดาได้ แต่จริงๆ แล้วหัวใจของระบอบเผด็จการคือการคาดเดาไม่ได้ สมมติคุณอยากจะปลดผู้ว่าฯคนนี้คุณก็ปลด  อันนี้แหละคือธรรมชาติของระบอบเผด็จการ    แต่ไม่มีใครชอบเจ้านายที่หุนหันพลันแล่นและคาดเดาไม่ได้ เพราะลูกน้องทุกคนจะกลัวและไม่แน่ใจว่าจะโดนปลดเมื่อไร ฉะนั้นระบอบเผด็จการที่อยากจะอยู่ยาวหน่อย และได้รับการยอมรับจากคนใต้ปก ครองก็ต้องพยายามสร้างหลัก หรือกฎระเบียบบางอย่างขึ้นมา

แต่ไม่ได้หมายความว่าจะเป็นกฎระเบียบที่เคารพสิทธิเสรีภาพของประชาชนเหมือนรัฐธรรมนูญภายใต้ระบอบประชาธิปไตย มันก็จะเป็นรัฐธรรมนูญแบบเผด็จการอย่างจีน หรือรัสเซียก็มีรัฐธรรมนูญ ซึ่งเนื้อหาของรัฐธรรมนูญเหล่านี้จะให้อำนาจแก่ผู้นำเยอะ ไม่ได้ให้เสรีภาพกับสื่อหรือประชาชนมากนัก แต่มันก็ยังสำคัญ เพราะอย่างน้อยก็ใช้อ้างกับประชาชนและโลกภายนอกได้

เทียบอดีตที่วุ่นวายกับปัจจุบันที่มั่นคงอาวุธลับของ เผด็จการแบบนวด
ประจักษ์ตั้งข้อสังเกตว่าหนึ่งในอาวุธลับที่ระบอบเผด็จการยุคปัจจุบันหยิบมาใช้บ่อยๆ และมักจะได้ผลทุกครั้งไปก็คือการเปรียบเทียบภาพความวุ่นวายในอดีตกับปัจจุบัน เพื่อค่อยๆ โน้มน้าวให้คนฟังรู้สึกคล้อยตามไปเรื่อยๆ  ผมว่าระบอบนี้น่าสนใจ เพราะวิธีหนึ่งที่เขาใช้มาตลอดคือ เขาจะไม่พูดถึงสิ่งที่เขาทำเฉยๆโดยไม่อ้างอิงกับอดีต เช่น จะกลับไปตีกันเหมือนเดิมไหมล่ะ คุณชอบเหรอ แล้วตอนนี้เสียหายตรงไหน บ้านเมืองสงบ เพื่อให้เห็นว่าปัจจุบันอาจจะไม่สมบูรณ์แบบ แต่มันก็ดีกว่าอดีตใช่ไหม

ซึ่งตามทฤษฎีอธิบายว่ามีระบอบเผด็จการบางประเภทที่มักจะอ้างอิงความชอบธรรมของตัวเองจากการเปรียบเทียบกับอดีต    คือรู้แหละว่าตัวเองบริหารงานไม่เก่งมาก เศรษฐกิจอาจจะไม่ดีมาก ฉะนั้นวิธีที่จะสร้างความชอบธรรมอย่างได้ผลที่สุดก็คือ    การบอกว่าอย่างน้อยข้าพเจ้าก็ดีกว่าระบอบที่เพิ่งล้มลงไป ผมเรียกว่าเป็น เผด็จการแบบนวดเขาจะค่อยๆนวดความคิดคุณไปเรื่อยๆ จนถึงจุดที่คุณรู้สึกว่าต้องทำตามที่เขาบอกนั่นแหละ เพราะเป็นทางเลือกที่เสียหายน้อยที่สุดแล้ว"
 
"ผมคิดว่าสังคมที่ดีไม่ควรจะมีแค่ความสงบเป็นเป้าหมายปลายทางเพียงอย่างเดียว เพราะถ้าสมมติว่าความสงบคือเป้าหมายประการเดียวที่สำคัญที่สุดของการอยู่ร่วมกัน   แบบนั้นเกาหลีเหนือคงเป็นสังคมที่น่าอยู่ที่สุดในโลก"
ความสงบที่แลกมาด้วยต้นทุนที่สูงลิ่ว
เมื่อผ่านเหตุการณ์ความวุ่นวายทางการเมืองที่ต่อเนื่องยาวนานมาจนชินชา ไม่ใช่เรื่องแปลกที่หลายคนจะโหยหาความสงบในสังคม ซึ่งถือเป็นจุดขายสำคัญของระบอบเผด็จการในปัจจุบัน      แต่ถึงอย่างนั้นความสงบที่ผู้คนต้องการก็อาจจะมาพร้อมกับต้นทุนที่สูงลิ่ว    ขึ้นอยู่กับว่าเราพร้อมจะแลกหรือเปล่า
ถามว่าอะไรคือสังคมที่ดี ไม่ต้องพูดถึงเรื่องการเมืองก็ได้ ผมคิดว่าสังคมที่ดีไม่ควรจะมีแค่ความสงบเป็นเป้าหมายปลายทางเพียงอย่างเดียว เพราะถ้าสมมติว่าความสงบคือเป้าหมายประการเดียวที่สำคัญที่สุดของการอยู่ร่วมกัน แบบนั้นเกาหลีเหนือคงเป็นสังคมที่น่าอยู่ที่สุดในโลก เพราะไม่ต้องมีความขัด แย้งใดๆ  ไม่ต้องมีสื่อมาคอยวุ่นวาย  ไม่มีการประท้วง ไม่มีคนออกมาโหวกเหวกโวยวาย แต่ทำไมเวลานึกถึงเกาหลีเหนือแล้ว ถึงไม่มีใครอยากไปอยู่ล่ะ”

ก็หมายความว่ามันต้องมีอะไรมากกว่าความสงบใช่ไหม ที่คุณก็รู้ว่าคุณต้องการเพื่อที่จะมีชีวิตในสังคมที่ดี ทั้งการศึกษาที่ดี เสรีภาพในการแสดงออกได้ ไม่ใช่แค่ทางการเมืองอย่างเดียว แต่รวมถึงการแสดงความคิดเห็น    อัตลักษณ์ของคุณที่จะได้รับความเคารพ  สิทธิเสรีภาพของสื่อ หรือสิทธิมนุษยชน  คุณอยากอยู่ในสังคมที่อยู่ดีๆก็มีเจ้าหน้าที่รัฐมาเคาะประตูบ้านแล้วลักพาตัวสามีคุณไปเลยไหม ซึ่งสิ่งเหล่า นี้คือสิ่งที่เกิดขึ้นในระบอบเผด็จการทั่วโลก  ทั้งจีน  รัสเซีย  อิหร่าน  หรือแม้กระทั่งเวียดนาม

อำนาจเด็ดขาดของระบอบเผด็จการอาจเป็นสิ่งที่หลายคนต้องการ เพราะมันมาพร้อมกับความฉับไวในการแก้ปัญหาความสงบเรียบร้อยในสังคม      แต่ประจักษ์มองว่าสิ่งเหล่านั้นอาจเป็นเพียงภาพลวงตา เพราะปัญหาต่างๆ ถูกซุกไว้ใต้พรมจนเราเผลอเข้าใจไปว่าทุกอย่างเรียบร้อยดี      ปัญหาของอำนาจเด็ดขาดก็คือ อำนาจแบบนี้ไม่ได้แก้ไขปัญหาระยะยาว หรือไม่ได้แก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้าง คือถ้าสัง คมไทยป่วยเป็นโรค มันมีสาเหตุพื้นฐานหลายอย่างที่ทำให้เรามาถึงจุดนี้   แต่อำนาจเด็ดขาดเหมือนฝิ่น คือจะมีฤทธิ์แรงมาก  ช่วยระงับความเจ็บปวด  พอใช้ปุ๊บก็ฟินเลย   แต่วันหนึ่งที่คุณตื่นขึ้นมาแล้ว คุณก็จะรู้ว่ามูลเหตุพื้นฐานทั้งหลายทางเศรษฐกิจ สังคม ความเหลื่อมล้ำ การศึกษา  หรือระบบราชการที่ไม่มีประสิทธิภาพมันยังไม่ได้รับการแก้ไข ตอนนี้เราก็แค่สะใจที่ได้ลุ้นว่าวันนี้เขาจะปลดคนไหน แต่มันแก้ไขปัญหาจริงๆ หรือเปล่าล่ะ

สิงคโปร์โมเดลความเข้าใจผิดเกี่ยวกับเผด็จการของคนไทย
เมื่อมีประเด็นเกี่ยวกับระบอบเผด็จการ ตัวอย่างที่คนไทยมักจะหยิบยกมาพูดถึงคือประเทศสิงคโปร์ ที่มีภาพลักษณ์เป็นเผด็จการที่อาจจะมีเสรีภาพไม่มากเท่าประเทศประชาธิปไตย  แต่การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจกลับแซงหน้าประเทศเพื่อนบ้าน จนหลายคนขนานนามว่าเป็น สิงคโปร์โมเดล

จากที่ผมไปเป็นนักวิจัยอยู่ที่สิงคโปร์ 6-7 เดือน จึงพบว่าสังคมไทยสร้างสมการที่ผิดมาตลอดเวลาพูดถึงสิงคโปร์โมเดล ที่มีความเจริญ เศรษฐกิจดี โดยไม่ต้องมีประชาธิปไตยก็ได้ ซึ่งเราต้องเข้าใจก่อนว่าสิงคโปร์ไม่ใช่ประชาธิปไตยเต็มร้อยแน่นอน แต่เขาก็ไม่ใช่เผด็จการอย่างที่เราเข้าใจ คือสิงคโปร์ไม่ใช่เผด็จการทหาร   ถ้าจะเรียกว่าเผด็จการก็เป็นเผด็จการพรรคการเมือง     แต่เขามีที่มาจากการเลือกตั้ง”
 
