Thursday, December 3, 2015

พบกับผู้สนับสนุนทางการเงินแก่ไอซิส

พบกับผู้สนับสนุนทางการเงินแก่ไอซิส 
ไบลาล เอร์โดแกน บุตรชายประธานาธิบดีตุรกี

โดย Tyler Durden on 11/25/2015

เซอร์เก ลาฟรอฟ รัฐมนตรีต่างประเทศรัสเซียรู้ดีว่าไม่ควรที่จะสงบปากคำ หลังจากที่เครื่องบินรบของรัสเซียถูกตุรกียิงตกเมื่อ 24 ชั่วโมงที่ผ่านมา ประธานาธิบดีของประเทศดังกล่าว(ตุรกี)เคยได้กล่าวไว้เมื่อ 3 ปีก่อน(กรณีที่เครื่องบินรบของตุรกีบินล้ำพรมแดนซีเรีย) ว่า.... “การล่วงล้ำพรมแดนเพียงเล็ก น้อย ไม่ใช่ข้ออ้างสำหรับการโจมตี” ลาฟลอฟกล่าวถึงกรณีนี้ว่า...”เรามีความสงสัยเป็นอย่างมากว่า มันไม่ใช่เป็นอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นโดยไม่เจตนา และเชื่อว่าเรื่องนี้เป็นการยั่วยุที่วางแผนโดยตุรกี”

แม้ ลาฟลอฟ จะกล่าวอย่างนุ่มนวลที่สุดกับ เมฟลุท คาวูโซกลู หัวหน้าพรรคฝ่ายค้าน เมื่อทั้งสองได้สนทนากันทางโทรศัพท์ก่อนหน้านี้ (ลาฟลอฟ บอกยกเลิกแผนในการเดินทางไปตุรกี) อย่างที่สำนักข่าว สปุตนิก ของรัสเซียได้ถอดความและตีพิมพ์คำพูดของลาฟลอฟ รมต.ต่างประเทศของรัสเซียที่ชี้แจงว่า...”การยิงเครื่องบินของรัสเซียตกในขณะที่ปฏิบัติการต่อต้านผู้ก่อการร้ายในซีเรียอยู่นั้นและก็ไม่ได้ล่วงล้ำน่านฟ้าของตุรกีแต่อย่างใด แสดงว่ารัฐบาลตุรกีรู้เห็นเป็นใจกับผู้ก่อการร้าย ไอซิส”

ในบริบทนี้...เมื่อลาฟลอฟกล่าวเสริมว่า “การปฏิบัติการของตุรกีเป็นแผนการที่ได้วางแผนและไตร่ตรองมาก่อนซึ่งมีเป้าประสงค์พิเศษ” ที่สำคัญไปกว่านั้น...ลาฟลอฟ ชี้ให้เห็นว่า ตุรกีมีบทบาทเกี่ยวข้องในการสนับสนุนเครือข่ายกลุ่มก่อการร้ายโดยผ่านการค้าน้ำมัน จากถ้อยแถลงของรัสเซีย...

“รัฐมนตรีต่างประเทศของรัสเซียได้มีบันทึกช่วยจำแก่คู่กรณีเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของตุรกีกับไอซิสเรื่องการค้าน้ำมันผิดกฎหมายซึ่งขนส่งผ่านพื้นที่ๆเครื่องบินรบของรัสเซียถูกยิงตก และเกี่ยวกับโครงสร้างพื้นฐานของกลุ่มก่อการร้ายเช่น อาวุธและคลังกระสุน รวมไปถึงศูนย์บัญชาการควบคุมปฏิบัติการซึ่งตั้งอยู่ในบริเวณนั้น”

 คนอื่นๆยังยืนยันสนับสนุนทัศนะของลาฟลอฟ เช่นอดีตนายพลฝรั่งเศส โดมินิก ทรินกองต์ ที่กล่าวว่า...”ตุรกีไม่เพียงไม่ต่อสู้กับกลุ่มไอซิลหรือไม่ก็เพียงเล็กน้อย และก็ไม่ก้าวก่ายแทรกแซงการลัก ลอบค้าของเถื่อนชนิดต่างๆที่เกิดขึ้นตามแนวชายแดนของตน เช่น น้ำมัน ฟอสเฟท ฝ้าย แม้กระทั่งการค้ามนุษย์ด้วย”

 เหตุผลที่เราพยายามใช้เวลาสืบค้นเกี่ยวกับคำถามที่น่าสนใจนี้ มาตั้งแต่สัปดาห์ต่อมาหลังจากผู้ก่อการร้ายทำการโจมตีในฝรั่งเศส ก่อนหน้าที่จะมีเหตุเครื่องบินรบของรัสเซียถูกตุรกียิงตก เราได้เขียนบทความเกี่ยวกับ..”คำถามที่สำคัญที่สุดเกี่ยวกับไอซิส ที่ไม่มีใครถาม” ซึ่งเราได้ตั้งคำถามว่า “ใครเป็นผู้ฝ่าฝืนทำลายกฎเกณฑ์ทีใครๆก็รู้ ไปช่วยเหลือสนับสนุนไอซิส และที่แน่นอน..ประเทศพันธมิตรตะวันตกทั้งหลายก็เห็นด้วยและรู้อยู่แก่ใจ และทำไมรัฐบาลประเทศเหล่านี้จึงยอมให้ ”พ่อค้าคนกลาง” ให้การสนับสนุนทางการเงินแก่ไอซิสต่อไปอีกนานสักเท่าใด แน่นอน....

