Tuesday, October 18, 2016

การแพ้ประชามติ ....ในโคลอมเบีย

การแพ้ประชามติในข้อตกลงสันติภาพ...ต่อไปจะเกิดอะไรขึ้นสำหรับโคลอมเบีย

 โดย  Jorge Martín    05 October 2016
วันอาทิตย์ที่ 2 ตุลาคม  ประชาชนชาวโคลอมเบียผู้มีสิทธิ์ลงคะแนนเสียงได้ปฏิเสธข้อตกลงสันติภาพระหว่างรัฐบาลกับ กองกำลังปฏิวัติแห่งโคลอมเบีย-กองทัพประชาชน    หรือเรียกย่อๆว่าฟาร์ก (FARC / Revolutionary Armed Forces of Colombia—People's Army) “เพื่อยุติข้อพิพาทและสร้างสันติภาพที่มั่นคง”  จอร์จ มาร์ติน  ได้อธิบายถึงกระบวนการที่นำไปสู่การลงประชามติ    และสิ่งนี้จะหมาย ถึงอนาคตของการต่อสู้ทางชนชั้นในโคลอมเบีย   การลงคะแนน “ไม่” ชนะเพียงเล็กน้อยเพียง 54,000 คะแนนจากเสียงทั้งหมด 13 ล้านเสียง  ซึ่งถือว่าเป็นการใช้สิทธิ์ที่น้อยที่สุดของการลงคะแนนเสียงในระดับชาติในระยะ 22 ปี    ข้อตกลงระหว่างฟาร์ก  กับรัฐบาลโคลอมเบียได้รับการสนับสนุนอย่างเต็มที่จาก  สหรัฐฯ  สหภาพยุโรป  รวมไปถึงรัฐบาลของประเทศเวเนซูเอลลาและคิวบาเพื่อยุติสงครามที่ดำเนินมาเป็นเวลา 52 ปี   อะไรคือเนื้อหาของข้อตก ลง? ทำไมถึงมีการคัดค้าน?  และจะเกิดอะไรขึ้นในภายภาคหน้า?

ประวัติศาสตร์ของ ฟาร์ก
ขบวนการ ฟาร์ก เริ่มก่อตั้งครั้งแรกเมื่อปี 1964 แต่ทางเดินของมันต้องย้อนกลับไปสูเหตุการณ์ลุกขึ้นสู้ โบโกตาโซ (Bogotazo..มาจากคำว่า "Bogotá"และต่อท้ายด้วย -azo  ซึ่งหมายถึงความรุนแรงวุ่นวาย)  ในกรุงโบโกตา เมื่อปี 1948   เหตุการณ์นี้ถูกจุดชนวนขึ้นจากการลอบสังหาร นาย อีเลเซ เกตาน นักการ  เมืองฝ่ายซ้ายที่ต่อต้านจักรวรรดินิยมที่มีประชาชนนิยมอย่างกว้างขวาง    นาย เกตาน  โดดเด่นขึ้นมาจากการที่เขาประณามการสังหารหมู่กรรมกรมากกว่า2,000 คน ของ บริษัท ยูไนเต็ด ฟรุต บานานา ที่นัดหยุดงานในปี 1928 โดยกองกำลังของรัฐบาล     เขาเป็นผู้นำมวลชนในการต่อสู้คัดค้านพรรรคเสรีนิยมและพรรคอนุรักษ์นิยม   โดยการตั้งพรรคสหพันธ์นักปฎิวัติฝ่ายซ้ายแห่งชาติ(Revolutionary Left National Union /UNIR)  และต่อมาเขาได้ตัดสินใจที่จะผลักดันให้ความคิดของเขาภายในพรรคเสรีนิยม  

ปี 1946 เขาได้รับการคัดเลือกจากบรรดาพรรคฝ่ายซ้ายและพรรคเสรีนิยมปีกซ้ายให้เป็นตัวแทนในเข้า ชิงตำแหน่งประธานาธิบดีโดยแข่งขันกับตัวแทนที่เป็นทางการของพรรคอนุรักษ์นิยมและพรรคเสรีนิยม  ได้คะแนนเป็นลำดับ 3  แต่ในพื้นที่ชนบทเขากลับเป็นผู้ที่ชนะคะแนนเสียงจากการสนับสนุนของกรรม และชนชั้นกลาง  เนื่องจากเขาโจมตีพวกอภิสิทธิ์ชน โดยมีนโยบายเพื่อความเป็นธรรมในสังคม..ปฏิรูปการเกษตร และคัดค้านจักรวรรดินิยม


 เหล่าผู้นำของFARC ระหว่างการเจรจาสันติภาพที่ คากูยัน  1998-2002 - Photo: DEA Public Affairs.html

ปี 1947 พรรคเสรีนิยมได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งสมาชิกสภาและเสียงส่วนใหญ่ในพรรคเสรีนิยมเป็นผู้สนับสนุน เกตาน   นั่นย่อมหมายถึงว่าเขาได้เป็นผู้นำพรรคและเป็นตัวแทนพรรคในการแข่งขันชิงตำ แหน่งประธานาธิบดีในการเลือกตั้งที่จะมีขึ้นในปี 1950    บรรดาอภิสิทธิ์ชนต่างมีความตื่นตระหนกและคาดหมายว่าเกตานจะได้ก้าวขึ้นสู่อำนาจ    ปฏิบัติการด้วยความรุนแรงเริ่มขึ้นด้วยการลอบสังหารบรร ดาแกนนำการเคลื่อนไหวของเกตาน     วันที่  9 เมษายน 1948 เกตานก็ถูกลอบสังหารกลางวันแสกๆในเมืองหลวงโบโกตา   นำไปสู่การจลาจลประท้วงรัฐบาลรัฐบาลอนุรักษ์นิยมของประชาชนทั่วประเทศและกล่าวหาว่าเป็นการกระทำของรัฐบาล