ที่พรรคของลีกวนยูชนะการเลือกตั้งมาตลอด ก่อนจะขึ้นสู่อำนาจแต่ละครั้ง     เขาต้องมีการแข่งขันกับพรรคการเมืองอื่น อาจจะมีคนกล่าวหาว่าเขาใช้งบประมาณทุกอย่างเพื่อทำให้ตัวเองได้เปรียบ    แต่คนเลือกเขาก็เพราะเขาทำผลงานดี สร้างระบบคมนาคมที่ดี การศึกษาดี และอีกเรื่องที่ทำให้เขาเป็นที่นิยมมากคือนโยบาย Government Housing หรือการจัดโครงการที่อยู่อาศัยให้คนรายได้น้อย   แค่ทำ 3-4 เรื่องนี้ได้ คนก็แฮปปี้แล้ว เวลาเลือกตั้งคนก็ต้องเลือกพรรคนี้ เพราะเขาพิสูจน์แล้วว่าทำงานได้ เขาเลยชนะมาตลอด ถามว่าเขาเป็นเผด็จการที่มาจากการยึดอำนาจ หรือกดขี่ข่มเหงประชาชนไหม  ก็ต้องบอกว่าไม่ใช่ แค่เป็นพรรคการเมืองที่ประสบความสำเร็จในการเลือกตั้งมาอย่างยาวนาน
ขนาดสีเทายังมีหลายเฉด เผด็จการหรือประชาธิปไตยก็คงไม่ต่างกัน ที่ต้องทำก็คือแยกให้ออกว่าเผด็จการแต่ละแบบเป็นอย่างไร เพื่อจะได้รับมือกับระบอบนั้นได้อย่างตรงจุด
 
ถ้าเราไม่สามารถแยกเผด็จการที่มีหลายเฉดออกจากกันได้    เราก็จะไม่เข้าใจวิธีการทำงานของเผด็จการ   ประชาธิปไตยก็มีหลายแบบเผด็จการก็มีหลายประเภท วิธีแยกง่ายๆ คือดูว่าอำนาจกระจุกตัวอยู่ที่ใคร   อย่างจีนถือเป็นเผด็จการพรรคการเมือง สิงคโปร์ก็เช่นกัน ส่วนเกาหลีเหนือเป็นเผด็จการครอบครัว      เราต้องเข้าใจว่า OS หรือระบบปฏิบัติการของแต่ละระบอบมีความต่างกัน ของไทยเป็นเผด็จการแบบกองทัพ เพราะฉะนั้นถ้าจะไปเปรียบเทียบกับจีนหรือสิงคโปร์ก็จะเป็นการเปรียบเทียบแบบผิดฝาผิดตัว
 
"เรากำลังใช้ระบบปฏิบัติการ หรือ OS ที่โลกเลิกใช้ไปแล้ว แต่เราหยิบมาใช้ แล้วยังคาดหวังว่ามันจะเวิร์ก แรงเสียดทานจึงสูงมาก เพราะโลกได้ก้าวไปสู่ OS อื่นๆ แล้ว"
ประเทศไทยเป็นเผด็จการกองทัพที่เหลืออยู่เพียงหนึ่งเดียวในโลก!
ตอนนี้เราเป็นเผด็จการโดยกองทัพประเทศเดียวในโลกที่ยังคงมีอำนาจอยู่ในปัจจุบัน...
 ก่อนหน้านี้มีเยอะแยะ เพราะช่วงพีกของเผด็จการโดยกองทัพคือช่วงปี 1970 ซึ่งมีประมาณ 20-30 ประเทศ โดยเฉพาะในลาตินอเมริกาอย่าง ชิลี บราซิล อาร์เจนตินา หรือแม้แต่เกาหลีใต้ และอีกหลายประเทศ ถ้าเป็นเมื่อก่อนถือว่าอินเทรนด์นะ

ตัดภาพกลับมาในยุคปัจจุบัน ระบอบที่ได้รับความนิยมเมื่อ 46 ปีที่แล้วกลับกลายเป็นระบอบที่ค่อยๆ หายไปจากแผนที่โลก เหตุผลที่ตายไปเพราะมันไม่มีประสิทธิภาพ นอกจากไม่มีประสิทธิภาพแล้วยังปิดกั้นสิทธิเสรีภาพอีก คือไม่ตอบโจทย์ทั้งสองทาง อย่างจีนถึงจะปิดกั้นสิทธิเสรีภาพ แต่ยังมีความสา มารถในการพัฒนาเศรษฐกิจ เป็นโมเดลเผด็จการพรรคการเมืองที่ใช้เทคโนแครตที่มีความสามารถมาช่วยบริหารเศรษฐกิจ  ยิ่งมีโลกาภิวัตน์  ทั่วโลกก็ยิ่งต้องการระบอบการเมืองการปกครองที่รู้เท่าทันการจัดการระบบเศรษฐกิจสมัยใหม่ ซึ่งเผด็จการกองทัพจะสวนทางกับแนวทางนี้ เพราะฉะนั้นจึงค่อยๆ สูญพันธุ์ไปเรื่อยๆ “  พูดง่ายๆ ว่าเรากำลังใช้ระบบปฏิบัติการ หรือ OS ที่โลกเลิกใช้ไปแล้ว แต่เราหยิบมาใช้ แล้วยังคาดหวังว่ามันจะเวิร์ก แรงเสียดทานจึงสูงมาก เพราะโลกได้ก้าวไปสู่ OS อื่นๆ แล้ว ขนาดพม่าก็ยังรู้แล้วว่า OS นี้ไม่เวิร์ก เขาจึงต้องปรับตัว

ถ้าทุกคนถูกดัดแปลงความคิดจนคิดเหมือนกันหมด ไม่มีใครแตกต่างกัน แล้วความคิดนั้นตรงกับรัฐ ก็จะไม่มีสิ่งที่เรียกว่าการเมืองอีกต่อไป จะเหลือแต่การปกครอง ทุกคนจะเป็นพลเมืองเชื่องๆ เหมือนหุ่นยนต์
ทำไมเผด็จการจึงยังไม่ตายไปจากสังคมไทย?
ในเมื่อหลายประเทศเลิกใช้ระบอบการปกครองนี้ไปแล้ว สงสัยไหมว่าทำไมระบอบเผด็จการทหารถึงยังใช้ได้ในประเทศไทย คำตอบที่ได้คือ...

เผด็จการจะอยู่ได้ด้วยเครื่องมือ 2-3 อย่าง อย่างแรกคือควบคุมด้วยอำนาจดิบ หรือความกลัว ซึ่งถือเป็นพื้นฐานที่สุดแต่ไม่ยั่งยืนที่สุด เพราะไม่มีใครชอบโดนกดขี่บังคับไปตลอด เมื่อไม่มีทางเลือกอื่นให้ประชาชนเลย สักวันก็ต้องโดนประท้วงขับไล่

ฉะนั้นจึงต้องมีเครื่องมือตัวที่ 2 คือคุณต้องบริหารจัดการประเทศให้ดี ให้เศรษฐกิจยังพอไปได้ ให้คนรู้สึกว่าต่อให้ไม่มีสิทธิเสรีภาพ แต่ชีวิตด้านอื่นๆ ก็ยังได้รับความสะดวกสบาย แต่เครื่องมือนี้ก็ยังมีความเปราะบาง เพราะวันหนึ่งเมื่อเศรษฐกิจล่มสลาย ชีวิตไม่ได้ดีเหมือนก่อน การบริหารจัดการล้มเหลว คนก็จะออกมาเรียกร้องหาระบอบอื่น เหมือนอินโดนีเซียที่ซูฮาร์โตอยู่มา 31 ปี พอเจอวิกฤตเศรษฐกิจก็เกิดการประท้วงจนอยู่ไม่ได้

แต่จะอยู่ได้นานต้องใช้เครื่องมือที่ 3 ซึ่งลึกซึ้งที่สุด ถ้าทำได้ก็จะอยู่ได้นานที่สุด คือการควบคุมทางอุดมการณ์ ถ้าคุณสามารถควบคุมความคิดคนให้เห็นว่าการปกครองของคุณ ต่อให้ล้มเหลวทางเศรษฐ กิจ ถูกลิดรอนสิทธิเสรีภาพ แต่เป็นทางเลือกเดียวที่ดีที่สุดสำหรับสังคม ไม่มีทางอื่นที่ดีกว่านี้ ถ้าทุกคนถูกดัดแปลงความคิดจนคิดเหมือนกันหมด ไม่มีใครแตกต่างกัน แล้วความคิดนั้นตรงกับรัฐ ก็จะไม่มีสิ่งที่เรียกว่าการเมืองอีกต่อไป จะเหลือแต่การปกครอง ทุกคนจะเป็นพลเมืองเชื่องๆ เหมือนหุ่นยนต์ ถ้าอย่างนั้นคุณก็ปกครองได้ตลอดไป

แล้วเราจะรับมือกับระบอบเผด็จการได้อย่างไร?
ถ้าใครเคยได้อ่านงานเขียนของ จอร์จ ออร์เวลล์ เรื่อง 1984 จะพบว่าสิ่งหนึ่งที่พี่เบิ้ม หรือ Big Brother หวาดกลัวที่สุดก็คือพลเมืองที่สามารถรักษาความคิดอิสระของตัวเองไว้ได้    แม้จะเป็นเพียงนิยาย แต่หลายอย่างใน 1984 ก็ทาบทับได้อย่างพอดิบพอดีกับโลกความเป็นจริง และ Big Brother ในเรื่องก็ไม่ต่างจากระบอบเผด็จการในยุคปัจจุบันมากนัก ดังนั้นวิธีรับมือกับระบอบนี้ได้ดีที่สุดจึงเป็นการรักษาจุดยืนทางความคิดของตัวเองเอาไว้ให้มั่นคง และไม่สั่นคลอนไปตามวาทกรรมชวนเชื่อที่รัฐพยายามปลูกฝัง

 “ในฐานะคนสอนหนังสือก็ต้องใช้ชีวิตต่อไปตามปกติ โดยที่ยังสามารถรักษาความคิดอิสระของตัวเองไว้ได้ เพราะหน้าที่ของคนที่เป็นนักคิดคือ    การชี้ให้คนทั่วไปเห็นว่าโลกไม่จำเป็นต้องเป็นในแบบที่มันเป็นอยู่มันมีโอกาสที่จะมีสิ่งที่ดีกว่านี้เกิดขึ้นได้       ฉะนั้นถ้าระบอบเผด็จการทำงานอยู่บนฐานของการเปรียบเทียบอดีตกับปัจจุบันให้คุณยอมรับว่าตอนนี้ดีที่สุดแล้ว ความหวังของสังคมไทยก็อยู่ที่นักคิดที่ต้องชี้ให้เห็นว่ามันมีอนาคตที่ดีกว่าปัจจุบัน