หนึ่งสัปดาห์ต่อมา ยิ่งเป็นเรื่องที่น่าเศร้าสลดใจมากขึ้นต่อสถานการณ์ที่ทุกคนได้ตั้งคำถามเหล่านี้ และเมื่อเราได้ทำการขุดคุ้ยอย่างอดทน ในที่สุดเราก็พบว่า ”พ่อค้าคนกลาง” ที่ซื้อขายสินค้านั้นคือใครที่ขนส่งน้ำมันที่ไอซิสขโมยมาไปยังยุโรปและตลาดค้าน้ำมันระหว่างประเทศอีกหลายแห่งเพื่อ เปลี่ยนเป็นเงินมูลค่าหลายร้อยล้านดอลลาร์ มีชื่อของโจรคนหนึ่งที่ปรากฏโฉมขึ้นมาในการค้า”น้ำมันก่อการร้าย” กับกลุ่มไอซิส คนๆนั้นคือ ไบลาล เอร์โดแกน บุตรชายของ เรเซป เทยิป เอร์โดแกน ประธานาธิบดีของตุรกีคนปัจจุบันนั่นเอง

 ประวัติ   เนคเมตติน ไบลาล เอร์โดแกน รู้จักกันในนาม ไบลาล เอร์โดแกน เกิด 23 เมษายน 1980 เป็นบุตรคนที่สามของประธานาธิบดี เอร์โดแกน ของตุรกี หลังจากจบการศึกษาชั้นมัธยมปลายจาก โรงเรียน คาร์ตาล อิหม่าม ฮาติ๊ป เมื่อปี 1999 ก็ไปศึกษาต่อที่สหรัฐฯ จบปริญญาโทที่ สถาบันของรัฐ จอห์น เอฟ เคเนดี้ มหาวิทยาลัยฮาร์เวิร์ดเมื่อปี 2004 จากนั้นก็เข้าฝึกงานที่ธนาคารโลกระยะหนึ่ง กลับตุรกีเมื่อปี 2006 และเริ่มชีวิตทางธุรกิจ ไบลาล คือ หนึ่งในผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัทส่งสินค้าทางเรือ “BMZ Group Denizcilik” และยังถือหุ้นในธุรกิจต่างๆอีกหลายสาขา

 บริษัทขนส่งทางเรือ BMZ Group ของเขาเป็นเครือข่ายที่มีส่วนอย่างมากในการลักลอบขนสินค้าเถื่อนจากอิรักและ กลุ่ม อิสลามมิก เสตทไปยังยุโรปตะวันตก และบทความด้านล่างนี้เขียนโดย F. William Engdahl ถึงพ่อลูกคู่นี้ใน New Eastern Outlook: เป็นการตอบคำถามสำหรับผู้ที่มีความสงสัย ถึงการที่พ่อลูกคู่นี้ทำการเปลี่ยนน้ำมันหลายล้านบาร์เรลของซีเรียให้เป็นเงินหลายล้านดอลลาร์ให้เป็นรายได้ของกลุ่มก่อการร้าย ไอซิส ไอซิส

เกมสกปรกที่เปี่ยมอันตรายของเอร์โดแกน 
By F. William Engdahl, posted originally in New Eastern Outlook: 

ในเดือนตุลาคม 2014 โจ ไบเดน รองประธานาธิบดีของสหรัฐฯได้กล่าวในการชุมนุมศิษย์เก่าฮาเวิร์ดว่า กลุ่มปกครองเอร์โดแกนนั้นหนุนหลังพวกไอซิสด้วยเงินจำนวนหลายร้อยล้านดอลลาร์และอาวุธเป็นตันๆ....”ภายหลังไบเดนกล่าวขอโทษเพื่อคลี่คลายผลประโยชน์ทางยุทธศาสตร์ ที่จะได้รับการรับอนุมัติจากเอร์โดแกนใช้ฐานทัพอากาศ อินเคียลิค สำหรับโจมตีต่อต้านไอซิสในซีเรีย แต่เรื่องที่เอร์โดแกนหนุนหลังไอซิสนั้นได้ถูกเปิดโปงไปอย่างกว้างขวางแล้ว มากกว่าคำพูดของไบเดน ที่ได้กล่าวอย่างมีนัย

กองกำลังของไอซิสที่ฝึกโดยสหรัฐฯ อิสราเอล และโดยหน่วยรบพิเศษของตุรกีที่เพิ่งจะปูดขึ้นมา ที่ฐานลับในจังหวัดคอนยา เมืองพรมแดนตุรกีที่ติดกับซีเรียมานานกว่าสามปี เอร์โดแกน มีความสัม พันกับไอซิส ลึกซึ้งมากขึ้นทุกขณะ ในช่วงที่สหรัฐฯ ซาอุดิ อาระเบีย แม้แต่การ์ตา ตัดความช่วย เหลือลง กลุ่มไอซิสก็ยังดำรงอยู่ได้อย่างน่าอัศจรรย์ เหตุผลก็คือได้รับการหนุนช่วยจากเอร์โดแกนและสาวกของเขา
นายกรัฐมนตรี อาห์เหมด ดาวูโตกลู ผู้นับถือนิกายสุหนี่ ที่มีแนวคิด “อาณาจักร อ๊อตโตมันใหม่” นั่นเอง 

ธุรกิจครอบครัว 

 แหล่งเงินทุนเบื้องต้นที่ป้อนให้กับกลุ่มไอซิสทุกวันนี้ คือการขายน้ำมันของอิรักจากแหล่งน้ำมันโมซุลซึง่เป็นฐานที่มั่นของกลุ่มไอซิส ลูกชายของเอร์โดแกน ดูเหมือนว่าจะเป็นผู้ส่งออกน้ำมันที่อยู่ในการควบคุมของไอซิส ไบลาล เอร์โดแกน เป็นเจ้าของบริษัทเดินเรือหลายแห่ง เขาเซ็นสัญญาที่มีเงื่อนงำกับบริษัทยุโรปในการขนถ่ายน้ำมันที่ขโมยจากอิรักไปยังบางประเทศในเอเซีย รัฐบาลตุรกีซื้อน้ำมันที่ปล้นชิงมาจากบ่อน้ำมันของอิรักที่ไอซิสยึดครอง บริษัทเดินเรือของไบลาลเป็นเจ้าของท่าเรือขนาดใหญ่ ในเบรุต และท่าเรือเซฮาน เพื่อขนส่งน้ำมันที่ไอซิสปล้นชิงมาให้แก่กองเรือบรรทุกน้ำมันสัญชาติญี่ปุ่น 