ดังนั้นจึงตามมาด้วยสงครามกลางเมืองที่ไม่ประกาศระหว่างพรรคอนุรักษ์นิยมและพรรคเสรีนิยมมาเป็นเวลาสิบปีที่รู้จักกันในนาม “ลา วิโอเลนซา”(The Violence)  ซึ่งพรรคเสรีนิยมได้ก่อตั้งหน่วยรบจรยุทธและกองกำลังป้องกันตนเองของชาวนาขึ้น    พรรคคอมมิวนิสต์ก็มีบทบาทในการจัดตั้งภายในองค์กรป้องกันตนเองของชาวนาด้วย         เพื่อตอบโต้กับกองกำลังพิทักษ์ขาวที่อื้อฉาวของบรรดาเจ้าที่ดิน
ปี 1957-58 ผู้นำพรรคเสรีนิยมและอนุรักษ์นิยมได้มีการเจรจาตกตงกันในกรณีพิพาทโดยมีการลงนามกันในข้อตกลงว่าด้วยการเป็นแนวร่วมแห่งชาติ     ชาวนาจำนวนมากที่มีส่วนเกี่ยวข้องในกรณีพิพาทต่างไม่เห็นด้วยและไม่ยอมรับเนื่องจากพวกเขาเห็นว่าถูกทรยศจากบรรดาผู้นำ    บางส่วนมีความประทับใจในการปฏิวัติของประชาชนชาวคิวบาเมื่อปี 1959     พันธมิตรระหว่างชาวคอมมิวนิสต์และกำลังจรยุทธิของฝ่ายเสรีนิยมก็ยังดำเนินการต่อสู้ต่อไปโดยการสถาปนา “สาธารณรัฐ มาเควตาเลีย” ขึ้น     ซึ่งความจริงเป็นเพียงพื้นที่เล็กๆที่พิทักษ์โดยกองกำลังติดอาวุธแค่ 44 คน  ภายใต้การนำของ มานูเอล มาารูอันดา “ทิโรฟิโฮ” และ จาโคโบ อารีอัส เป็นเรื่องที่เปี่ยมอันตรายและมหัศจรรย์ยิ่งที่กองกำลังกระจิดริดนี้ เคลื่อนไหวอยู่ท่ามกลางวงล้อมของกองทัพรัฐบาล    เป็นการนำไปสู่การก่อตั้งกองกำลังปฏิวัติแห่งโคลอมเลีย(FARC)  ในปี 1964    นโยบายของพวกเขาได้แก่การต่อสู้เพื่อการปฏิรูปเกษตรกรรมโดยผ่านการยึดที่ดินที่ว่างเปล่า(ของเจ้าที่ดิน)แล้วแบ่งสรรให้แก่ชาวนา

ดังนั้น.....กองกำลังจรยุทธของ ฟาร์ก จึงมีรากฐานและเงื่อนไขทางสังคมที่ดำรงอยู่ตลอดมาในโคลอม เบีย :- ความแตกต่างกันอย่างมากมายในการกระจายที่ดินและความโหดเหี้ยมของเจ้าที่ดินและรัฐ(จากการสนับสนุนอย่างเต็มที่โดยจักรวรรดิ์นิยมอเมริกา)      กรณีเช่นนี้..ส่วนใหญ่แทบจะไม่เคยมีการเปลี่ยน แปลงแต่อย่างใดมาเป็นเวลา 5 ทศวรรษ ตั้งแต่มีการก่อตั้ง ฟาร์ก มาตลอดระยะเวลายายาวนาน     ประ
วัติศาสตร์ที่ล้มเหลวในความพยายามเจรจาตกลงกันเรื่องสันติภาพระหว่างรัฐบาลโคลอมเบียกับขบวน การฟาร์กและกลุ่มจรยุทธิ์ต่างๆก่อนหน้านี้มีบทบาทสำคัญด้วย    ปี 1985-86 ฟาร์กและองค์กรปีกซ้าย ต่างๆได้พยายามก่อตั้งองค์กรทางการเมือง แพทริโอติค ยูเนียน (UP)ที่ถูกกฎหมายขึ้นมาเพื่อเป็นส่วน หนึ่งในการเจรจากับประธานาธิบดี เบตันเคอร์       พรรค UP ได้กลายมาเป็นพรรคการเมืองอันดับสามของประเทศไปอย่างรวดเร็วได้รับการสนับสนุนจากบรรดากรรมกรและชาวนาอย่างมากมาย      ชนชั้นปกครองไม่อาจให้เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น   

ในช่วงระนะเวลาสั้นๆ..ตัวแทนพรรคผู้สมัครแข่งขันประธานาธิบดี 2 คน  สมาชิกรัฐสภา 8 คน  ส.ส.13 คน  สมาชิกสภาท้องถิ่น70 คน นายกเทศมนตรี 11 คน และสมาชิกพรรคอีก 3500 คนถูกลอบสังหาร     พร้อมๆกับการรณณรงค์ที่เรียกว่า “เต้นรำแดง”  ที่ดำเนินการไปพร้อมๆกับการเข้าร่วมของรัฐและกลุ่มติดอาวุธกึ่งทหารเพื่อยับยั้งป้องกันการเติบใหญ่ของพรรค UP      ปี 1990 การแยกเจรจาสันติภาพนำนำไปสู่การวางอาวุธของกลุ่มนักรบกองจรยุทธ M19  เพื่อเข้าสู่การเลือก ตั้ง   แต่ คาร์ลอส ปิซซาโร ตัวแทนผู้สมัครแข่งขันชิงตำแหน่งประธานาธิบดีของกลุ่ม  ถูกฆ่าตายกลางวันแสกๆในกรุงโบโกตา โดยมือปืนรับจ้าง

อัลฟองโซ  คาโน  ผู้นำ FARC ที่ถูกลอบสังหาร Photo: US State Department/Public DomainIn
พลวัตรของกองทัพกองจรยุทธิขนาดใหญ่คือความจำเป็นในด้านเงินทุน..ผลักดันให้ฟาร์กใช้วิธีการที่ทำลายรากฐานการสนับสนุนของตนเองด้วยการจัดเก็บภาษีด้านธุรกิจต่างๆ(รวมไปถึงการผลิตและการลำเลียงยาเสพย์ติด)ในพื้นที่ๆพวกเขาเคลื่อนไหวอยู่.. ก่อการร้ายด้วยการโจมตีโครงสร้างพื้นฐานต่างๆและแม้แต่เป้าหมายทางพลเรือน..ลักพาตัวเพื่อเรียกค่าไถ่และอื่นๆ.สิ่งเหล่านี้ได้ถูกรัฐนำไปใช้โฆษณา ชวนเชื่อและรณณรงค์ด้วยความช่ำชอง  ซึ่งมีผลกระทบต่อประชาชนชนชนชั้นต่างๆ
ในสภาพแวดล้อมที่ถูกปราบปรามอย่างหนักจาก กองทัพ..ตำรวจ หน่วยสืบราชการลับ  และกองกำลังกึ่งทหาร( ทั้งหมดมีการร่วมมือกัน)....ส่งผลให้ยุทธวิธีของสงครามกองโจรที่มีประสิทธิภาพของฟาร์ก ถูกตัดขาดจากการเคลื่อนไหวของกรรมกรและเยาวชนในเมือง       และแม้กระทั่งความสัมพันธ์ในส่วนของชาวนา    ในทศวรรษที่ 1960 ในช่วงเวลาของการก่อตั้งองค์กร   ประชากชนในชนบทของโคลอม เบียมีประมาณ 55% ของประชาชนทั้งหมด    แต่ปัจจุบันได้ลดน้อยลงไปกว่า 25%   ประชากรในชน บทจำนวนมากได้อพยพหลั่งไหลกันเข้าไปอาศัยในเมืองส่วนหนึ่งเนื่องจากความรุนแรง   จากประมาณการมีถึง 7ล้านคน     ซึ่งเป็นไปตามกระบวนการปกติของการพัฒนาของระบบทุนนิยมซึ่งเกิดขึ้นในประ เทศอื่นๆในลาตินอเมริกา 