ทำไมต้องประชาธิปไตย?
ในทางรัฐศาสตร์ เผด็จการ หรือประชาธิปไตย ไม่ได้เป็นอะไรมากไปกว่าระบอบการปกครองรูปแบบหนึ่งที่ต่างก็มีทั้งข้อดีและข้อเสียในตัวของมันเอง แต่ถ้าเลือกได้คุณอยากจะอยู่ในสังคมที่ปกครองด้วยระบอบไหน     อย่าเพิ่งตอบคำถามนี้จนกว่าได้จะฟังแนวคิดของประจักษ์ที่มีต่อระบอบการปกครองทั้ง 2 แบบ    “ผมไม่ได้มองว่าระบอบประชาธิปไตยเป็นสิ่งที่เลิศเลอ เผด็จการก็เช่นกัน สำหรับนักรัฐศาสตร์เวลาพูดถึงระบอบการปกครองจะถือว่าเป็นความหมายธรรมดาสามัญมากเลย แค่พูดถึงระบอบการเมืองต่างชนิดกัน เหมือนเป็น OS ทางการเมือง      ทีนี้ทำไมผมถึงเชื่อในระบอบประชาธิปไตยมากกว่า ก็เพราะอย่างน้อยมันผ่านการพิสูจน์ และทดลองใช้มาแล้วในที่ต่างๆ ทั่วโลก มันเป็น OS ที่มีศักยภาพในการปรับตัวได้มากกว่าระบอบเผด็จการ โดยเฉพาะระบอบเผด็จการแบบทหารซึ่งเป็น OS ที่ล้าหลังที่สุด

คุณจะไปคาดหวังให้เขาเป็นในสิ่งที่ไม่ใช่ไม่ได้     ไม่ว่าคุณจะเอาทหารประเทศไหนก็ตามมาบริหารประเทศก็ต้องเจอแบบนี้แหละ เพราะทหารส่วนใหญ่ถูกฝึกมาให้คิดถึงเรื่องความมั่นคงเป็นหลัก นอกนั้นเป็นเรื่องรองหมด
ถึงแม้จะยอมรับว่าระบอบประชาธิปไตยอาจจะยังไม่ใช่ระบอบที่สมบูรณ์แบบที่สุดในปัจจุบัน แต่ข้อดีของมันคือเป็นระบอบที่ยังอัพเดตให้ดีขึ้นได้       ต่างจากระบอบเผด็จการที่อาจเดินทางมาถึงทางตันจนไม่สามารถพัฒนาต่อไปได้

คุณจะไปคาดหวังให้เขาเป็นในสิ่งที่ไม่ใช่ไม่ได้ ไม่ว่าคุณจะเอาทหารประเทศไหนก็ตามมาบริหารประเทศก็ต้องเจอแบบนี้แหละ เพราะทหารส่วนใหญ่ถูกฝึกมาให้คิดถึงเรื่องความมั่นคงเป็นหลัก นอกนั้นเป็นเรื่องรองหมด ดังนั้นทหารจึงมองทุกอย่างจากเลนส์ของความมั่นคง    โปเกมอนโกก็เป็นภัยความมั่นคงได้ ถ้าคุณเป็นนักธุรกิจ โปเกมอนโกอาจเป็นโอกาสทางธุรกิจ   ถ้าคุณเป็นวัยรุ่น โปเกมอนโกคือการพักผ่อนหย่อนใจ       แต่ถ้าคุณเป็นทหาร คุณจะมองว่าโปเกมอนโกเป็นภัยความมั่นคงหรือเปล่า เพราะโดยธรรมชาติเขาถูกฝึกมาปกป้อง คุ้มครองความปลอดภัยของพวกเรานี่แหละ”

ฉะนั้นพอเราเอาเผด็จการทหารมาใช้ในฐานะระบอบการเมือง นี่คือสิ่งที่คุณจะได้ คุณจะไปคาดหวังในสิ่งที่เขาไม่มีไม่ได้ ทั้งความโชติช่วงทางเศรษฐกิจ เทคโนโลยีสมัยใหม่ การปรับตัวให้เข้ากับโลกภาย นอก       ในขณะที่ประชาธิปไตยมีความลื่นไหลยืดหยุ่นมากกว่า   แล้วก็มีตัวอย่างให้เห็นเป็นไม่รู้กี่สิบประเทศ     ระบอบเผด็จการสร้างแค่ความสงบ แต่เป็นความสงบที่มีต้นทุนสูงมาก และเป็นต้นทุนที่ถูกทำให้มองไม่เห็น เพราะมีการควบคุมข้อมูลข่าวสาร มีปัญหาเราก็พูดไม่ได้อย่างเต็มที่หรอก มันถึงดูสงบสุขดี ต้นทุนก็เลยสะสมมากขึ้นเรื่อยๆ ในการอยู่แบบสงบอย่างนี้

สุดท้ายถึงวันนี้เราจะเลือกไม่ได้ว่าจะอยู่ภายใต้ระบอบการปกครองรูปแบบไหน แต่สิ่งที่เราพอจะทำได้คือพยายามเรียนรู้จากสิ่งที่เป็นอยู่ให้ได้มากที่สุด เพื่อจะได้รู้เท่าทัน และช่วยกันเฝ้าระวังสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคตต่อไป เหมือนที่ประจักษ์ทิ้งท้ายไว้ว่า

วิกฤติในสังคมตอนนี้ ถ้าจะมีข้อดีอย่างหนึ่งที่ผมเห็นคือ อย่างน้อยสังคมไทยก็เรียนรู้แล้วว่าระบอบประชาธิปไตยมีความบกพร่องผิดพลาดได้ รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งอาจจะไม่ได้ดีเสมอไป เราจะได้รู้จักตรวจสอบนักการเมือง   รัฐบาล   หรือใครก็ตามที่ใช้อำนาจประชาชนผ่านการเลือกตั้งในนามของประชาธิปไตย “    แต่สิ่งที่ยังไม่เกิดก็คือ สังคมไทยยังไม่ได้วิพากษ์ หรือรู้เท่าทันระบอบเผด็จการเท่าๆ กับที่เราวิพากษ์ระบอบประชาธิปไตย พูดง่ายๆ คือสังคมไทยเป็นหนึ่งในไม่กี่ประเทศที่ยังโลกสวยกับเผด็จการ เวลาพูดถึงรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง เราจะตื่นตัวมาก อยากจะตรวจสอบ

แต่พอเป็นระบอบเผด็จการ เรากลับบอกว่า ให้เขาบริหารบ้านเมืองไปเถอะ เดี๋ยวทุกอย่างจะดีขึ้นเอง ซึ่งจะว่าไปมันก็ประหลาดนะ

FACT BOX:
1984: นวนิยายที่พูดถึงโลกซึ่งมีสงครามตลอดกาล การสอดส่องดูแลของรัฐบาลทุกหนแห่ง และการชักใยสาธารณะทางการเมือง ภายใต้การควบคุมของอภิชน พรรคในที่มีอภิสิทธิ์ในการก่อกวนการคิดอย่างอิสระ โดยมี พี่เบิ้มหรือ Big Brother เป็นผู้นำพรรคกึ่งเทพ ซึ่งได้ประโยชน์จากลัทธิบูชาบุคคลที่เข้มข้น แต่อาจไม่มีอยู่จริง ซึ่งพรรคใช้อ้างเหตุผลในการปกครองอย่างกดขี่   ประพันธ์โดย จอร์จ ออร์เวลล์ (George Orwell) นักประพันธ์ชาวอังกฤษ



Tuesday, October 18, 2016

การแพ้ประชามติ ....ในโคลอมเบีย

การแพ้ประชามติในข้อตกลงสันติภาพ...ต่อไปจะเกิดอะไรขึ้นสำหรับโคลอมเบีย

 โดย  Jorge Martín    05 October 2016
วันอาทิตย์ที่ 2 ตุลาคม  ประชาชนชาวโคลอมเบียผู้มีสิทธิ์ลงคะแนนเสียงได้ปฏิเสธข้อตกลงสันติภาพระหว่างรัฐบาลกับ กองกำลังปฏิวัติแห่งโคลอมเบีย-กองทัพประชาชน    หรือเรียกย่อๆว่าฟาร์ก (FARC / Revolutionary Armed Forces of Colombia—People's Army) “เพื่อยุติข้อพิพาทและสร้างสันติภาพที่มั่นคง”  จอร์จ มาร์ติน  ได้อธิบายถึงกระบวนการที่นำไปสู่การลงประชามติ    และสิ่งนี้จะหมาย ถึงอนาคตของการต่อสู้ทางชนชั้นในโคลอมเบีย   การลงคะแนน “ไม่” ชนะเพียงเล็กน้อยเพียง 54,000 คะแนนจากเสียงทั้งหมด 13 ล้านเสียง  ซึ่งถือว่าเป็นการใช้สิทธิ์ที่น้อยที่สุดของการลงคะแนนเสียงในระดับชาติในระยะ 22 ปี    ข้อตกลงระหว่างฟาร์ก  กับรัฐบาลโคลอมเบียได้รับการสนับสนุนอย่างเต็มที่จาก  สหรัฐฯ  สหภาพยุโรป  รวมไปถึงรัฐบาลของประเทศเวเนซูเอลลาและคิวบาเพื่อยุติสงครามที่ดำเนินมาเป็นเวลา 52 ปี   อะไรคือเนื้อหาของข้อตก ลง? ทำไมถึงมีการคัดค้าน?  และจะเกิดอะไรขึ้นในภายภาคหน้า?