กูร์เซล เทกิน รองประธานพรรค สาธารณรัฐประชาชนตุรกี ได้กล่าวในการให้สัมภาษณ์สื่อของตุรกีว่า ....”ประธานาธิบดีเอร์โดแกนได้อ้างสิทธิ์ตามสนธิสัญญาขององค์การขนส่งระหว่างประเทศว่า ไม่มีการละเมิดกฎหมายแต่อย่างใด รวมไปถึงกิจกรรมที่ผิดกฎหมายของไบลาลบุตรชายซึ่งถือว่าเป็นการทำธุรกิจกับบริษัทญี่ปุ่นที่ได้จดทะเบียนอย่างถูกต้อง แต่ในความเป็นจริง ไบลาล เอร์โดแกน ได้สมคบกับกลุ่มก่อการร้าย ตราบใดที่พ่อของเขายังอยู่ในตำแหน่งก็จะเป็นภูมิคุ้มกันให้ไม่ถูกดำเนิน คดี”

เทกินยังกล่าวเสริมว่า บริษัทเดินเรือของไบลาลทำการขายน้ำมันให้ไอซิส บริษัท BMZ จำกัด เป็นธุรกิจของครอบครัวและญาติๆของประธานาธิบดีเอร์โดแกน ต่างก็ถือหุ้นของบริษัทและกู้เงินกองทุนจากธนาคารตุรกีโดยมิชอบ

นอกจากธุรกิจผิดกฎหมายที่ทำกำไรอย่างงดงามให้แก่ไบลาลบุตรชายที่ค้าน้ำมันกับไอซิสแล้ว ซูเมยีเอร์โดแกน บุตรสาวของประธานาธิบดีตุรกี ยังได้ดำเนินการโรงพยาบาลอย่างลับๆในค่ายทหารตุรกี ใกล้พรมแดนซีเรีย ซึ่งรถบรรทุกของทหารจะวิ่งเข้าออกเพื่อขนส่งนักรบไอซิสที่ได้รับบาดเจ็บมาให้การรักษาพยาบาลแล้วส่งกลับไปไปยังสนามรบในซีเรียอีก พยานยืนยันเรื่องนี้คือนางพยาบาลที่จบใหม่และได้เข้าทำงานที่นั่น จนกระทั่งถูกพบว่าเธอเป็นผู้นับถือนิกาย อัลลาไวท์(สาขาย่อยของนิกายชิอะห์) ซึ่งเป็นนิกายเดียวกับประธานาธิบดีอัล อัดซาด ของซีเรีย ที่เอร์โดแกน ต้องการโค่นล้ม

รามาซาน บากอล พลเมืองตุรกีจากเมืองคอนยาที่ถูกจับได้โดย นักรบของหน่วยป้องกันประชาชนชาวเคิร์ด (Kurdish People’s Defence Units/YPG) ในขณะที่กำลังพยายามเข้าไปร่วมกับไอซิส รับสารภาพว่า ตนถูกส่งไปร่วมกับไอซิสโดยนิกาย “อิสไมเลีย” ซึ่งเป็นนิกายที่เคร่งศาสนาอิสลามของตุรกี ที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับประธานาธิบดี เอร์โดแกน บากอล กล่าวว่า มีการเกณฑ์สมาชิกรุ่นใหม่ และเตรียมส่งไปสนับสนุนองค์กรของอิสลามหัวรุนแรงอีกด้วย และบอกว่านิกายกำลังฝึกการสู้รบในฐานใกล้เมืองคอนยาและส่งผู้ที่ผ่านการฝึกมาที่นี่เพื่อสมทบกับกลุ่มไอซิสในซีเรีย

 เทียรี่ เมสซอง นักวิเคราะห์ด้านภูมิศาสตร์การเมือง(geopolitical)กล่าวว่า เอร์โดแกน ได้ทำการปล้นในซีเรีย รื้อถอนโรงงานอุตสาหกรรมต่างๆในเมืองอเลโปเมืองหลวงด้านเศรษฐกิจของซีเรีย และขโมยเครื่องมือเครื่องจักรไป ในทำนองเดียวกันก็ได้ทำการขโมยสิ่งล้ำค่าทางประวัติศาสตร์และโบราณคดี แล้วตั้งตลาดระหว่างประเทศขึ้นเพื่อซื้อขายวัตถุโบราณเหล่านี้ที่เมือง อันติออค...ด้วยความช่วยเหลือจาก นายพล เบอร์นัวท์ ปูกา(อดีตหัวหน้าหน่วยสืบราชการลับฝรั่งเศส) เอร์โดแกนชูธงผิด โดยตั้งใจว่าจะกระตุ้นให้เกิดสงครามโดยประเทศในกลุ่มสนธิสัญญาแอตแลนติก โดยใช้อ่าวุธเคมีที่ ลา กูตตา ในกรุงดามัสกัส (เพื่อป้ายสีประธานาธิบดี อัดซาด แต่พิสูจน์แล้วว่าเป็นการกระทำของฝ่ายต่อต้านรัฐบาลซีเรีย)


เมื่อเดือนสิงหาคม 2013 เมสซอง อ้างว่ายุทธศาสตร์ซีเรียของเอร์โดแกน เริ่มพัฒนาขึ้นครั้งแรกอย่างลับๆด้วยการประสานงานกับอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศฝรั่งเศส อแลง จุปเป และ อาห์เหม็ด ดาวูโตกลู รัฐมนตรีต่างประเทศของเอร์โดแกนในปี 2011 หลังจากที่จุปเป จูงใจ เอร์โดแกน ให้คล้อยตามแนวคิดในการสนับสนุนการสลายพันธมิตรตุรกี-ซีเรียที่เคยเป็นมาแต่เดิม ในทางกลับกัน...ฝรั่งเศสให้คำมั่น ว่าจะสนับสนุนการเข้าเป็นสมาชิกสหภาพยุโรปของตุรกี ภายหลังฝรั่งเศสกลับคำปล่อยให้เอร์โดแกน เผชิญกับสงครามซีเรียโดยลำพังโดยใช้กลุ่มไอซิส