อัลวาโร  ยูริเบ (Álvaro Uribe)- Photo:Center for American Progress
ประธานาธิบดี อัลวาโร ยูริบี ได้รับเลือกตั้งในปี 2002 เป็นเครื่องบ่งชี้ว่าถึงจุดเปลี่ยน    เขาเป็นตัวแทนผลประโยชน์ของอภิสิทธิ์ชนที่เน่าเฟะของโคลอมเบีย.. จากพื้นฐานของเจ้าของฟาร์มปศุสัตว์  พวกขนยาเสพย์ติดที่หนุนหลังโดยกองกำลังกึ่งทหาร   เป้าประสงค์ของเขาค่อนข้างจะธรรมดา: คือการบดขยี้ทำลายขบวนการฟาร์กไม่ว่าจะด้วยวิธีใดๆที่มีความจำเป็น   เขาต้องการ “ทำให้ประเทศเป็นที่ปลอดภัยของระบอบทุนนิยม”      และด้วยเหตุผลนี้ทำให้เขาต้องพึ่งพาการสนับสนุนจากกลุ่มทุนหลักๆของโค ลอมเบีย   รัฐบาลสหรัฐฯ   และความร่วมมือจากนานาชาติ

แม้แต่ นสพ.วอชิงตัน โพสต์  ก็ได้อธิบายถึงนโยบายของ อูริเบ ในแง่ที่น่ากลัวมากเช่น :  “ด้วยการสนับสนุนจากสหรัฐฯ    รัฐบาลโคลอมเบียเริ่มตอบโต้ด้วยการเผาเรียบ ฐานที่มั่นของ ฟาร์ก ในท้องถิ่นชนบทหลังจากประธานาธิบดี อูริเบ ได้รับเลือกตั้งในปี 2002    กำลังทหารของรัฐบาลซึ่งมักจะตามมาด้วยกลุ่มติดอาวุธฝ่ายขวาโดยมีเป้าหมายต่อพลเรือนผู้ถูกสงสัยว่าเข้าข้างกลุ่มกบฎด้วยการสังหารหมู่    ชาวโคลอมเบียส่วนมากจะหลบหนีออกจากบ้านในระหว่างขั้นตอนแรกของแผนการโคลอมเบียมาก  กว่าในช่วงเวลาอื่นๆที่ความขัดแย้งดำเนินมากกว่ากึ่งศตวรรษ(แผนโคลอมเบีย : วิธีที่วอชิงตันชอบที่จะเรียนรู้ในการเข้าแทรกแซงในละตินอเมริกาอีกครั้ง)

จากการร่วมมือกันของลัทธิกึ่งทหาร..แผนโคลอมเบีย... การแทรกแซงของสหรัฐฯ และการแพร่ขยายของการละเมิดสิทธิมนุษยชนในส่วนของกองทัพ     มีผลกระทบต่ออย่างรุนแรงต่อความเข้มแข็งและสมรรถนะในการสู้รบของ ฟาร์ก ที่จะดำเนินต่อไปได้    ในการปฏิบัติการกดดันอย่างต่อเนื่องนี้..ทำให้ผู้นำหลายๆคนถูกสังหาร 

วาระของประธานาธิบดี อูริเบ สิ้นสุดลงท่ามกลางความอื้อฉาวของระบอบ  ”การเมืองแบบกึ่งทหาร” ที่เชื่อมโยงเขาให้ใกล้ชิดกับกลุ่มพันธมิตรกองกำลังกึ่งทหาร..     การดักฟังนักการเมืองฝ่ายตรงกันข้ามอย่างผิดกฎหมายโดยหน่วยราชการลับ DAS  ในที่สุดก็คือการ ”คาดการผิด” ยังผลให้คนของกองทัพเข่นฆ่าพลเรือนและนำพวกเขาเข้าไปเป็นนักรบจรยุทธ

ยูริเบ  ลงจากอำนาจในปี 2002 เมื่ออดีตรัฐมนตรีกลาโหมของเขานาย ซานโตส รับช่วงอำนาจต่อในฐานะประธานาธิบดีซึ่งถือว่าเป็นจุดเปลี่ยนอีกครั้งหนึ่ง       ทั้งคู่เป็นนักการเมืองชนชั้นนายทุนปฏิกิริยาที่มาจากและเป็นตัวแทนของชนชั้นที่ต่างกันของชนชั้นปกครองโคลอมเบียที่มียุทธศาสตร์ที่ต่างกัน    ยูริเบ คือตัวแทนของเจ้าที่ดินและเจ้าของฟาร์มปศุสัตว์...ที่มีปัญหากับชาวนาในท้องถิ่นชนบทซึ่งเป็นรากเหง้าของการก่อตั้งการสู้รบแบบกองโจร     ทั้งคู่ได้สร้างและให้การสนับสนุนทางการเงินแก่กองกำลังกึ่งทหารที่กระหายเลือด        ใช้ความสยดสยองเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของเหล่าอภิสิทธิ์ชน     ยุทธศาสตร์ในการบรรลุสันติภาพของพวกเขาคือการทำลายล้างเหล่านักรบจรยุทธในทุกวิถีทางที่จำ เป็น   ด้านหนึ่ง..ซานโต้ส มาจากครอบครัวนายทุนที่มั่งคั่งในโบโกตา    เป็นตัวแทนในปีกของชนชั้นปกครองที่มองว่าการสู้รบแบบกองโจรนั้นเป็นอุปสรรคต่อ”การพัฒนา” ของระบอบทุนนิยมและการปล้นชิงของจักรวรรดิ์นิยมมิให้ก้าวต่อไปข้างหน้า      เขาระลึกอยู่เสมอว่าถ้าไล่ต้อนฟาร์กให้เข้ามุมอับก็จะสามารถพิชิตชัยได้    ยุทธวิธีในการไปสู่สันติภาพของเขาคือการนำเหล่านักรบจรยุทธเข้ามาสู่ชีวิตพลเรือนตามปกติ
อีกด้านหนึ่ง..ขบวนการฟาร์กก็ตระหนักดีว่าภายหลังการต่อสู้มาอย่างยาวนานมากว่า 40 ปีพวกเขาก็ยังไม่สามารถเข้าใกล้เจตนารมณ์ได้     ในทางกลับกันกองกำลังของตนต่างลดลงอยู่เรื่อยๆ..ประชาชนที่ให้การสนับสนุนได้หดหายไป  ส่วนบรรดาผู้นำต่างก็เลิกราไปคนแล้วคนเล่า...นี่จึงเป็นสาเหตุพื้นฐานที่นำไปสู่การเจรจาสันติภาพเมื่อเร็วๆนี้..ซึ่งเริ่มต้นขึ้นในปี 2012
ประสบการณ์ของการปฏิวัติโบลิวาเรียนในเวเนซูเอลลามีบทบาทสำคัญในการผลักดันให้ฟาร์กเข้าสู่ ยุทธศาสตร์ที่แตกต่างออกไป..โดยละทิ้งการต่อสู้ด้วยอาวุธและเข้าสู่การเคลื่อนไหวมวลชนและมีส่วนร่วมในการเลือกตั้ง     สำหรับการชี้นำของคิวบาซึ่งเป็นตัวแทนในการทำข้อตกลงนี้ ได้แสดงให้เห็นถึงความปรารถนา(ของคิวบา)ที่จะเปิดทางสำหรับการสถาปนาความสัมพันธ์กับสหรัฐอีกครั้ง
ข้อตกลงสันติภาพประกอบด้วยอะไร?