ประวัติศาสตร์ของ ฟาร์ก
ขบวนการ ฟาร์ก เริ่มก่อตั้งครั้งแรกเมื่อปี 1964 แต่ทางเดินของมันต้องย้อนกลับไปสูเหตุการณ์ลุกขึ้นสู้ โบโกตาโซ (Bogotazo..มาจากคำว่า "Bogotá"และต่อท้ายด้วย -azo  ซึ่งหมายถึงความรุนแรงวุ่นวาย)  ในกรุงโบโกตา เมื่อปี 1948   เหตุการณ์นี้ถูกจุดชนวนขึ้นจากการลอบสังหาร นาย อีเลเซ เกตาน นักการ  เมืองฝ่ายซ้ายที่ต่อต้านจักรวรรดินิยมที่มีประชาชนนิยมอย่างกว้างขวาง    นาย เกตาน  โดดเด่นขึ้นมาจากการที่เขาประณามการสังหารหมู่กรรมกรมากกว่า2,000 คน ของ บริษัท ยูไนเต็ด ฟรุต บานานา ที่นัดหยุดงานในปี 1928 โดยกองกำลังของรัฐบาล     เขาเป็นผู้นำมวลชนในการต่อสู้คัดค้านพรรรคเสรีนิยมและพรรคอนุรักษ์นิยม   โดยการตั้งพรรคสหพันธ์นักปฎิวัติฝ่ายซ้ายแห่งชาติ(Revolutionary Left National Union /UNIR)  และต่อมาเขาได้ตัดสินใจที่จะผลักดันให้ความคิดของเขาภายในพรรคเสรีนิยม  

ปี 1946 เขาได้รับการคัดเลือกจากบรรดาพรรคฝ่ายซ้ายและพรรคเสรีนิยมปีกซ้ายให้เป็นตัวแทนในเข้า ชิงตำแหน่งประธานาธิบดีโดยแข่งขันกับตัวแทนที่เป็นทางการของพรรคอนุรักษ์นิยมและพรรคเสรีนิยม  ได้คะแนนเป็นลำดับ 3  แต่ในพื้นที่ชนบทเขากลับเป็นผู้ที่ชนะคะแนนเสียงจากการสนับสนุนของกรรม และชนชั้นกลาง  เนื่องจากเขาโจมตีพวกอภิสิทธิ์ชน โดยมีนโยบายเพื่อความเป็นธรรมในสังคม..ปฏิรูปการเกษตร และคัดค้านจักรวรรดินิยม


 เหล่าผู้นำของFARC ระหว่างการเจรจาสันติภาพที่ คากูยัน  1998-2002 - Photo: DEA Public Affairs.html

ปี 1947 พรรคเสรีนิยมได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งสมาชิกสภาและเสียงส่วนใหญ่ในพรรคเสรีนิยมเป็นผู้สนับสนุน เกตาน   นั่นย่อมหมายถึงว่าเขาได้เป็นผู้นำพรรคและเป็นตัวแทนพรรคในการแข่งขันชิงตำ แหน่งประธานาธิบดีในการเลือกตั้งที่จะมีขึ้นในปี 1950    บรรดาอภิสิทธิ์ชนต่างมีความตื่นตระหนกและคาดหมายว่าเกตานจะได้ก้าวขึ้นสู่อำนาจ    ปฏิบัติการด้วยความรุนแรงเริ่มขึ้นด้วยการลอบสังหารบรร ดาแกนนำการเคลื่อนไหวของเกตาน     วันที่  9 เมษายน 1948 เกตานก็ถูกลอบสังหารกลางวันแสกๆในเมืองหลวงโบโกตา   นำไปสู่การจลาจลประท้วงรัฐบาลรัฐบาลอนุรักษ์นิยมของประชาชนทั่วประเทศและกล่าวหาว่าเป็นการกระทำของรัฐบาล

ดังนั้นจึงตามมาด้วยสงครามกลางเมืองที่ไม่ประกาศระหว่างพรรคอนุรักษ์นิยมและพรรคเสรีนิยมมาเป็นเวลาสิบปีที่รู้จักกันในนาม “ลา วิโอเลนซา”(The Violence)  ซึ่งพรรคเสรีนิยมได้ก่อตั้งหน่วยรบจรยุทธและกองกำลังป้องกันตนเองของชาวนาขึ้น    พรรคคอมมิวนิสต์ก็มีบทบาทในการจัดตั้งภายในองค์กรป้องกันตนเองของชาวนาด้วย         เพื่อตอบโต้กับกองกำลังพิทักษ์ขาวที่อื้อฉาวของบรรดาเจ้าที่ดิน
ปี 1957-58 ผู้นำพรรคเสรีนิยมและอนุรักษ์นิยมได้มีการเจรจาตกตงกันในกรณีพิพาทโดยมีการลงนามกันในข้อตกลงว่าด้วยการเป็นแนวร่วมแห่งชาติ     ชาวนาจำนวนมากที่มีส่วนเกี่ยวข้องในกรณีพิพาทต่างไม่เห็นด้วยและไม่ยอมรับเนื่องจากพวกเขาเห็นว่าถูกทรยศจากบรรดาผู้นำ    บางส่วนมีความประทับใจในการปฏิวัติของประชาชนชาวคิวบาเมื่อปี 1959     พันธมิตรระหว่างชาวคอมมิวนิสต์และกำลังจรยุทธิของฝ่ายเสรีนิยมก็ยังดำเนินการต่อสู้ต่อไปโดยการสถาปนา “สาธารณรัฐ มาเควตาเลีย” ขึ้น     ซึ่งความจริงเป็นเพียงพื้นที่เล็กๆที่พิทักษ์โดยกองกำลังติดอาวุธแค่ 44 คน  ภายใต้การนำของ มานูเอล มาารูอันดา “ทิโรฟิโฮ” และ จาโคโบ อารีอัส เป็นเรื่องที่เปี่ยมอันตรายและมหัศจรรย์ยิ่งที่กองกำลังกระจิดริดนี้ เคลื่อนไหวอยู่ท่ามกลางวงล้อมของกองทัพรัฐบาล    เป็นการนำไปสู่การก่อตั้งกองกำลังปฏิวัติแห่งโคลอมเลีย(FARC)  ในปี 1964    นโยบายของพวกเขาได้แก่การต่อสู้เพื่อการปฏิรูปเกษตรกรรมโดยผ่านการยึดที่ดินที่ว่างเปล่า(ของเจ้าที่ดิน)แล้วแบ่งสรรให้แก่ชาวนา

ดังนั้น.....กองกำลังจรยุทธของ ฟาร์ก จึงมีรากฐานและเงื่อนไขทางสังคมที่ดำรงอยู่ตลอดมาในโคลอม เบีย :- ความแตกต่างกันอย่างมากมายในการกระจายที่ดินและความโหดเหี้ยมของเจ้าที่ดินและรัฐ(จากการสนับสนุนอย่างเต็มที่โดยจักรวรรดิ์นิยมอเมริกา)      กรณีเช่นนี้..ส่วนใหญ่แทบจะไม่เคยมีการเปลี่ยน แปลงแต่อย่างใดมาเป็นเวลา 5 ทศวรรษ ตั้งแต่มีการก่อตั้ง ฟาร์ก มาตลอดระยะเวลายายาวนาน     ประ
วัติศาสตร์ที่ล้มเหลวในความพยายามเจรจาตกลงกันเรื่องสันติภาพระหว่างรัฐบาลโคลอมเบียกับขบวน การฟาร์กและกลุ่มจรยุทธิ์ต่างๆก่อนหน้านี้มีบทบาทสำคัญด้วย    ปี 1985-86 ฟาร์กและองค์กรปีกซ้าย ต่างๆได้พยายามก่อตั้งองค์กรทางการเมือง แพทริโอติค ยูเนียน (UP)ที่ถูกกฎหมายขึ้นมาเพื่อเป็นส่วน หนึ่งในการเจรจากับประธานาธิบดี เบตันเคอร์       พรรค UP ได้กลายมาเป็นพรรคการเมืองอันดับสามของประเทศไปอย่างรวดเร็วได้รับการสนับสนุนจากบรรดากรรมกรและชาวนาอย่างมากมาย      ชนชั้นปกครองไม่อาจให้เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น   

ในช่วงระนะเวลาสั้นๆ..ตัวแทนพรรคผู้สมัครแข่งขันประธานาธิบดี 2 คน  สมาชิกรัฐสภา 8 คน  ส.ส.13 คน  สมาชิกสภาท้องถิ่น70 คน นายกเทศมนตรี 11 คน และสมาชิกพรรคอีก 3500 คนถูกลอบสังหาร     พร้อมๆกับการรณณรงค์ที่เรียกว่า “เต้นรำแดง”  ที่ดำเนินการไปพร้อมๆกับการเข้าร่วมของรัฐและกลุ่มติดอาวุธกึ่งทหารเพื่อยับยั้งป้องกันการเติบใหญ่ของพรรค UP      ปี 1990 การแยกเจรจาสันติภาพนำนำไปสู่การวางอาวุธของกลุ่มนักรบกองจรยุทธ M19  เพื่อเข้าสู่การเลือก ตั้ง   แต่ คาร์ลอส ปิซซาโร ตัวแทนผู้สมัครแข่งขันชิงตำแหน่งประธานาธิบดีของกลุ่ม  ถูกฆ่าตายกลางวันแสกๆในกรุงโบโกตา โดยมือปืนรับจ้าง