 นายพล จอห์น อาร์. อัลเลน ที่เป็นคู่ขัดแย้งในนโยบายยุทธศาสตร์สันติภาพของโอบามา ซึ่งขณะนี้เป็นตัวแทนทางการทูตในการประสานความร่วมมือในการต่อต้านรัฐอิสลามหรืออิสลามิกเสตท หลัง จากพบปะกับเอร์โดแกนแล้วได้แสดงบทบาทเกินอำนาจหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย และสัญญาว่าจะสร้าง”เขตห้ามบิน” ที่มีความกว้างถึง 90 ไมล์เหนือเขตอธิปไตยของซีเรีย และมีความยาวทอดยาวไปตลอดพรมแดนระหว่างตุรกีและซีเรีย คาดว่ามีเจตนาที่จะให้ผู้ลี้ภัยชาวซีเรียที่หลบหนีจากรัฐบาล แต่ในความเป็นจริงก็คือการประยุกต์ใช้แผนของ จุปเป-ไรท์ นายกรัฐมนตรีของตุรกี อาห์เหม็ด ดาวูโตกลู เปิดเผยว่า สหรัฐฯสนับสนุนโครงการนี้ผ่านรายการโทรทัศน์ช่อง อะ ฮาเบอร์ โดยเริ่มทิ้งระเบิดกองกำลังของ พรรคกรรมกรแห่งเคิร์ดิสถาน(PKK / Partiya Karkerên Kurdistanê‎)

เมสสอง กล่าว สงครามต่อต้านซีเรียของเอร์โดแกนได้พิสูจน์ให้เห็นอย่างชัดเจนแล้วว่าจะไม่มีวันชนะ ตุรกีและโลกควรจะได้รับสิ่งที่ดีกว่านี้ นโยบายต่างประเทศที่ “ไม่มีปัญหากับเพื่อนบ้าน” ที่โด่งดังของ อาห์เหม็ด ดาวูโตกลู ได้กลายเป็นปัญหาที่หนักอึ้งกับเพื่อนบ้านทั้งมวลสืบเนื่องมาจากนโยบายที่โง่เขลาทะเยอ ทะยาน ของเอร์โดแกนและพลพรรคนั่นเอง

Tuesday, August 25, 2015

บทเรียนของกรีซ: ความล้มเหลวของลัทธิปฏิรูป


บทเรียนของกรีซ: ความล้มเหลวของลัทธิปฏิรูป

 นายอเล็กซิส  ซีปราส    นายกรัฐมนตรีกรีกพึ่งจะประกาศว่าจะลงจากตำแหน่งเมื่อวันที่ 20 สิงหาคม    เขาได้สูญเสียเสียงสนับสนุนข้างมากในรัฐสภาและการแตกแยกของพรรคซีรีซา (Syriza) โดย  นาย ลาฟาซานิส แกนนำนำปีกซ้ายได้ประกาศตั้งพรรค”เอกภาพประชาชน” ขึ้นใหม่     ซีปราสได้ประกาศในโทรทัศน์เมื่อคืนที่ผ่านมาว่า     รัฐบาลพรรคซีรีซาได้ยื่นใบลาออกเพื่อให้มีการเลือกตั้งใหม่   ซีปราสกล่าวว่าประชาชนชาวกรีกยังคงต้องทำการต่อสู้ต่อไป แต่ประเทศกรีซได้ ”ตัดสินใจอย่างมีเกียรติ์”  ในเรื่องล่าสุดที่เรียกกันว่าการรับเงินช่วยเหลือ    มันหมายความว่าอย่างไร?

เงินช่วยเหลือ(เงินกู้)งวดแรกนี้มีมูลค่าแปดหมื่นหกพันล้านยูโร (86,000,000,000 ล้าน) หรือประมาณ เก้าหมื่นล้านดอลลาร์  ที่ต้องนำมาใช้จ่ายอย่างเข้มงวดในรูปแบบของการ”ปฏิรูป” ซึ่งบงการโดยกลุ่มทรอยก้า (Troika  คือวิธีเทียมม้าแบบรัสเซียที่ใช้ม้าเทียม 3 ตัว ในที่นี้นำมาเปรียบเทียบกับเจ้าหนี้ 3 ฝ่าย ได้แก่ ธนาคารกลางยุโรป . สมาชิกกลุ่มเศรษฐกิจยุโรป . และสถาบันการเงิน ไอ.เอ็ม.เอฟ) หลังจากมีการอภิปรายกันอย่างเผ็ดร้อนในรัฐสภา  รัฐบาลกรีกยอมรับการแปรรูปวิสาหกิจขนาดใหญ่(คือการทำทรัพย์สินของรัฐให้เป็นของเอก ชน) มาตรการเพิ่มภาษี  ทุกๆคนในกรีซรู้ดีถึงนโยบาย  และการตัดลด(cuts)เพื่อเป็นการประหยัด  มันบ่งบอกถึงการละทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างที่ซีปราสได้เคยสัญญากับประชาชนของกรีซเมื่อเขาได้รับเลือกตั้งในวันที่ 25 มกราคม ศกนี้ไปจนหมดสิ้น