ถ้าจะมองถึงรายละเอียดของข้อตกลงสันติภาพ      เราสามารถมองเห็นเนื้อแท้ของมันคือการปลดอาวุธกองกำลังของฟาร์ก      เพื่อจะทำให้ประเทศมีความปลอดภัยสำหรับการลงทุนจากต่างชาติรวมถึงการเกษตรกรรมด้วย

ส่วนแรกของข้อตกลงได้แก่การปฏิรูปการเกษตร      การแบ่งสรรที่ดินในโคลอมเบียมีความไม่เท่าเทียมกันมากเหลือเกิน        ดังนั้นมันจึงเป็นรากเหง้าของความขัดแย้งหลักที่ทำให้เกิดการสู้รบแบบกองโจรขึ้นมามากกว่า 5 ทศวรรษ    จากการสำรวจประชากรในภาคเกษตรกรรมพบว่าเจ้าที่ดินจำนวน 0.4 % ครอบ  ครองที่ดินเพื่อการเกษตรถึง 46%   ในขณะที่เจ้าของที่ดิน 70% ถือครองที่ดินสำหรับทำการเพาะปลูกได้แค่ 5% เท่านั้น   ตลอดระยะ 20 ปีที่ผ่านมาที่ดิน 10 ล้านเฮคตาร์(62,500,000 ไร่) ถูกเปลี่ยนมือไปจากเจ้าของเดิมที่เป็นชาวนาขนาดเล็กโดยผู้ครอบครองหลักซึ่งได้แก่เจ้าที่ดินรายใหญ่  ในท้องถิ่นชนบท..ประชากร 65% มีชีวิตอยู่ใต้เส้นความยากจน(ในเมือง 30%)  ในจำนวนนี้มีถึง 33% ที่ยากจนสุดขีด     60% ของชนบทไม่มีน้ำประปาใช้  และ19%ไม่รู้หนังสือ

เนื้อหาในข้อตกลงเต็มไปด้วยถ้อยคำและคำสัญญาที่สละสลวย      แต่ไม่มีรายละเอียดที่เป็นรูปธรรม   แสดงไว้ว่าจะก่อตั้งกองทุนที่ดิน 3 ล้านเฮคตาร์ภายใน 10 ปีข้างหน้าเพื่อจัดสรรให้แก่ชาวนา   นั่นเท่า กับว่าเป็นเพียงจำนวน 1 ใน 3 ของที่ดินที่เอาไปจากชาวนา     ในส่วนที่สองของข้อตกลงเกี่ยวกับการ  ” เปิดประชาธิปไตย”  ประกอบไปด้วยข้อสัญญาที่โอ่อ่าโดยรัฐบาลโคลอมเบียประกาศ   “สนับสนุนการเมืองหลายขั้ว”   “สร้างความเข้มแข็งในความร่วมมือ”  และ  "ต่อสู้กับการกดขี่ข่มเหงของผู้นำพรรคและการเคลื่อนไหวทางการเมือง”    ส่วนที่สามเป็นข้อตกลงเกี่ยวกับการยุติข้อพิพาท..การหยุดยิง..และการวางอาวุธ    นี่เป็นส่วนที่มีเนื้อหาสาระสำคัญมากที่สุดของข้อตกลง   เป็นการกำหนดขั้นพื้นฐานซึ่งฟาร์กจะกลายฐานะมาเป็นพรรคการเมืองที่ถูกกฎหมาย        นักรบของขบวนการแต่ละคนจะได้รับเงิน 2 ล้านเปโซ (ประมาณ 23,000 บาท)เมื่อวางอาวุธ     จะได้เข้าร่วมในโครงการลงทุนการผลิตมูลค่า 2,700 เหรียญสหรัฐฯ(ประมาณ 94,500 บาท)    ซึ่งมีมูลค่าเทียบเท่ากับ 90% ของค่าจ้างขั้นต่ำสำหรับ 2 ปี  

การรณณรงค์ทางการเมืองของพรรคใหม่ในที่สาธารณะจะได้รับการประกันทางการเงินสำหรับการเลือกตั้งสองครั้งที่จะเกิดขึ้น     และรับประกันที่นั่งในสภาสูง 5 ที่นั่ง   และอีก 5 ที่นั่งในรัฐสภาเป็นระ ยะเวลา2 สมัย       ฟาร์ก จะต้องรวบรวมนักรบของตนในพื้นที่ต่างๆในระยะเวลา 180 วันในขณะที่กระ บวนการยอมมอบอาวุธกำลังดำเนินไป        ข้อตกลงส่วนที่ 5 ได้ระบุไว้ว่าใครที่มอบอาวุธจะได้รับการนิรโทษกรรมในกรณี  ”ความผิดที่เกี่ยวกับการกบฎ”   และใครที่มีส่วนในการก่ออาชญากรรมในยามสง ครามหรือทำความผิดด้านสิทธิมนุษยชนจะถูกแยกดำเนินคดีเฉพาะส่วนความผิด..กระบวน การมอบอา วุธจะอยู่ภายใต้การควบคุมร่วมกันของ    รัฐบาล  ขบวนการฟาร์ก  และสหประชาชาติ