อัลฟองโซ  คาโน  ผู้นำ FARC ที่ถูกลอบสังหาร Photo: US State Department/Public DomainIn
พลวัตรของกองทัพกองจรยุทธิขนาดใหญ่คือความจำเป็นในด้านเงินทุน..ผลักดันให้ฟาร์กใช้วิธีการที่ทำลายรากฐานการสนับสนุนของตนเองด้วยการจัดเก็บภาษีด้านธุรกิจต่างๆ(รวมไปถึงการผลิตและการลำเลียงยาเสพย์ติด)ในพื้นที่ๆพวกเขาเคลื่อนไหวอยู่.. ก่อการร้ายด้วยการโจมตีโครงสร้างพื้นฐานต่างๆและแม้แต่เป้าหมายทางพลเรือน..ลักพาตัวเพื่อเรียกค่าไถ่และอื่นๆ.สิ่งเหล่านี้ได้ถูกรัฐนำไปใช้โฆษณา ชวนเชื่อและรณณรงค์ด้วยความช่ำชอง  ซึ่งมีผลกระทบต่อประชาชนชนชนชั้นต่างๆ
ในสภาพแวดล้อมที่ถูกปราบปรามอย่างหนักจาก กองทัพ..ตำรวจ หน่วยสืบราชการลับ  และกองกำลังกึ่งทหาร( ทั้งหมดมีการร่วมมือกัน)....ส่งผลให้ยุทธวิธีของสงครามกองโจรที่มีประสิทธิภาพของฟาร์ก ถูกตัดขาดจากการเคลื่อนไหวของกรรมกรและเยาวชนในเมือง       และแม้กระทั่งความสัมพันธ์ในส่วนของชาวนา    ในทศวรรษที่ 1960 ในช่วงเวลาของการก่อตั้งองค์กร   ประชากชนในชนบทของโคลอม เบียมีประมาณ 55% ของประชาชนทั้งหมด    แต่ปัจจุบันได้ลดน้อยลงไปกว่า 25%   ประชากรในชน บทจำนวนมากได้อพยพหลั่งไหลกันเข้าไปอาศัยในเมืองส่วนหนึ่งเนื่องจากความรุนแรง   จากประมาณการมีถึง 7ล้านคน     ซึ่งเป็นไปตามกระบวนการปกติของการพัฒนาของระบบทุนนิยมซึ่งเกิดขึ้นในประ เทศอื่นๆในลาตินอเมริกา 

อัลวาโร  ยูริเบ (Álvaro Uribe)- Photo:Center for American Progress
ประธานาธิบดี อัลวาโร ยูริบี ได้รับเลือกตั้งในปี 2002 เป็นเครื่องบ่งชี้ว่าถึงจุดเปลี่ยน    เขาเป็นตัวแทนผลประโยชน์ของอภิสิทธิ์ชนที่เน่าเฟะของโคลอมเบีย.. จากพื้นฐานของเจ้าของฟาร์มปศุสัตว์  พวกขนยาเสพย์ติดที่หนุนหลังโดยกองกำลังกึ่งทหาร   เป้าประสงค์ของเขาค่อนข้างจะธรรมดา: คือการบดขยี้ทำลายขบวนการฟาร์กไม่ว่าจะด้วยวิธีใดๆที่มีความจำเป็น   เขาต้องการ “ทำให้ประเทศเป็นที่ปลอดภัยของระบอบทุนนิยม”      และด้วยเหตุผลนี้ทำให้เขาต้องพึ่งพาการสนับสนุนจากกลุ่มทุนหลักๆของโค ลอมเบีย   รัฐบาลสหรัฐฯ   และความร่วมมือจากนานาชาติ

แม้แต่ นสพ.วอชิงตัน โพสต์  ก็ได้อธิบายถึงนโยบายของ อูริเบ ในแง่ที่น่ากลัวมากเช่น :  “ด้วยการสนับสนุนจากสหรัฐฯ    รัฐบาลโคลอมเบียเริ่มตอบโต้ด้วยการเผาเรียบ ฐานที่มั่นของ ฟาร์ก ในท้องถิ่นชนบทหลังจากประธานาธิบดี อูริเบ ได้รับเลือกตั้งในปี 2002    กำลังทหารของรัฐบาลซึ่งมักจะตามมาด้วยกลุ่มติดอาวุธฝ่ายขวาโดยมีเป้าหมายต่อพลเรือนผู้ถูกสงสัยว่าเข้าข้างกลุ่มกบฎด้วยการสังหารหมู่    ชาวโคลอมเบียส่วนมากจะหลบหนีออกจากบ้านในระหว่างขั้นตอนแรกของแผนการโคลอมเบียมาก  กว่าในช่วงเวลาอื่นๆที่ความขัดแย้งดำเนินมากกว่ากึ่งศตวรรษ(แผนโคลอมเบีย : วิธีที่วอชิงตันชอบที่จะเรียนรู้ในการเข้าแทรกแซงในละตินอเมริกาอีกครั้ง)

จากการร่วมมือกันของลัทธิกึ่งทหาร..แผนโคลอมเบีย... การแทรกแซงของสหรัฐฯ และการแพร่ขยายของการละเมิดสิทธิมนุษยชนในส่วนของกองทัพ     มีผลกระทบต่ออย่างรุนแรงต่อความเข้มแข็งและสมรรถนะในการสู้รบของ ฟาร์ก ที่จะดำเนินต่อไปได้    ในการปฏิบัติการกดดันอย่างต่อเนื่องนี้..ทำให้ผู้นำหลายๆคนถูกสังหาร 

วาระของประธานาธิบดี อูริเบ สิ้นสุดลงท่ามกลางความอื้อฉาวของระบอบ  ”การเมืองแบบกึ่งทหาร” ที่เชื่อมโยงเขาให้ใกล้ชิดกับกลุ่มพันธมิตรกองกำลังกึ่งทหาร..     การดักฟังนักการเมืองฝ่ายตรงกันข้ามอย่างผิดกฎหมายโดยหน่วยราชการลับ DAS  ในที่สุดก็คือการ ”คาดการผิด” ยังผลให้คนของกองทัพเข่นฆ่าพลเรือนและนำพวกเขาเข้าไปเป็นนักรบจรยุทธ

ยูริเบ  ลงจากอำนาจในปี 2002 เมื่ออดีตรัฐมนตรีกลาโหมของเขานาย ซานโตส รับช่วงอำนาจต่อในฐานะประธานาธิบดีซึ่งถือว่าเป็นจุดเปลี่ยนอีกครั้งหนึ่ง       ทั้งคู่เป็นนักการเมืองชนชั้นนายทุนปฏิกิริยาที่มาจากและเป็นตัวแทนของชนชั้นที่ต่างกันของชนชั้นปกครองโคลอมเบียที่มียุทธศาสตร์ที่ต่างกัน    ยูริเบ คือตัวแทนของเจ้าที่ดินและเจ้าของฟาร์มปศุสัตว์...ที่มีปัญหากับชาวนาในท้องถิ่นชนบทซึ่งเป็นรากเหง้าของการก่อตั้งการสู้รบแบบกองโจร     ทั้งคู่ได้สร้างและให้การสนับสนุนทางการเงินแก่กองกำลังกึ่งทหารที่กระหายเลือด        ใช้ความสยดสยองเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของเหล่าอภิสิทธิ์ชน     ยุทธศาสตร์ในการบรรลุสันติภาพของพวกเขาคือการทำลายล้างเหล่านักรบจรยุทธในทุกวิถีทางที่จำ เป็น   ด้านหนึ่ง..ซานโต้ส มาจากครอบครัวนายทุนที่มั่งคั่งในโบโกตา    เป็นตัวแทนในปีกของชนชั้นปกครองที่มองว่าการสู้รบแบบกองโจรนั้นเป็นอุปสรรคต่อ”การพัฒนา” ของระบอบทุนนิยมและการปล้นชิงของจักรวรรดิ์นิยมมิให้ก้าวต่อไปข้างหน้า      เขาระลึกอยู่เสมอว่าถ้าไล่ต้อนฟาร์กให้เข้ามุมอับก็จะสามารถพิชิตชัยได้    ยุทธวิธีในการไปสู่สันติภาพของเขาคือการนำเหล่านักรบจรยุทธเข้ามาสู่ชีวิตพลเรือนตามปกติ
อีกด้านหนึ่ง..ขบวนการฟาร์กก็ตระหนักดีว่าภายหลังการต่อสู้มาอย่างยาวนานมากว่า 40 ปีพวกเขาก็ยังไม่สามารถเข้าใกล้เจตนารมณ์ได้     ในทางกลับกันกองกำลังของตนต่างลดลงอยู่เรื่อยๆ..ประชาชนที่ให้การสนับสนุนได้หดหายไป  ส่วนบรรดาผู้นำต่างก็เลิกราไปคนแล้วคนเล่า...นี่จึงเป็นสาเหตุพื้นฐานที่นำไปสู่การเจรจาสันติภาพเมื่อเร็วๆนี้..ซึ่งเริ่มต้นขึ้นในปี 2012
ประสบการณ์ของการปฏิวัติโบลิวาเรียนในเวเนซูเอลลามีบทบาทสำคัญในการผลักดันให้ฟาร์กเข้าสู่ ยุทธศาสตร์ที่แตกต่างออกไป..โดยละทิ้งการต่อสู้ด้วยอาวุธและเข้าสู่การเคลื่อนไหวมวลชนและมีส่วนร่วมในการเลือกตั้ง     สำหรับการชี้นำของคิวบาซึ่งเป็นตัวแทนในการทำข้อตกลงนี้ ได้แสดงให้เห็นถึงความปรารถนา(ของคิวบา)ที่จะเปิดทางสำหรับการสถาปนาความสัมพันธ์กับสหรัฐอีกครั้ง
ข้อตกลงสันติภาพประกอบด้วยอะไร?

ถ้าจะมองถึงรายละเอียดของข้อตกลงสันติภาพ      เราสามารถมองเห็นเนื้อแท้ของมันคือการปลดอาวุธกองกำลังของฟาร์ก      เพื่อจะทำให้ประเทศมีความปลอดภัยสำหรับการลงทุนจากต่างชาติรวมถึงการเกษตรกรรมด้วย

ส่วนแรกของข้อตกลงได้แก่การปฏิรูปการเกษตร      การแบ่งสรรที่ดินในโคลอมเบียมีความไม่เท่าเทียมกันมากเหลือเกิน        ดังนั้นมันจึงเป็นรากเหง้าของความขัดแย้งหลักที่ทำให้เกิดการสู้รบแบบกองโจรขึ้นมามากกว่า 5 ทศวรรษ    จากการสำรวจประชากรในภาคเกษตรกรรมพบว่าเจ้าที่ดินจำนวน 0.4 % ครอบ  ครองที่ดินเพื่อการเกษตรถึง 46%   ในขณะที่เจ้าของที่ดิน 70% ถือครองที่ดินสำหรับทำการเพาะปลูกได้แค่ 5% เท่านั้น   ตลอดระยะ 20 ปีที่ผ่านมาที่ดิน 10 ล้านเฮคตาร์(62,500,000 ไร่) ถูกเปลี่ยนมือไปจากเจ้าของเดิมที่เป็นชาวนาขนาดเล็กโดยผู้ครอบครองหลักซึ่งได้แก่เจ้าที่ดินรายใหญ่  ในท้องถิ่นชนบท..ประชากร 65% มีชีวิตอยู่ใต้เส้นความยากจน(ในเมือง 30%)  ในจำนวนนี้มีถึง 33% ที่ยากจนสุดขีด     60% ของชนบทไม่มีน้ำประปาใช้  และ19%ไม่รู้หนังสือ