 
ประชาชนชาวกรีกต่างรู้ว่านโยบายเหล่านี้หมายถึง   การตัดลดที่มากขึ้น  มาตรฐานการครองชีพที่ต่ำลง  การว่างงานเพิ่มสูงขึ้น  และความท้อแท้สิ้นหวัง    เพื่ออะไรล่ะ?  หลังจากที่ต้องทุกข์ทรมานกับนโยบายตัดลดที่โหดร้ายมาเป็นเวลา 5 ปี   ภาระหนี้สะสมของกรีกสูงขึ้นจาก 125% ไปเป็น 185% ของรายได้ ประชาชาติ     และขณะนี้กำลังพุ่งขึ้นเกอบจะแตะ 200% นี่คือความสำเร็จที่น่าทึ่งหรือ?   เงินกู้ยืมทั้ง หมดที่ให้แก่กรีซ  มีเพียงแค่ 10 % เท่านั้นที่กรีซได้รับ        ที่เหลือนั้นถูกส่งตรงไปยังหีบสมบัติของเยอรมันและสถาบันธนาคารต่างๆของยุโรป

 
เป็นที่ชัดเจนว่า  แม้คนตาบอดก็รู้ว่ากรีซไม่มีความสามารถที่จะจ่ายหนี้ก้อนมหึมานี้ได้   ในทางส่วนตัว(และแม้แต่ในด้านสาธารณะ)  นักเศรษฐศาสตร์ชนชั้นนายทุนก็ต้องยอมรับความจริง    กระนั้นพวกเขาก็ยังบีบคั้นประชาชนกรีกและผลักดันชาวกรีกให้ไปเกินกว่าขอบเขตจำกัดของความอดทน   จะต้องไม่มีมาตรการตัดลดใดๆอีกสำหรับประชาชนกรีกที่เป็นการเสี่ยงต่อการก่อให้เกิดการระเบิดทางสังคม  ประชา ชนกรีกได้แสดงออกให้เห็นอย่างชัดเจนในการคัดค้านอย่างรุนแรงในการทำประชามติในเดือนกรกฎาคมเมื่อประชาชนกรีกได้ลงคะแนนด้วยเสียงข้างมากต่อการรับเงินกู้งวดใหม่บนเงื่อนไขของการ รัดเข็มขัดให้มากขึ้น    และมวลชนจำนวนมหาศาลได้เคลื่อนไหวแสดงออกถึงความยินดีต่อชัยชนะอันยิ่งใหญ่    แต่ผู้นำของพรรคซีรีซากลับยอมยกธงขาวแสดงการยอมจำนนและยินยอมต่อคำบงการของบรรดาเจ้าหนี้ในยุโรป

 
การยอมจำนนที่น่าอับอายนี้  ได้สร้างความท้อแท้ผิดหวังแผ่ขยายไปในวงกว้างและยังเป็นแรงกระตุ้นให้เกิดกระแสการลาออกของสมาชิกพรรคเมื่อสัปดาห์ก่อนหน้านี้      อารมณ์ตกใจและสับสนเมื่อแรกๆได้กลายเป็นความเดือดดาลเมื่อประชาชนได้รู้ความจริงของนโยบายใหม่    และนี่เป็นเบื้องหลังในการแตกของพรรคซีรีซ่าและการเรียกร้องให้มีการเลือกตั้งใหม่ของซีปราส

 ความมืดบอดของนักปฏิรูป

การเลือกตั้งทั่วไปในเดือนมกราคมประชาชนได้เลือกพรรคซีรีซาเป็นรัฐบาลรัฐบาล  ที่ได้ให้สัญญาว่าจะยกเลิกมาตรการรัดเข็มขัดทั้งมวล     ถ้าคุณยอมรับในข้อจำกัดของระบอบทุนนิยม   ก็ต้องยอมรับในกฎกฎเกณฑ์ของมันด้วย      นั่นหมายความว่าคุณต้องการบริหารจัดการวิกฤติของระบอบทุนนิยม     สิ่งที่ ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ก็คือใช้มาตรการประหยัดสำหรับชนชั้นกรรมกร     ในขณะเดียวกันก็หยิบยื่นผลประ โยชน์ก้อนมหึมาซึ่งเป็นเงินของส่วนรวมให้แก่บรรดานายธนาคารและชนชั้นนายทุน

 
ความมืดบอดของทั้ง ซีปราสและ วาโรอูฟากิส(อดีตรัฐมนตรีคลัง)คือการที่เชื่อว่าพวกเขาจะสามารถจูงใจนาง แมร์เคล(นายกรัฐมนตรีเยอรมัน)และนายทุนยุโรปคนอื่นๆ ให้ยินยอมอ่อนข้อต่อกรีซได้ด้วยการเจรจา     อย่างที่เราได้ทำนายไว้ว่า..จะไม่มีการเจรจา       ชนชั้นนายทุนยุโรปมีความตั้งใจที่จะบดขยี้กรีซอยู่แล้ว   อีกอย่างหนึ่งมันน่าจะเป็นตัวอย่างที่ดีสำหรับพรรคที่ต่อต้านการมาตรการประหยัดในประ เทศอื่นๆ เช่นพรรค โพเดมอส (Podemos  พรรคการเมืองปีกซ้ายของเสปน ก่อตั้งเมื่อเดือนมีนาคม 2014 โดย พาโบล  อิกเลซิยาส)  ในเสปน  ที่จะเดินตามรอย

 
เมื่อต้องเผชิญหน้ากับฝ่ายตรงกันข้ามที่ไร้ความปราณีของบรรดาผู้นำในยูโรโซน    ซีปราส ขอทำประ ชามติ     นั่นเป็นผลให้มวลชนเคลื่อนไหวสนับสนุนรัฐบาล    ประชาชนชาวกรีกพร้อมแล้วที่จะต่อสู้กับมาตรการประหยัด      ถ้าซีปราสยังคงเป็นนักลัทธิมาร์กซอยู่เขาควรจะฉกฉวยโอกาสใช้การเคลื่อนไหวนี้เพื่อการเปลี่ยนแปลงสังคม      เขาควรเรียกร้องให้ชนชั้นกรรมกรเข้ายึดธนาคารต่างๆและทำให้เป็นสมบัติของชาติเสีย