ส่วนที่ 4 ของข้อตกลงได้กล่าวถึงปัญหายาเสพย์ติดที่ผิดกฎหมาย       ข้อตกลงมุ่งไปยังการปลูกพืชทดแทน(ซึ่งค้านกับนโยบายปัจจุบันเกี่ยวกับการอบและรมควัน)  อย่างไรก็ตาม..เรื่องนี้คงไม่ใช่งานที่ง่ายนักในเมื่อความยากจนยังกระจายอยู่ไปทั่วในชนบท     และยาเสพย์ติดก็ยังเป็นพืชที่สร้างกำไรให้อย่างงามมากกว่าทางเลือกอื่น
ข้อตกลงยังได้กล่าวถึงปัญหาของเหยื่อที่เกิดจากความขัดแย้งในส่วนที่ 5    จะตั้งหน่วยงานขึ้นเป็นกรณีพิเศษให้เป็นไปตาม  "ความเป็นจริง  ยุติธรรม,  แก้ไขและไม่มีการรื้อฟื้น"  กระบวนการยุติธรรมประกอบด้วยคณะผู้พิพากษา24 คนในการทำข้อตกลงกับสมาชิกของ FARC และองค์กรของรัฐ  นัก  รบจรยุทธที่เคย ”ทำความผิดโดยเกี่ยวข้องกับการกบฏ”  จะได้รับการนิรโทษกรรม    ผู้ใดที่ทำความ ผิดในการทำสงครามหรือก่ออาชญากรรมต่อมนุษยชาติ..  ยอมรับสารภาพโดยให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่กับศาลพิเศษที่ก่อตั้งขึ้นจะได้รับโทษสูงสุดแปดปี..แต่จะถูกกักขังภายในบ้านแทนการจำคุกและจะไม่ถูกตัดสิทธิทางการเมือง      ส่วนผู้ที่ไม่ให้ความร่วมมือและพบว่ามีความผิดจะถูกลงโทษจำคุกสูงสุด 20 ปี   ขบวนการฟาร์กได้ให้ความร่วมมืออย่างเป็นระบบ และได้จัดการประชุมร่วมกับชุมชนที่มีการสังหารหมู่อย่างต่อเนื่องด้วยความมุ่งมั่นที่จะแสวงหาการอภัยโทษ
สุดท้าย..ส่วนที่ 6 ของข้อตกลงที่เกี่ยวกับการดำเนินการตรวจสอบและอนุมัติ  ในส่วนนี้โดยทั่วไปเป็นข้อตกเกี่ยวกับด้านเทคนิคในการควบคุมดูแลของหน่วยงานระหว่างประเทศตามข้อตกลงดังกล่าวเกี่ยวกับการลงประชามติ(ที่แพ้ไป)    และด้านอื่นๆในเรื่องเวลาและวิธีการที่แตกต่างกันในแง่มุมของข้อตกลงที่จะดำเนินการ
นี่คือสิ่งที่เขียนไว้ในสัญญาที่รัฐบาลโคลอมเบียและ FARC ได้ร่วมกันลงนามอย่างเป็นพิธีการต่อหน้าสาธารณะและตัวแทนผู้ทรงเกียรติ์จากต่างประเทศเมื่อวันที่ 26 กันยายน...  มันหมายความว่าอะไร?  โดยเนื้อแท้แล้ว..นี่คือข้อสัญญาที่รัฐโคลอมเบียตกลงใจโดยมีเงื่อนไขให้ฟาร์กยกเลิกการต่อสู้ด้วยอาวุธ     รวมไปถึงการรวบรวมนักรบจรยุทธ์ทั้งหลายเข้าสู่การใช้ชีวิตแบบพลเรือน..การเปลี่ยนสภาพของขบวนการ ฟาร์กไปสู่การเป็นพรรคการเมืองและให้มีการนิรโทษกรรมแกสมาชิกอย่างถ้วนหน้า
ฟาร์กต้องการอะไรที่นอกเหนือไปจากการละทิ้งการต่อสู้ด้วยอาวุธโดยที่สมาชิกจะไม่ถูกสังหารหมู่และความเป็นไปได้ที่จะรักษานโยบายของตนโดยผ่านปัจจัยที่ถูกกฎหมาย  รัฐโคลอมเบียมีความปรารถนา ที่จะยุติความขัดแย้งเพื่อสร้างเงื่อนไขที่ดีกว่าสำหรับการเอื้อประโยชน์ให้แก่ทุนนิยม   โดยเฉพาะอย่างยิ่งในชนบท   รวมถึงการดึงดูดเงินลงทุนจากต่างประเทศ
แน่นอน..ข้อตกลงไม่อาจแก้ปัญหาได้ในทุกๆเรื่องที่เคยเป็นปัจจัยหลักในการนำไปสู่การก่อตั้ง FARC (โดยเฉพาะปัญหาการปฏิรูปเกษตรกรรม)     สำหรับเรื่องการยุติความรุนแรงทางการเมืองนี่ก็เป็นเรื่องที่น่าสงสัยอยู่เช่นเดียวกัน    หลังจากเจรจากันมาตลอด 10 ปี ในประเด็นการยกเลิกกองกำลังกึ่งทหาร   กลุ่มเหล่านี้ก็ยังเกิดขึ้นอีกภายใต้หน้ากากที่แตกต่างกันไป     ซึ่งเป็นที่รู้กันในนาม “บาคริมส์” (แก๊งอาชญากร)     ยังทำการเคลื่อนไหวอยู่และลอบสังหารผู้นำสหภาพแรงงานและนักเคลื่อนไหวชาวนา   พร้อมกับโจมตีชุมชนชาวนาในนามของชนชั้นนายทุนและเจ้าที่ดินใหญ่
ปัญหาที่เพิ่มขึ้นมาของ ฟาร์ก    คือความเป็นจริงที่ว่ายุทธศาสตร์การเมืองของผู้นำคือหนึ่งในขั้นตอนการปฏิวัติ      พวกเขามักจะยืนยันแนวคิดเกี่ยวกับการเป็นพันธมิตรกับบรรดาผู้รักชาติทั้งหมดในระดับกว้างทั่วประเทศอยู่เสมอ (ซึ่งพวกเขารวมเอาชนชั้นนายทุนและเจ้าของธุรกิจขนาดใหญ่ส่วนหนึ่งเข้าไว้ด้วย)  เพื่อเป็นการส่งเสริมการพัฒนาของระบบทุนนิยมแบบจำกัดขอบเขต


            ประธานาธิบดีฮวน  มานูเอล ซานโตส  กับฮิลลารี คลินตัน  - Photo: US State Department/Public Domain