เนื้อหาในข้อตกลงเต็มไปด้วยถ้อยคำและคำสัญญาที่สละสลวย      แต่ไม่มีรายละเอียดที่เป็นรูปธรรม   แสดงไว้ว่าจะก่อตั้งกองทุนที่ดิน 3 ล้านเฮคตาร์ภายใน 10 ปีข้างหน้าเพื่อจัดสรรให้แก่ชาวนา   นั่นเท่า กับว่าเป็นเพียงจำนวน 1 ใน 3 ของที่ดินที่เอาไปจากชาวนา     ในส่วนที่สองของข้อตกลงเกี่ยวกับการ  ” เปิดประชาธิปไตย”  ประกอบไปด้วยข้อสัญญาที่โอ่อ่าโดยรัฐบาลโคลอมเบียประกาศ   “สนับสนุนการเมืองหลายขั้ว”   “สร้างความเข้มแข็งในความร่วมมือ”  และ  "ต่อสู้กับการกดขี่ข่มเหงของผู้นำพรรคและการเคลื่อนไหวทางการเมือง”    ส่วนที่สามเป็นข้อตกลงเกี่ยวกับการยุติข้อพิพาท..การหยุดยิง..และการวางอาวุธ    นี่เป็นส่วนที่มีเนื้อหาสาระสำคัญมากที่สุดของข้อตกลง   เป็นการกำหนดขั้นพื้นฐานซึ่งฟาร์กจะกลายฐานะมาเป็นพรรคการเมืองที่ถูกกฎหมาย        นักรบของขบวนการแต่ละคนจะได้รับเงิน 2 ล้านเปโซ (ประมาณ 23,000 บาท)เมื่อวางอาวุธ     จะได้เข้าร่วมในโครงการลงทุนการผลิตมูลค่า 2,700 เหรียญสหรัฐฯ(ประมาณ 94,500 บาท)    ซึ่งมีมูลค่าเทียบเท่ากับ 90% ของค่าจ้างขั้นต่ำสำหรับ 2 ปี  

การรณณรงค์ทางการเมืองของพรรคใหม่ในที่สาธารณะจะได้รับการประกันทางการเงินสำหรับการเลือกตั้งสองครั้งที่จะเกิดขึ้น     และรับประกันที่นั่งในสภาสูง 5 ที่นั่ง   และอีก 5 ที่นั่งในรัฐสภาเป็นระ ยะเวลา2 สมัย       ฟาร์ก จะต้องรวบรวมนักรบของตนในพื้นที่ต่างๆในระยะเวลา 180 วันในขณะที่กระ บวนการยอมมอบอาวุธกำลังดำเนินไป        ข้อตกลงส่วนที่ 5 ได้ระบุไว้ว่าใครที่มอบอาวุธจะได้รับการนิรโทษกรรมในกรณี  ”ความผิดที่เกี่ยวกับการกบฎ”   และใครที่มีส่วนในการก่ออาชญากรรมในยามสง ครามหรือทำความผิดด้านสิทธิมนุษยชนจะถูกแยกดำเนินคดีเฉพาะส่วนความผิด..กระบวน การมอบอา วุธจะอยู่ภายใต้การควบคุมร่วมกันของ    รัฐบาล  ขบวนการฟาร์ก  และสหประชาชาติ

ส่วนที่ 4 ของข้อตกลงได้กล่าวถึงปัญหายาเสพย์ติดที่ผิดกฎหมาย       ข้อตกลงมุ่งไปยังการปลูกพืชทดแทน(ซึ่งค้านกับนโยบายปัจจุบันเกี่ยวกับการอบและรมควัน)  อย่างไรก็ตาม..เรื่องนี้คงไม่ใช่งานที่ง่ายนักในเมื่อความยากจนยังกระจายอยู่ไปทั่วในชนบท     และยาเสพย์ติดก็ยังเป็นพืชที่สร้างกำไรให้อย่างงามมากกว่าทางเลือกอื่น
ข้อตกลงยังได้กล่าวถึงปัญหาของเหยื่อที่เกิดจากความขัดแย้งในส่วนที่ 5    จะตั้งหน่วยงานขึ้นเป็นกรณีพิเศษให้เป็นไปตาม  "ความเป็นจริง  ยุติธรรม,  แก้ไขและไม่มีการรื้อฟื้น"  กระบวนการยุติธรรมประกอบด้วยคณะผู้พิพากษา24 คนในการทำข้อตกลงกับสมาชิกของ FARC และองค์กรของรัฐ  นัก  รบจรยุทธที่เคย ”ทำความผิดโดยเกี่ยวข้องกับการกบฏ”  จะได้รับการนิรโทษกรรม    ผู้ใดที่ทำความ ผิดในการทำสงครามหรือก่ออาชญากรรมต่อมนุษยชาติ..  ยอมรับสารภาพโดยให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่กับศาลพิเศษที่ก่อตั้งขึ้นจะได้รับโทษสูงสุดแปดปี..แต่จะถูกกักขังภายในบ้านแทนการจำคุกและจะไม่ถูกตัดสิทธิทางการเมือง      ส่วนผู้ที่ไม่ให้ความร่วมมือและพบว่ามีความผิดจะถูกลงโทษจำคุกสูงสุด 20 ปี   ขบวนการฟาร์กได้ให้ความร่วมมืออย่างเป็นระบบ และได้จัดการประชุมร่วมกับชุมชนที่มีการสังหารหมู่อย่างต่อเนื่องด้วยความมุ่งมั่นที่จะแสวงหาการอภัยโทษ
สุดท้าย..ส่วนที่ 6 ของข้อตกลงที่เกี่ยวกับการดำเนินการตรวจสอบและอนุมัติ  ในส่วนนี้โดยทั่วไปเป็นข้อตกเกี่ยวกับด้านเทคนิคในการควบคุมดูแลของหน่วยงานระหว่างประเทศตามข้อตกลงดังกล่าวเกี่ยวกับการลงประชามติ(ที่แพ้ไป)    และด้านอื่นๆในเรื่องเวลาและวิธีการที่แตกต่างกันในแง่มุมของข้อตกลงที่จะดำเนินการ
นี่คือสิ่งที่เขียนไว้ในสัญญาที่รัฐบาลโคลอมเบียและ FARC ได้ร่วมกันลงนามอย่างเป็นพิธีการต่อหน้าสาธารณะและตัวแทนผู้ทรงเกียรติ์จากต่างประเทศเมื่อวันที่ 26 กันยายน...  มันหมายความว่าอะไร?  โดยเนื้อแท้แล้ว..นี่คือข้อสัญญาที่รัฐโคลอมเบียตกลงใจโดยมีเงื่อนไขให้ฟาร์กยกเลิกการต่อสู้ด้วยอาวุธ     รวมไปถึงการรวบรวมนักรบจรยุทธ์ทั้งหลายเข้าสู่การใช้ชีวิตแบบพลเรือน..การเปลี่ยนสภาพของขบวนการ ฟาร์กไปสู่การเป็นพรรคการเมืองและให้มีการนิรโทษกรรมแกสมาชิกอย่างถ้วนหน้า
ฟาร์กต้องการอะไรที่นอกเหนือไปจากการละทิ้งการต่อสู้ด้วยอาวุธโดยที่สมาชิกจะไม่ถูกสังหารหมู่และความเป็นไปได้ที่จะรักษานโยบายของตนโดยผ่านปัจจัยที่ถูกกฎหมาย  รัฐโคลอมเบียมีความปรารถนา ที่จะยุติความขัดแย้งเพื่อสร้างเงื่อนไขที่ดีกว่าสำหรับการเอื้อประโยชน์ให้แก่ทุนนิยม   โดยเฉพาะอย่างยิ่งในชนบท   รวมถึงการดึงดูดเงินลงทุนจากต่างประเทศ
แน่นอน..ข้อตกลงไม่อาจแก้ปัญหาได้ในทุกๆเรื่องที่เคยเป็นปัจจัยหลักในการนำไปสู่การก่อตั้ง FARC (โดยเฉพาะปัญหาการปฏิรูปเกษตรกรรม)     สำหรับเรื่องการยุติความรุนแรงทางการเมืองนี่ก็เป็นเรื่องที่น่าสงสัยอยู่เช่นเดียวกัน    หลังจากเจรจากันมาตลอด 10 ปี ในประเด็นการยกเลิกกองกำลังกึ่งทหาร   กลุ่มเหล่านี้ก็ยังเกิดขึ้นอีกภายใต้หน้ากากที่แตกต่างกันไป     ซึ่งเป็นที่รู้กันในนาม “บาคริมส์” (แก๊งอาชญากร)     ยังทำการเคลื่อนไหวอยู่และลอบสังหารผู้นำสหภาพแรงงานและนักเคลื่อนไหวชาวนา   พร้อมกับโจมตีชุมชนชาวนาในนามของชนชั้นนายทุนและเจ้าที่ดินใหญ่
ปัญหาที่เพิ่มขึ้นมาของ ฟาร์ก    คือความเป็นจริงที่ว่ายุทธศาสตร์การเมืองของผู้นำคือหนึ่งในขั้นตอนการปฏิวัติ      พวกเขามักจะยืนยันแนวคิดเกี่ยวกับการเป็นพันธมิตรกับบรรดาผู้รักชาติทั้งหมดในระดับกว้างทั่วประเทศอยู่เสมอ (ซึ่งพวกเขารวมเอาชนชั้นนายทุนและเจ้าของธุรกิจขนาดใหญ่ส่วนหนึ่งเข้าไว้ด้วย)  เพื่อเป็นการส่งเสริมการพัฒนาของระบบทุนนิยมแบบจำกัดขอบเขต


            ประธานาธิบดีฮวน  มานูเอล ซานโตส  กับฮิลลารี คลินตัน  - Photo: US State Department/Public Domain