 
เขาควรจะเป็นตัวอย่างให้แก่กรรมกรในยุโรปได้เดินตามแนวทางสังคมนิยมกรีก   ซึ่งนั่นจะเป็นกองกำลังมวลชนขนาดมหึมาในการเคลื่อนไหวต่อต้านมาตรการประหยัดนี้ไปทั่วยุโรป        และเป็นเพียงหนทางเดียวที่นาง แมร์เคล และคนอื่นๆจะยอมถอย      แต่เนื่องจากเป็นนักปฏิรูป..ซีปราสไม่แม้แต่จะพิจารณาถึงความเป็นไปได้ในเรื่องนี้    แทนความคิดที่ว่าเขาสามารถใช้ผลของประชามติมาเป็นข้อต่อรองเพื่อให้ได้ข้อตกลงที่ดี     ผลสุดท้ายกลับได้สิ่งที่แย่กว่า...นั่นคือเสียงสะท้อนกลับของการไม่ยอมรับของประ ชาชนในเดือนกรกฏาคม

 
ขณะนี้รัฐบาลซึ่งถูกเลือกมาเพื่อให้ต่อต้านมาตรการตัดลด     แต่กำลังตระเตรียมดำเนินการตัดลดที่รุน แรงขึ้น    นี่เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่ผลักให้ทั้งกรีซและพรรคไซรีซาต้องตกอยู่ในห้วงวิกฤต  ซีปราสผู้ซึ่งได้รับความนิยมอย่างมากเมื่อไม่นานมานี้     กำลังเสื่อมเสียความนิยมอย่างหนักในหมู่ประชาชนซึ่งเป็นส่วนที่มีความสำคัญ   นี่เป็นการสะท้อนถึงวิกฤตของผู้นำ       ภายใต้สถานการณ์เช่นนั้นย่อมเป็นไปไม่ได้ที่พรรคซีรีซาจะเกาะกุมกันได้ต่อไปอีก ซึ่งก่อนหน้านี้ก็มีเค้าของการแตกแยกอยู่แล้ว       ซีปราสได้วางรากฐานให้แก่ตนเองไว้แล้วในพรรคของชนชั้นนายทุนที่เป็นฝ่ายตรงกันข้าม     เนื่องจากเขาไม่สามารถควบคุมพรรคที่ตนสังกัดได้อีกต่อไป

 
การเลือกตั้งจะแก้ปัญหาอะไร?

เหตุผลที่ซีปราสเรียกร้องให้มีการเลือกตั้งโดยเร็วก็เพราะเขาหวังว่าจะมีเวลาไม่เพียงพอสำหรับพรรคใหม่(ที่แยกออกไป)    ซึ่งก่อตั้งโดยผู้นำปีกซ้าย พานาจิโอติส  ลาฟาซานิส ที่ยังไม่มีความพร้อม  และไม่มีความชัดเจนพอว่าจะได้ผู้สนับสนุนพรรคเอกภาพประชาชนของเขาจากพรรคซีรีซาสักกี่คน   ที่แน่ นอนก็คือ ลาฟาซานิส จะได้ใจประชาชนจำนวนไม่น้อยที่โกรธแค้นซีปราส

 
แม้จะเป็นเช่นนี้...  ก็ยังคงจะเป็นเหมือนเดิมที่ซีรีซายังจะเป็นพรรคที่ได้รับการเลือกมากที่สุดแม้การสนับสนุนจะลดลง     แต่ทางเลือกที่เอียงขวาก็ทำให้เสื่อมเสียมากขึ้นไปอีก    หลังจากที่เคยได้รับคะแนนเสียงในการเลือกตั้งเดือนมกราคมที่ 27.8%     การหยั่งเสียงในขณะนี้ปรากฏว่า คะแนนนิยมของกลุ่มปีกขวาพรรรคประชาธิปไตยใหม่เหลือไม่ถึง 20%

 
ถ้าซีปราส มีเสียงเพียงพอ บางทีเขาอาจจะตั้งรัฐบาลผสมกับพรรค แพนเฮเลนนิค  โซเซียลิสต์ มูฟเม้นต์ (PASOK* พรรคสังคมประชาธิปไตยกรีก)  และพรรค โพทามิ    อย่างไรก็ตามไม่แน่ว่าพรรค PASOKจะได้กี่ที่นั่งในรัฐสภาใหม่     และถ้าพรรคซีรีซาได้ที่นั่งน้อยกว่า 20%    ซีปราสอาจจะตั้งรัฐบาลผสมกับพรรคประชาธิปไตยใหม่ก็ได้    และนั่นก็หมายความว่าซีปราสกำลังจะนำซีรีซาไปสู่ความตาย   ไม่ว่าอย่างไรสิ่งที่จะเกิดขึ้นก็คือรัฐบาลผสมที่อ่อนแอและไม่มีเสถียรภาพท่ามกลางวิกฤตนี้   คงอยู่ได้ไม่นาน ขั้นตอนต่างๆจะ ทำให้การต่อสู้ทางชนชั้นมีความเข้มข้นขึ้น     ลักษณะพิเศษก็คือจะมีการแบ่งขั้วกันรุนแรงขึ้นระหว่างซ้ายและขวา      ขณะนี้ซีปราสยังเป็นศูนย์กลางทางการเมืองที่ไม่สามารถแก้ปัญหาใดๆได้    มันกำลังจะก้าวไปสู้ความยุ่งเหยิง..พรรคคอมมิวนิสต์กรีกจะเติบโตขึ้น และพรรค เอกภาพประชาชนอยู่ด้านซ้ายและพรรค โกลเดน ดอว์น อยู่ด้านขวา