จากสภาพที่เป็นจริง.....มันไม่ได้สอดรับกับระบบการจัดการที่พวกเขาได้รับมรดกมาจากลัทธิสตาลินเลย     สำหรับชนชั้นปกครองพวกเขาไม่ได้ให้ความสำคัญแต่อย่างใดหรือพร้อมที่จะตระหนักถึงการปฏิรูประบบเกษตรกรรมอย่างจริงจังและวางพื้นฐานสำหรับการพัฒนาความก้าวหน้าของประเทศและการปกป้องอธิปไตยของชาติ     ชนชั้นปกครองของโคลอมเบียนั้นมีการแบ่งฝักแบ่งฝ่ายกันอยู่(การประทะกันในการเดินขบวนระหว่าง ยูริเบ และ ซานโตส ในการลงประชามติ)      แต่ในขณะเดียวกันฝักฝ่ายทั้งหลายต่างก็มีความหวาดกลัวต่อการเคลื่อนไหวปฏิวัติของกรรมกรและชาวนา      จะเป็นอันตรายอย่างยิ่งถ้าหากการเปลี่ยนแปลงจะเป็นการเคลื่อนไหวนำไปสู่การก่อตัวของพรรคการเมือง       ที่บรรดาผู้นำต่างก็ต่อต้านนโยบายที่อ่อนปวกเปียกของนักปฏิรูป

ในอดีตเราได้เห็นในหลายๆกรณีมาก่อนที่การเคลื่อนไหวจรยุทธกลายมาเป็นการเคลื่อนไหวทางการ เมือง  โดยผู้นำของพวกเขาได้ปกป้องนโยบายสังคมประชาธิปไตยแบบอ่อนๆ  หรือในอีกหลายกรณีที่ยอมเข้าร่วมในทุกๆนโยบายกับชนชั้นนายทุน (กรณีของ โจอาคิม วิลยาโลโบส จาด เอล ซัลวาดอร์)   นัยยะของเรื่องนี้เราได้เห็นกันอยู่แล้วระหว่างการเจรจาสันติภาพ..    เมื่อผู้นำของฟาร์กออกนอกลู่นอกทางโดยยืนยันว่าพวกเขาไม่ได้ต่อต้านการมีทรัพย์สินส่วนบุคคล     ในการให้สัมภาษณ์สำนักข่าวเซอร์มานยา     รอดดิโก ลอนโดโน ทิโมเชนโก  ถูกถามเกี่ยวกับมุมมองของนักรบจรยุทธในเรื่องระบอบทุนนิยมและวิสาหกิจเสรี    เขาตอบว่า..”เราไม่เคยพูดเลยว่าเราต่อต้านทรัพย์สินส่วนตัว   สิ่งที่เราคัดค้าน คือการแสวงหาผลประโยชน์ที่มากเกินไป...เราต่อต้านความไม่เท่าเทียมอย่างมากในการกระจายความ มั่งคั่งที่เรามีอยู่ในโคลอมเบีย”
ในการให้สัมภาษณ์ครั้งเดียวกันเขายังได้อธิบายว่า ขบวนการฟาร์กได้พบปะกับนักธุรกิจชาวโคลอม เบียที่มีชื่อเสียงในกรุงฮาวานาซึ่งก็เป็นส่วนหนึ่งของการเจรจาสันติภาพ  เขากล่าวว่า..”พวกเขาพึงพอใจในคำอธิบายที่ให้ไปเกี่ยวกับกระบวนการที่จะดำเนินไปในอนาคต    กระบวนการนี้ไม่ได้มีเป้า หมายในการต่อต้านนายจ้าง”     ทิโมเชนโก ยังให้คำอธิบายอีกว่า..”สิ่งที่เราต้องการคือประเทศโค ลอมเบียที่มีการพัฒนา  พัฒนาปัจจัยการผลิต  เรามีความจำเป็นในการช่วยอุตสาหกรรมของชาติบนความมั่งคั่งของเราเอง”

การลงประชามติ

การได้รับชัยชนะในการลงประชามติในข้อตกลงสันติภาพสร้างความประหลาดใจแก่ทุกคน   ข้อคิดเห็นของโพลหลักๆต่างก็ให้ผ่าน(yes)ด้วยคะแนนเสียงมากกว่าสองต่อหนึ่ง      ข้อตกลงดังกล่าวได้รับการสนับสนุนจากปีกซ้ายส่วนใหญ่ในพรรคของ Uribe   FARC,  คิวบาและเวเนซุเอลา   สหภาพยุโรปและสหรัฐอเมริกา  รวมไปถึงสมเด็จพระสันตะปาปาด้วย

ส่วนฝ่ายที่คัดค้าน(NO) ส่วนมากถูกครอบงำโดย ยูริเบ ประธานาธิบดีคนก่อนที่ต่อต้านข้อตกลงสันติ ภาพโดยรณณรงค์ปลุกผีคอมมิวนิสต์อย่างบ้าคลั่ง   เขาอ้างว่าข้อตกลงจะนำไปสู่ระบอบเผด็จการแบบ “คาสโตร-ชาวิสตา” (Chavista /ชาวิสตา คือกลุ่มมวลชนที่นิยมอดีตประธานาธิบดี ฮูโก ชาเวช แห่งเวเนซูเอลลา)..และในไม่ช้า ทิโมเชนโก ผู้นำของฟาร์ก ก็จะกลายเป็นประธานาธิบดี..และเหนือสิ่งอื่นใดเขาเป็นผู้ชื่นชอบสันติภาพ..แต่(การเจรจาสันติภาพ)คือการยอมจำนนต่อพวกกบฏฟาร์ก      ผลประชามติออกมาใกล้เคียงกันมาก   จากผู้มาลงคะแนนเสียงเพียง 37.43% (13ล้านเสียงจากผู้มีสิทธิ์ 34.9 ล้านเสียงของผู้มีสิทธิ์ออกเสียง)  โหวต NO  50.21% โหวต YES  49.78%   เป็นการลงคะแนนที่ต่ำที่สุดในรอบ 20 ปี  ซึ่งไม่ห่างจากการเลือกตั้งประธานาธิบดีรอบแรกเมื่อปี 2014
อุปสรรคอย่างหนึ่งคือผลจากพายุเฮอริเคน แมทธิว ที่พัดเข้าสู่พื้นที่แถบชายฝั่งทะเลคาริบเบียนของประเทศในวันลงประชามติ    การลงประชาติจึงถูกรบกวนจากอุปสรรคในเขตต่างๆที่คะแนนเสียง YESชนะแต่ผลที่ออกมากลับน้อยกว่าที่คาดหมายไว้มาก     อย่างไรก็ตามจากเหตุรบกวนนี้ทำให้คะแนนออกมาสูสีกัน   แต่คำถามสำคัญอยู่ที่ว่า..ทำไมประธานาธิบดี ซานโตส และกลุ่มที่ต้องการให้มีการผ่านประชามติจึงไม่ระดมการเคลื่อนไหวรณณรงค์ในเขตเลือกตั้งเหล่านี้?