จากสภาพที่เป็นจริง.....มันไม่ได้สอดรับกับระบบการจัดการที่พวกเขาได้รับมรดกมาจากลัทธิสตาลินเลย     สำหรับชนชั้นปกครองพวกเขาไม่ได้ให้ความสำคัญแต่อย่างใดหรือพร้อมที่จะตระหนักถึงการปฏิรูประบบเกษตรกรรมอย่างจริงจังและวางพื้นฐานสำหรับการพัฒนาความก้าวหน้าของประเทศและการปกป้องอธิปไตยของชาติ     ชนชั้นปกครองของโคลอมเบียนั้นมีการแบ่งฝักแบ่งฝ่ายกันอยู่(การประทะกันในการเดินขบวนระหว่าง ยูริเบ และ ซานโตส ในการลงประชามติ)      แต่ในขณะเดียวกันฝักฝ่ายทั้งหลายต่างก็มีความหวาดกลัวต่อการเคลื่อนไหวปฏิวัติของกรรมกรและชาวนา      จะเป็นอันตรายอย่างยิ่งถ้าหากการเปลี่ยนแปลงจะเป็นการเคลื่อนไหวนำไปสู่การก่อตัวของพรรคการเมือง       ที่บรรดาผู้นำต่างก็ต่อต้านนโยบายที่อ่อนปวกเปียกของนักปฏิรูป

ในอดีตเราได้เห็นในหลายๆกรณีมาก่อนที่การเคลื่อนไหวจรยุทธกลายมาเป็นการเคลื่อนไหวทางการ เมือง  โดยผู้นำของพวกเขาได้ปกป้องนโยบายสังคมประชาธิปไตยแบบอ่อนๆ  หรือในอีกหลายกรณีที่ยอมเข้าร่วมในทุกๆนโยบายกับชนชั้นนายทุน (กรณีของ โจอาคิม วิลยาโลโบส จาด เอล ซัลวาดอร์)   นัยยะของเรื่องนี้เราได้เห็นกันอยู่แล้วระหว่างการเจรจาสันติภาพ..    เมื่อผู้นำของฟาร์กออกนอกลู่นอกทางโดยยืนยันว่าพวกเขาไม่ได้ต่อต้านการมีทรัพย์สินส่วนบุคคล     ในการให้สัมภาษณ์สำนักข่าวเซอร์มานยา     รอดดิโก ลอนโดโน ทิโมเชนโก  ถูกถามเกี่ยวกับมุมมองของนักรบจรยุทธในเรื่องระบอบทุนนิยมและวิสาหกิจเสรี    เขาตอบว่า..”เราไม่เคยพูดเลยว่าเราต่อต้านทรัพย์สินส่วนตัว   สิ่งที่เราคัดค้าน คือการแสวงหาผลประโยชน์ที่มากเกินไป...เราต่อต้านความไม่เท่าเทียมอย่างมากในการกระจายความ มั่งคั่งที่เรามีอยู่ในโคลอมเบีย”
ในการให้สัมภาษณ์ครั้งเดียวกันเขายังได้อธิบายว่า ขบวนการฟาร์กได้พบปะกับนักธุรกิจชาวโคลอม เบียที่มีชื่อเสียงในกรุงฮาวานาซึ่งก็เป็นส่วนหนึ่งของการเจรจาสันติภาพ  เขากล่าวว่า..”พวกเขาพึงพอใจในคำอธิบายที่ให้ไปเกี่ยวกับกระบวนการที่จะดำเนินไปในอนาคต    กระบวนการนี้ไม่ได้มีเป้า หมายในการต่อต้านนายจ้าง”     ทิโมเชนโก ยังให้คำอธิบายอีกว่า..”สิ่งที่เราต้องการคือประเทศโค ลอมเบียที่มีการพัฒนา  พัฒนาปัจจัยการผลิต  เรามีความจำเป็นในการช่วยอุตสาหกรรมของชาติบนความมั่งคั่งของเราเอง”

การลงประชามติ

การได้รับชัยชนะในการลงประชามติในข้อตกลงสันติภาพสร้างความประหลาดใจแก่ทุกคน   ข้อคิดเห็นของโพลหลักๆต่างก็ให้ผ่าน(yes)ด้วยคะแนนเสียงมากกว่าสองต่อหนึ่ง      ข้อตกลงดังกล่าวได้รับการสนับสนุนจากปีกซ้ายส่วนใหญ่ในพรรคของ Uribe   FARC,  คิวบาและเวเนซุเอลา   สหภาพยุโรปและสหรัฐอเมริกา  รวมไปถึงสมเด็จพระสันตะปาปาด้วย

ส่วนฝ่ายที่คัดค้าน(NO) ส่วนมากถูกครอบงำโดย ยูริเบ ประธานาธิบดีคนก่อนที่ต่อต้านข้อตกลงสันติ ภาพโดยรณณรงค์ปลุกผีคอมมิวนิสต์อย่างบ้าคลั่ง   เขาอ้างว่าข้อตกลงจะนำไปสู่ระบอบเผด็จการแบบ “คาสโตร-ชาวิสตา” (Chavista /ชาวิสตา คือกลุ่มมวลชนที่นิยมอดีตประธานาธิบดี ฮูโก ชาเวช แห่งเวเนซูเอลลา)..และในไม่ช้า ทิโมเชนโก ผู้นำของฟาร์ก ก็จะกลายเป็นประธานาธิบดี..และเหนือสิ่งอื่นใดเขาเป็นผู้ชื่นชอบสันติภาพ..แต่(การเจรจาสันติภาพ)คือการยอมจำนนต่อพวกกบฏฟาร์ก      ผลประชามติออกมาใกล้เคียงกันมาก   จากผู้มาลงคะแนนเสียงเพียง 37.43% (13ล้านเสียงจากผู้มีสิทธิ์ 34.9 ล้านเสียงของผู้มีสิทธิ์ออกเสียง)  โหวต NO  50.21% โหวต YES  49.78%   เป็นการลงคะแนนที่ต่ำที่สุดในรอบ 20 ปี  ซึ่งไม่ห่างจากการเลือกตั้งประธานาธิบดีรอบแรกเมื่อปี 2014
อุปสรรคอย่างหนึ่งคือผลจากพายุเฮอริเคน แมทธิว ที่พัดเข้าสู่พื้นที่แถบชายฝั่งทะเลคาริบเบียนของประเทศในวันลงประชามติ    การลงประชาติจึงถูกรบกวนจากอุปสรรคในเขตต่างๆที่คะแนนเสียง YESชนะแต่ผลที่ออกมากลับน้อยกว่าที่คาดหมายไว้มาก     อย่างไรก็ตามจากเหตุรบกวนนี้ทำให้คะแนนออกมาสูสีกัน   แต่คำถามสำคัญอยู่ที่ว่า..ทำไมประธานาธิบดี ซานโตส และกลุ่มที่ต้องการให้มีการผ่านประชามติจึงไม่ระดมการเคลื่อนไหวรณณรงค์ในเขตเลือกตั้งเหล่านี้?


การเลือกตั้งประธานาธิบดีรอบสองปี2014   (สีเขียว ซานโตส  สีแสด ซูลัวกา ) -  

ถ้าจะดูผลจากที่แสดงบนแผนที่    จะเห็นว่ามีความใกล้เคียงกันมาก  เหมือนที่เกิดขึ้นกับการเลือกตั้งประธานาธิบดีรอบที่สองในปี 2014 ระหว่างซานโตสกับ ซูลัวกา  ที่ยูริเบให้การสนับสนุน  พื้นที่บริเวณชายฝั่งและติดพรมแดนจะโหวต “ผ่าน”  ในขณะที่พื้นที่ส่วนกลางจะออกเสียง “ไม่ผ่าน”



Colombia Referendum Map - Image: Registraduría Nacional Colombia

พื้นที่ส่วนกลางเหล่านั้นเคยลงคะแนนเสียงให้  ซูลัวกา ในการเลือกตั้งประธานาธิบดีรอบที่สอง ยก เว้นเขตซานตาดาร์ และซานตาดาร์เหนือ ที่เคยลงคะแนนให้ซ่านโตสเมื่อปี 2014  แต่กลับโหวต “ไม่ผ่าน” ในการลงประชามติ     พื้นที่แถบนี้มีพรมแดนติดกับเวเนซูเอลลา ซึ่งกำลังประสบกับวิกฤติทางเศรษฐกิจอย่างหนักหน่วงและเกิดปัญหาความขาดแคลนอย่างรุนแรง    บางทีสถานการณ์ของเวเนซูเอลลา อาจจะมีบทบาทสำคัญต่อการพิจารณาในการสร้างข่าวลือที่น่าตื่นตระหนกของ ยูริเบ เกี่ยวกับระบอบเผด็จการของ “คาสโตร-ชาวิสตา.  ก็เป็นได้

ในการลงคะแนนเลือกประธานาธิบดีรอบที่สอง   มีผู้มาลงคะแนนเสียงทั้งหมด 15.3 ล้านเสียง(คิดเป็น47.8% ของผู้ทีสิทธิ์)    แต่ครั้งนั้นอยู่ที่ว่าปัญหาของการตกลงสันติภาพยังก้ำกึ่งกันอยู่    ซานโตสได้คะแนน 7.8 ล้านเสียง     ขณะซูลัวกา คนของยูริเบ ได้ 7 ล้านเศษๆ   ถ้าจะเทียบผลครั้งนั้น(การเลือกประธานาธิบดี)กับการลงประชามติจะเห็นว่า  ซานโตสมีคะแนนลดลงถึง 1.5 ล้านเสียงขณะที่ฝั่งยูริเบ คะแนนลดลงไปห้าแสนคะแนน   นี่จึงเป็นเหตุผลที่ว่าทำไม “เห็นชอบ” จึงแพ้   เพราะว่าประชาชนไม่ เหตุได้มีความกระตือรือล้นที่จะไปลงคะแนน    เหตุบังเอิญที่มีพายุเฮอร์ริเคนนั้นก็เป็นปัจจัยอันหนึ่ง   ที่สำคัญมากคือ..ในพื้นที่ๆได้รับผลกระทบรุนแรงระหว่างที่เกิดความขัดแย้งจะเป็นที่ๆมีคะแนนโหวต “เห็นด้วย” ค่อนข้างสูงมาก      โดยเฉพาะในเขต โชโค 79%  เคาคา 67%   นารินโย 64 %  พูตูมาโย 65.5 %  และ วาอูเปส 78%     ในเมืองโบฮายา ในเขตโชโค ที่เกิดการสังหารหมู่ขึ้นเมื่อปี 2002 ในขณะเกิดการรบระหว่ากำลังกึ่งทหารและสมาชิกฟาร์ก     คะแนนโหวต “เห็นด้วย” มากถึง 95%