 
สถานการณ์ปัจจุบันคือการก่อกำเนิดของการปฏิวัติที่มีศักยภาพ    สิ่งที่ขาดคือผู้นำการปฏิวัติที่แท้จริง ซึ่งสามารถเสนอทางออกแก่ประชาชนให้พ้นจากวิกฤตได้        พรรคคอมมิวนิสต์กรีซจำเป็นต้องได้รับการสนับสนุนจากทุกกลุ่ม  ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มที่มียุทธวิธีซ้ายจัด และบางส่วนที่คัดค้านซีปราสอย่างเหนียว แน่น      การได้รับความสนับสนุนจากพวกเขาย่อมมีความจำเป็นหลังจากซีปราสยอมจำนน      รวมไปถึงกลุ่มที่นิยมคอมมิวนิสต์ในพรรคซีรีซาที่ยืนหยัดคัดค้านการสมยอมของซีปราสและสนับสนุนนโยบายสังคมนิยมมาตลอด  ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นกรรมกรและกำลังจะแยกตัวออกจากพรรคซีปราส  รวมทั้งสมา ชิกพรรคคอมมิวนิสต์กรีกด้วย

 
สหาย ลาฟาซานิส  จะต้องได้รับเกียรติในการยืนหยัดต่อต้านการสมยอมของบรรดาผู้นำพรรคซีรีซา  แต่นโยบายของเขาที่เสนอนั้นไม่ใช่ทางเลือกที่แท้จริง         เขาสนับสนุนการออกจากการเป็นสมาชิกของกลุ่มยูโร     แต่ในขั้นตอนที่แน่นอนนั้นมีความเป็นไปได้ที่กรีซจะถูกขับออกจากสมาชิกยูโรไม่ว่าจะด้วยกรณีใดๆ   แม้ว่าโดยพื้นฐานของทุนนิยมจะเป็นการนำไปสู่วิกฤตที่หนักขึ้นอีก  เช่นการพังทลายของระ บบเงินตรา   อัตราเงินเฟ้อจะสูงขึ้น และในที่สุดมาตรฐานการครองชีพจะลดต่ำลง     ทั้งภายในหรือภาย นอกกลุ่มยูโร    หรือกลุ่มร่วมมือกันทางเศรษฐกิจยุโรป (EU)      วิธีแก้ปัญหาของกรีซนั้นอยู่บนพื้นฐานของระบอบทุนนิยมที่  ปัญหารุนแรงต้องแก้ไขด้วยวิธีที่รุนแรง

 

มีเพียงหนทางเดียวที่ประชาชนชาวกรีกจะสามารถควบคุมชะตากรรมให้กลับมาอยู่ในมือของตนได้ก็คือการขจัดอำนาจเผด็จการของบรรดานายธนาคารและนายทุนทั้งหลาย   ไม่เพียงแต่ในเบอร์ลิน  หรือ ในบรัสเซล เท่านั้นต้องในเอเธนส์อีกด้วย       มีความจำเป็นที่จะต้องยึดทรัพย์สินของบรรดานายธนาคาร    ผู้มีอิทธิพล  และพวกอภิสิทธิ์ชนกาฝากที่เป็นผู้ปกครองกรีซตัวจริง     มีเพียงทางนี้เท่านั้นที่การวาง แผนเศรษฐกิจอย่างสมเหตุสมผลจึงพอจะมีทางเป็นไปได้  ในการขจัดการว่างงาน   การไม่มีที่อยู่อาศัยและการสร้างรากฐานที่เป็นธรรมและสังคมประชาธิปไตยที่แท้จริงขึ้นมา

 
ะบอบทุนนิยมของกรีซอยู่ในภาวะขึ้นๆลงๆมาเป็นเวลาหลายปีแล้ว    ความไม่มั่นคงอย่างหนึ่งที่เป็นมาอย่างต่อเนื่องคือการรวมกลุ่มพันธมิตรทางการเมืองที่ไม่มีความแน่นอน    ผลของการเลือกตั้งแกว่งไปมาระหว่างซ้ายกับขวาต่อเนื่องกันซึ่งไม่สามารถแกปัญหาได้....ไม่ว่าในความรู้สึกของทั้งฝ่ายปฏิวัติและปฏิปักษ์ปฏิวัติ

เมื่อวิเคราะห์ให้ถึงที่สุดแล้ว        ชนชั้นนายทุนกรีกและยุโรปจะเรียกร้องให้ยุติในสิ่งที่พวกเขาเห็นว่าเป็น  ”ความวุ่นวาย” และพวกเขาจะพูดว่า :   “มีการนัดหยุดงานมากเกินไป...  มีการเดินขบวนและประท้วงบนถนนมากเกินไป   เราเรียกร้องกฎระเบียบ “  ฝ่ายซ้ายไม่มีทางออก....ในที่สุดก็จะเป็นการปูทางไปสู่ระบอบวีรบุรุษในกรีซ แม้ว่าระบอบที่ว่านี้จะไม่มีความมั่นคงก็ตาม    มันไม่สามารถแก้ปัญหาได้ทุกอย่างและก็มีความเป็นไปได้ว่าจะอยู่ได้ไม่ตลอด       มีเพียงทางเดียวคือเตรียมการและยกระดับไปสู่การปฏิวัติที่ใหญ่ขึ้น  เหมือนที่เราเห็นเมื่อปี 1974     ชนชั้นกรรมกรกรีกนั้นมีความมีธรรมเนียมการปฏิวัติที่ฝังอยู่ในความทรงจำมาช้านาน      ขอให้เราลองย้อนไปถึงกลุ่มปกครองที่ครองอำนาจต่อเนื่องกันมาตั้งแต่ปี 1967 จนถึง 1974 แต่ต้องถูกโค่นลงด้วยการปฏิวัติ

วิกฤตยุโรป

วิกฤตของยุโรปนั้นถูกเผยออกมาให้เห็นถึงรูปแบบที่แข็งทื่อในประเทศทุนนิยมที่อ่อนแอเช่น      เสปน  โปรตุเกส   และกรีซที่กระบวนการของมันได้ดำเนินไปไกลกว่าที่อื่นๆ แต่ในเสปนนั้นได้ก้าวล้ำหน้ากรีซไปแล้วก้าวหนึ่ง    ความฝันในการรวมเป็นหนึ่งเดียวของชนชั้นนายทุนยุโรปกำลังแตกสลายบนหลักการประหยัด