การเลือกตั้งประธานาธิบดีรอบสองปี2014   (สีเขียว ซานโตส  สีแสด ซูลัวกา ) -  

ถ้าจะดูผลจากที่แสดงบนแผนที่    จะเห็นว่ามีความใกล้เคียงกันมาก  เหมือนที่เกิดขึ้นกับการเลือกตั้งประธานาธิบดีรอบที่สองในปี 2014 ระหว่างซานโตสกับ ซูลัวกา  ที่ยูริเบให้การสนับสนุน  พื้นที่บริเวณชายฝั่งและติดพรมแดนจะโหวต “ผ่าน”  ในขณะที่พื้นที่ส่วนกลางจะออกเสียง “ไม่ผ่าน”



Colombia Referendum Map - Image: Registraduría Nacional Colombia

พื้นที่ส่วนกลางเหล่านั้นเคยลงคะแนนเสียงให้  ซูลัวกา ในการเลือกตั้งประธานาธิบดีรอบที่สอง ยก เว้นเขตซานตาดาร์ และซานตาดาร์เหนือ ที่เคยลงคะแนนให้ซ่านโตสเมื่อปี 2014  แต่กลับโหวต “ไม่ผ่าน” ในการลงประชามติ     พื้นที่แถบนี้มีพรมแดนติดกับเวเนซูเอลลา ซึ่งกำลังประสบกับวิกฤติทางเศรษฐกิจอย่างหนักหน่วงและเกิดปัญหาความขาดแคลนอย่างรุนแรง    บางทีสถานการณ์ของเวเนซูเอลลา อาจจะมีบทบาทสำคัญต่อการพิจารณาในการสร้างข่าวลือที่น่าตื่นตระหนกของ ยูริเบ เกี่ยวกับระบอบเผด็จการของ “คาสโตร-ชาวิสตา.  ก็เป็นได้

ในการลงคะแนนเลือกประธานาธิบดีรอบที่สอง   มีผู้มาลงคะแนนเสียงทั้งหมด 15.3 ล้านเสียง(คิดเป็น47.8% ของผู้ทีสิทธิ์)    แต่ครั้งนั้นอยู่ที่ว่าปัญหาของการตกลงสันติภาพยังก้ำกึ่งกันอยู่    ซานโตสได้คะแนน 7.8 ล้านเสียง     ขณะซูลัวกา คนของยูริเบ ได้ 7 ล้านเศษๆ   ถ้าจะเทียบผลครั้งนั้น(การเลือกประธานาธิบดี)กับการลงประชามติจะเห็นว่า  ซานโตสมีคะแนนลดลงถึง 1.5 ล้านเสียงขณะที่ฝั่งยูริเบ คะแนนลดลงไปห้าแสนคะแนน   นี่จึงเป็นเหตุผลที่ว่าทำไม “เห็นชอบ” จึงแพ้   เพราะว่าประชาชนไม่ เหตุได้มีความกระตือรือล้นที่จะไปลงคะแนน    เหตุบังเอิญที่มีพายุเฮอร์ริเคนนั้นก็เป็นปัจจัยอันหนึ่ง   ที่สำคัญมากคือ..ในพื้นที่ๆได้รับผลกระทบรุนแรงระหว่างที่เกิดความขัดแย้งจะเป็นที่ๆมีคะแนนโหวต “เห็นด้วย” ค่อนข้างสูงมาก      โดยเฉพาะในเขต โชโค 79%  เคาคา 67%   นารินโย 64 %  พูตูมาโย 65.5 %  และ วาอูเปส 78%     ในเมืองโบฮายา ในเขตโชโค ที่เกิดการสังหารหมู่ขึ้นเมื่อปี 2002 ในขณะเกิดการรบระหว่ากำลังกึ่งทหารและสมาชิกฟาร์ก     คะแนนโหวต “เห็นด้วย” มากถึง 95%

ส่วนที่คะแนนเสียงโหวต “ไม่ผ่าน” คือพื้นที่ๆอยู่ภายใต้อิทธิพลและการควบคุมอย่างเข้มงวดของเครือ ข่ายทางการเมือง..กองกำลังกึ่งทหาร ของ ยูบิเร  และโดยกลุ่มผลประโยชน์ของบรรดานายทุนและเจ้าของฟาร์มปศุสัตว์   ที่มีการต่อต้าน”คอมมิวนิสต์” อย่างรุนแรง  และต่อต้านซานโตส ด้วย
ผสมผสานไปกับปัจจัยต่างๆที่ได้กล่าวมาแล้ว..เราจำเป็นต้องมีความเข้าใจต่อเศรษฐกิจของโคลอม เบียเรื่องราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่ถูกกระทบจากการพังทลายของราคาน้ำมัน        ราคาน้ำมันดิบของโคลอมเบียลดลงอย่างฮวบฮาบกว่า 50%ในช่วงสองปีที่ผ่านมา    ในบริบทนี้..ความคิดเกี่ยวกับการจัดเก็บภาษีเพิ่มสำหรับเป็นค่าใช้จ่ายในการวางอาวุธของขบวนการฟาร์ก ไม่ได้เป็นที่ถูกใจของชนชั้นนายทุนน้อยส่วนใหญ่
ซานโตส นั้นเป็นประธานาธิบดีที่ไม่ค่อยจะเป็นที่นิยมมากนัก...ถูกวิพากษ์วิจารณ์จากทั้งฝ่ายขวาอย่างยูริเบ..และฝ่ายซ้าย จากสหภาพแรงงาน  นักศึกษา  เกษตรกร  และการเคลื่อนไหวทางการเมือง  ที่กำลังเคลื่อนไหวต่อต้านนโยบายประหยัด-ตัดลด และ การแปรรูปวิสาหกิจ .การขัดขวางโจมตีสิทธิประชาธิปไตยและการกดดันการเคลื่อนไหวทางสังคมอย่างต่อเนื่อง   ในบริบทนี้หลายคนเริ่มสงสัยต่อคำสัญญาของเขาในเรื่องการตกลงสันติภาพ     

ประชาชนชั้นล่างอันไพศาลของโคลอมเบียมีความต้องการแก้ปัญหาอย่างเร่งด่วนในเรื่องการถือครองที่ดิน..ความยากจน...การศึกษา..สาธารณสุข...ที่อยู่อาศัย..ความรุนแรงของรัฐ  เงินเฟ้อ..การละเว้นโทษให้แก่กองกำลังกึ่งทหาร   และการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างรุนแรงของกองทัพ   ประชาชนต่าง  มองเห็นผลงานของซานโตสในเรื่องต่างๆเหล่านั้น      และไม่สามารถนำพาตัวเองออกมาลงคะแนนเสียงได้     ซานโตสต้องการเพียงใช้การลงประชามติเพื่อให้เกิดความถูกต้องตามกฎหมาย..แต่ก็ผลตรงกันข้ามอย่างที่ต้องการ   กลายเป็นว่า ยูริเบ กลับเข้มแข็งขึ้น