ส่วนที่คะแนนเสียงโหวต “ไม่ผ่าน” คือพื้นที่ๆอยู่ภายใต้อิทธิพลและการควบคุมอย่างเข้มงวดของเครือ ข่ายทางการเมือง..กองกำลังกึ่งทหาร ของ ยูบิเร  และโดยกลุ่มผลประโยชน์ของบรรดานายทุนและเจ้าของฟาร์มปศุสัตว์   ที่มีการต่อต้าน”คอมมิวนิสต์” อย่างรุนแรง  และต่อต้านซานโตส ด้วย
ผสมผสานไปกับปัจจัยต่างๆที่ได้กล่าวมาแล้ว..เราจำเป็นต้องมีความเข้าใจต่อเศรษฐกิจของโคลอม เบียเรื่องราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่ถูกกระทบจากการพังทลายของราคาน้ำมัน        ราคาน้ำมันดิบของโคลอมเบียลดลงอย่างฮวบฮาบกว่า 50%ในช่วงสองปีที่ผ่านมา    ในบริบทนี้..ความคิดเกี่ยวกับการจัดเก็บภาษีเพิ่มสำหรับเป็นค่าใช้จ่ายในการวางอาวุธของขบวนการฟาร์ก ไม่ได้เป็นที่ถูกใจของชนชั้นนายทุนน้อยส่วนใหญ่
ซานโตส นั้นเป็นประธานาธิบดีที่ไม่ค่อยจะเป็นที่นิยมมากนัก...ถูกวิพากษ์วิจารณ์จากทั้งฝ่ายขวาอย่างยูริเบ..และฝ่ายซ้าย จากสหภาพแรงงาน  นักศึกษา  เกษตรกร  และการเคลื่อนไหวทางการเมือง  ที่กำลังเคลื่อนไหวต่อต้านนโยบายประหยัด-ตัดลด และ การแปรรูปวิสาหกิจ .การขัดขวางโจมตีสิทธิประชาธิปไตยและการกดดันการเคลื่อนไหวทางสังคมอย่างต่อเนื่อง   ในบริบทนี้หลายคนเริ่มสงสัยต่อคำสัญญาของเขาในเรื่องการตกลงสันติภาพ     

ประชาชนชั้นล่างอันไพศาลของโคลอมเบียมีความต้องการแก้ปัญหาอย่างเร่งด่วนในเรื่องการถือครองที่ดิน..ความยากจน...การศึกษา..สาธารณสุข...ที่อยู่อาศัย..ความรุนแรงของรัฐ  เงินเฟ้อ..การละเว้นโทษให้แก่กองกำลังกึ่งทหาร   และการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างรุนแรงของกองทัพ   ประชาชนต่าง  มองเห็นผลงานของซานโตสในเรื่องต่างๆเหล่านั้น      และไม่สามารถนำพาตัวเองออกมาลงคะแนนเสียงได้     ซานโตสต้องการเพียงใช้การลงประชามติเพื่อให้เกิดความถูกต้องตามกฎหมาย..แต่ก็ผลตรงกันข้ามอย่างที่ต้องการ   กลายเป็นว่า ยูริเบ กลับเข้มแข็งขึ้น

อะไรต่อไป?
แม้ว่าด้านที่ลงคะแนนเสียงคัดค้านจะชนะประชามติแต่ก็ไม่ได้หมายความว่ามีความจำเป็นจะต้องกลับไปสู่การต่อสู้ด้วยอาวุธอีก     ขบวนการฟาร์กได้ประกาศไปแล้วว่าพวกเขากำลังเริ่ม “ประกันคำพูดว่า..ไม่ใช้อาวุธ”   ประธานาธิบดี ซานโตส ยืนยันอีกครั้งว่าเขาต้องการให้ข้อตกลงเพื่อสันติภาพนี้ให้มีผลและเรียกร้องให้เป็น ”การเจรจาแห่งชาติ”   ในขณะที่ยูริเบได้ประกาศออกมาว่าเขาไม่ได้คัดค้านสันติ ภาพ..แต่เขาไม่เห็นด้วยกับข้อตกลง
แน่นอน..เรื่องนี้ยังคงเป็นสถานการณ์อันตราย    เป็นการกระหน่ำตีประธานาธิบดีซานโตสอย่างรุนแรงแม้ว่าไม่มีใครที่ต้องการให้กลับไปสู่สถานการณ์สงครามอีก...การยุยงปลุกปั่นโดยกลุ่มขวาจัด   กลุ่มกองกึ่งทหาร ก็ไม่สามารถขัดขวางและจุดประกายของความเป็นปรปักษ์ขึ้นมาได้อีก
อะไรคือสิ่งที่น่าจะเกิดขึ้นในขณะนี้   หาก ซานโตส จะร่วมมือกับ ยูริเบ ในการต่อรองบางแง่มุมของการเจรจาครั้งใหม่    ยูริเบต้องการจะทำให้เกิดความยุ่งยากขึ้นโดยเฉพาะอย่างยิ่งในการลงโทษฝ่ายนำของ ฟาร์ก โดยต้องการให้ถูกลงโทษจำคุกและบรรดาผู้นำที่มีความโดดเด่นหลายคนของขบวนการให้พ้นไปจากการเลือกตั้งด้วย

ในส่วนของข้อเรียกร้องที่ ยูริเบ จงใจเยาะเย้ยถากถาง      เขาจะใช้เล่ห์กลทุกชนิดเพื่อปกป้องบรรดาผู้นำหน่วยกองกำลังกึ่งทหารไม่ให้ต้องเผชิญหน้าตุลาการในข้อกล่าวหาว่าเป็นอาชญากรสงคราม และ บางคนที่มีบทบาทสำคัญ      จะต้องไม่ถูกส่งไปสหรัฐฯในฐานะผู้รายข้ามแดนซึ่งบางคนถูกกล่าวหาว่าเกี่ยวข้องกับการค้ายาเสพย์ติด( ดู ประวัติศาสตร์ลับ กำลังกึ่งทหารของโคลอมเบีย และสงครามยาเสพย์ติดของสหรัฐฯ ).

ยูริเบ กลัวว่าถ้าเมื่อพวกเขาถูกสอบสวนและมีความผิดในการละเมิดสิทธิมนุษยชน    มันจะเปิดโฉมหน้าที่แท้จริงของผู้ที่ให้การสนับสนุนทางการเงินแก่แก๊งติดอาวุธกึ่งทหาร      ซึ่งบางเรื่องเขามีส่วนร่วมโดยตรง     ยูริเบ เรียกร้องให้มีการนิรโทษกรรมแก่ผู้ที่ถูกกล่าวหาว่ามีส่วนร่วมในกองกำลังอาวุธที่เกี่ยวข้องกับการละเมิดสิทธิมนุษยชนทั้งหมด     ขณะนี้การประชุมถูกกำหนดไว้เรียบร้อยแล้วรวมไปถึง ยูริเบและซานโตส  เพื่อหารือกันว่าจะดำเนินการอย่างไรต่อไป   ซึ่งดูเหมือนว่า ยูริเบ จะถูกกดดันจากกลุ่มชนชั้นปกครองไม่ให้สร้างสถานการณ์ให้กลับไปสู่ความรุนแรงอีก

ทางด้าน ฟาร์ก คงจะถูกบีบให้ยอมรับข้อตกลงไปก่อน   พวกเขาเริ่มทำลายวัตถุระเบิดไปแล้วส่วนหนึ่งแล้วเพื่อแสดงให้เห็นถึงความจริงใจ  และเตรียมการช่วยเหลือเหยื่อด้วยเงินทุนของตนเอง(บางเรื่องที่พวกเขาได้ปฏิเสธมาก่อน)   พวกเขาไม่มีทางเลือกปฏิบัติให้เป็นอย่างอื่นได้และพร้อมที่จะดำเนินการไปตามแนวทางที่ได้ให้คำมั่นไว้ที่จะเลิกการต่อสู้ด้วยอาวุธ   เพื่อเป็นการแลกเปลี่ยนกับการที่พวกเขาอาจจะต้องการนำปัญหาซึ่งถูกตัดทิ้งไปกลับเข้าสู่วาระการประชุมอีก
ในสถานการณ์ยังมีปัจจัยหลักๆอย่างอื่นอีก   การรื้อฟื้นการเคลื่อนไหวของกรรมกร  นักศึกษา  ชาวนา  และชุมชนคนพื้นเมืองซึ่งใน 5 ปีหลังนี้ได้เกิดระลอกคลื่นการเคลื่อนไหวอยู่เสมอเช่นการเคลื่อนไหวของนักศึกษาในปี 2011  การเคลื่อนไหวของชาวนาปี 2013  การนัดหยุดงานของผู้ปฏิบัติงานด้านความยุติธรรมในปี 2014    และปีก่อนหน้านี้เป็นการหยุดงานในระดับชาติมีผู้เข้าร่วมนับหมื่นๆในแต่ละท้องถิ่นคนเพื่อเพิ่มค่าจ้าง...เพื่อสิทธิ์ในการศึกษา   ต่อต้านการให้สัมปทานเหมืองแร่  และป้องกันสิทธิของชาวนาและอื่นๆ
แม้ความขัดแย้งในระดับรัฐ..ระหว่างกองกำลังติดอาวุธกับนักรบจรยุทธิ์จะจบลง     แต่การเคลื่อนไหวของมวลชนจะประทุขึ้นแทน  ซึ่งจะเป็นเรื่องยากลำบากของรัฐบาลมากกว่าเรื่อง “ จัดการกับผู้ก่อการ ร้ายฟาร์ก”   การสิ้นสุดของการต่อสู้ด้วยอาวุธในโคลอมเบียมิได้หมายความว่าการต่อสู้ทางชนชั้นจะจบลงไป    หากแต่จะกลับกลายเป็นเรื่องที่ตรงกันข้าม