อะไรต่อไป?
แม้ว่าด้านที่ลงคะแนนเสียงคัดค้านจะชนะประชามติแต่ก็ไม่ได้หมายความว่ามีความจำเป็นจะต้องกลับไปสู่การต่อสู้ด้วยอาวุธอีก     ขบวนการฟาร์กได้ประกาศไปแล้วว่าพวกเขากำลังเริ่ม “ประกันคำพูดว่า..ไม่ใช้อาวุธ”   ประธานาธิบดี ซานโตส ยืนยันอีกครั้งว่าเขาต้องการให้ข้อตกลงเพื่อสันติภาพนี้ให้มีผลและเรียกร้องให้เป็น ”การเจรจาแห่งชาติ”   ในขณะที่ยูริเบได้ประกาศออกมาว่าเขาไม่ได้คัดค้านสันติ ภาพ..แต่เขาไม่เห็นด้วยกับข้อตกลง
แน่นอน..เรื่องนี้ยังคงเป็นสถานการณ์อันตราย    เป็นการกระหน่ำตีประธานาธิบดีซานโตสอย่างรุนแรงแม้ว่าไม่มีใครที่ต้องการให้กลับไปสู่สถานการณ์สงครามอีก...การยุยงปลุกปั่นโดยกลุ่มขวาจัด   กลุ่มกองกึ่งทหาร ก็ไม่สามารถขัดขวางและจุดประกายของความเป็นปรปักษ์ขึ้นมาได้อีก
อะไรคือสิ่งที่น่าจะเกิดขึ้นในขณะนี้   หาก ซานโตส จะร่วมมือกับ ยูริเบ ในการต่อรองบางแง่มุมของการเจรจาครั้งใหม่    ยูริเบต้องการจะทำให้เกิดความยุ่งยากขึ้นโดยเฉพาะอย่างยิ่งในการลงโทษฝ่ายนำของ ฟาร์ก โดยต้องการให้ถูกลงโทษจำคุกและบรรดาผู้นำที่มีความโดดเด่นหลายคนของขบวนการให้พ้นไปจากการเลือกตั้งด้วย

ในส่วนของข้อเรียกร้องที่ ยูริเบ จงใจเยาะเย้ยถากถาง      เขาจะใช้เล่ห์กลทุกชนิดเพื่อปกป้องบรรดาผู้นำหน่วยกองกำลังกึ่งทหารไม่ให้ต้องเผชิญหน้าตุลาการในข้อกล่าวหาว่าเป็นอาชญากรสงคราม และ บางคนที่มีบทบาทสำคัญ      จะต้องไม่ถูกส่งไปสหรัฐฯในฐานะผู้รายข้ามแดนซึ่งบางคนถูกกล่าวหาว่าเกี่ยวข้องกับการค้ายาเสพย์ติด( ดู ประวัติศาสตร์ลับ กำลังกึ่งทหารของโคลอมเบีย และสงครามยาเสพย์ติดของสหรัฐฯ ).

ยูริเบ กลัวว่าถ้าเมื่อพวกเขาถูกสอบสวนและมีความผิดในการละเมิดสิทธิมนุษยชน    มันจะเปิดโฉมหน้าที่แท้จริงของผู้ที่ให้การสนับสนุนทางการเงินแก่แก๊งติดอาวุธกึ่งทหาร      ซึ่งบางเรื่องเขามีส่วนร่วมโดยตรง     ยูริเบ เรียกร้องให้มีการนิรโทษกรรมแก่ผู้ที่ถูกกล่าวหาว่ามีส่วนร่วมในกองกำลังอาวุธที่เกี่ยวข้องกับการละเมิดสิทธิมนุษยชนทั้งหมด     ขณะนี้การประชุมถูกกำหนดไว้เรียบร้อยแล้วรวมไปถึง ยูริเบและซานโตส  เพื่อหารือกันว่าจะดำเนินการอย่างไรต่อไป   ซึ่งดูเหมือนว่า ยูริเบ จะถูกกดดันจากกลุ่มชนชั้นปกครองไม่ให้สร้างสถานการณ์ให้กลับไปสู่ความรุนแรงอีก

ทางด้าน ฟาร์ก คงจะถูกบีบให้ยอมรับข้อตกลงไปก่อน   พวกเขาเริ่มทำลายวัตถุระเบิดไปแล้วส่วนหนึ่งแล้วเพื่อแสดงให้เห็นถึงความจริงใจ  และเตรียมการช่วยเหลือเหยื่อด้วยเงินทุนของตนเอง(บางเรื่องที่พวกเขาได้ปฏิเสธมาก่อน)   พวกเขาไม่มีทางเลือกปฏิบัติให้เป็นอย่างอื่นได้และพร้อมที่จะดำเนินการไปตามแนวทางที่ได้ให้คำมั่นไว้ที่จะเลิกการต่อสู้ด้วยอาวุธ   เพื่อเป็นการแลกเปลี่ยนกับการที่พวกเขาอาจจะต้องการนำปัญหาซึ่งถูกตัดทิ้งไปกลับเข้าสู่วาระการประชุมอีก
ในสถานการณ์ยังมีปัจจัยหลักๆอย่างอื่นอีก   การรื้อฟื้นการเคลื่อนไหวของกรรมกร  นักศึกษา  ชาวนา  และชุมชนคนพื้นเมืองซึ่งใน 5 ปีหลังนี้ได้เกิดระลอกคลื่นการเคลื่อนไหวอยู่เสมอเช่นการเคลื่อนไหวของนักศึกษาในปี 2011  การเคลื่อนไหวของชาวนาปี 2013  การนัดหยุดงานของผู้ปฏิบัติงานด้านความยุติธรรมในปี 2014    และปีก่อนหน้านี้เป็นการหยุดงานในระดับชาติมีผู้เข้าร่วมนับหมื่นๆในแต่ละท้องถิ่นคนเพื่อเพิ่มค่าจ้าง...เพื่อสิทธิ์ในการศึกษา   ต่อต้านการให้สัมปทานเหมืองแร่  และป้องกันสิทธิของชาวนาและอื่นๆ
แม้ความขัดแย้งในระดับรัฐ..ระหว่างกองกำลังติดอาวุธกับนักรบจรยุทธิ์จะจบลง     แต่การเคลื่อนไหวของมวลชนจะประทุขึ้นแทน  ซึ่งจะเป็นเรื่องยากลำบากของรัฐบาลมากกว่าเรื่อง “ จัดการกับผู้ก่อการ ร้ายฟาร์ก”   การสิ้นสุดของการต่อสู้ด้วยอาวุธในโคลอมเบียมิได้หมายความว่าการต่อสู้ทางชนชั้นจะจบลงไป    หากแต่จะกลับกลายเป็นเรื่องที่ตรงกันข้าม


 

No comments:

Post a Comment