มากกว่า 20 ปี  ที่เราได้ชี้ให้เห็นถึงความเป็นไปไม่ได้   ในการรวมระบบเศรษฐกิจที่ดำเนินไปในทิศทางที่ต่างกัน     บนพื้นฐานของการเฟื่องฟูทางเศรษฐกิจลักษณะภายนอกของมันยังดำรงความเป็นเอกภาพ  เอาไว้ได้     แต่บนพื้นฐานของวิกฤตเศรษฐกิจความเป็นปรปักษ์เดิมๆในระดับชาติจะเริ่มก่อตัวขึ้นอีกครั้ง    แรงเหวี่ยงจากศูนย์กลางที่ทรงพลังทางเศรษฐกิจก็เริ่มจะมีการแตกตัว     และพลังที่ว่านี้จะเติบใหญ่ขึ้นตลอดเวลา
ผลกระทบของวิกฤตเศรษฐกิจกรีกรู้สึกว่าจะไปไกลเกินกว่าขอบเขตภายในประเทศ      ทั่วทั้งยุโรปจะ เกิดความหวั่นไหวไปกับนโยบายรัดเข็มขัดนี้ที่ไม่ใช่จะใช้แก้ไขปัญหาเพียงชั่วคราว  แต่มันจะลุกลามไปถึงมาตรฐานการครองชีพอีกด้วย     ในประเทศเช่นกรีซ โปรตุเกส และไอร์แลนด์นโยบายนี้มีผลในการตัดลดค่าจ้างและบำนาญไปเรียบร้อยแล้วโดยไม่มีการแก้ปัญหาการขาดดุล       ดังนั้นมันจึงเป็นความความล้มเหลวที่เกิดขึ้นบนความเจ็บปวดและความคับแค้นของประชาชน      ทุกหนทุกแห่งคนจนยิ่งจนลงไปอีก  ในขณะที่คนรวยกลับรวยมากขึ้น

ในการเจรจากับกรีซ   เยอรมันทำตัวเหมือนกับว่าเป็นผู้ควบคุมวงวงดนตรีที่บงการไปเสียทุกเรื่อง  ส่วน   นายทุนฝรั่งเศสก็เป็นประหนึ่งเจ้าทฤษฎีคนที่สองของยุโรป    ที่ผงกหัวเห็นด้วยอย่างนอบน้อมเมื่อนาง แมร์เคล  บอกปัดและโต้แย้งอย่างไม่ยี่หระกับข้อเสนอที่เกี่ยวข้องกับเรื่องทั้งหมด   สิ่งที่เราได้เห็นก็คือความอำมหิตที่แท้จริงซึ่งซ่อนอยู่หลังหน้ากากที่ยิ้มแย้มของ  ”ความเป็นหนึ่งเดียวของยุโรป”      การปฏิบัติของพวกเขาต่อกรีซนั้น    ชนชั้นนายทุนเยอรมันได้แสดงความกรุณาของเจ้าหนี้ที่สามานย์ที่สุดออกมา    “ถ้าคุณไม่มีเงินจ่ายหนี้  ก็ขายเครื่องเรือนมาชดใช้สิ!    อ้อ...ขายเครื่องเรือนแล้วรึ  งั้นก็เฉดหัวออกไปอยู่กลางถนนโน่น”
วิกฤตของระบอบปฏิรูป

ในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2  พรรคแรงงานและพรรคสังคมประชาธิปไตยได้นำเอาวิธีปฎิรูปมาใช้หลายครั้ง      พรรคเหล่านี้ได้รับการสนับสนุนในระดับที่น่าพอใจทำให้มีความมั่นคงในระดับหนึ่ง  แต่ช่วงเวลาเช่นนั้นได้จบลงไปแล้ว      ระบอบทุนนิยมได้ถลำลึกลงไปในห้วงวิกฤต   ทำให้ชนชั้นนายทุนไม่สามารถอดทนต่อวิกฤตที่ต่อเนื่องอย่างที่เคยเป็นมาเช่นในอดีตอีกแล้ว   จึงจำยอมให้มีการปฏิรูปขึ้น วิกฤติของระบอบทุนนิยมก็มีลักษณะเดียวกันกับระบอบปฏิรูป      ลักษณะประชาธิปไตยของชนชั้นนาย ทุนไม่เคยเป็นจริง และกำลังถูกเปิดโปงขึ้นในความรู้สึกนึกคิดของผู้คนนับล้านๆคนในเหตุการณ์ปัจจุบัน       จะมีคุณค่าอะไรสำหรับการลงประชามติและการเลือกตั้ง   ถ้าผู้มีอำนาจและบรรดานายธนาคารทั้งหลายไม่ได้ให้ความสนใจและเป็นผู้ตัดสินใจในท้ายที่สุด       ความว่างเปล่าและภาพลวงตาที่แสนสวยของลัทธิปฏิรูปและสังคมประชาธิปไตยได้ถูกเปิดโปงออกมาอย่างล่อนจ้อนไปทั่วทั้งทวีป     กระบวนการเช่นนี้ได้ถูกเร่งให้เร็วขึ้น  และกำลังจะเกิดขึ้นในประเทศต่างๆในช่วงเวลาเดียวกันนี้   
การขึ้นลงของพรรคและเหล่าผู้นำนั้นเปรียบเสมือนบารอมิเตอร์ที่สะท้อนให้เห็นถึงการเคลื่อนที่และความนิยมของมวลชนได้อย่างรวดเร็ว       บางทีก็กินเวลานับสิบปีสำหรับพรรคๆหนึ่งที่จะสูญเสียฐานมวลชน   แต่ภายใต้สถานการณ์ปัจจุบันมันใช้เวลาเพียงไม่กี่ปีหรือไม่กี่เดือน       เหมือนอย่างคราวที่พรรคซีรีซาตั้งขึ้นใหม่และได้ก้าวเข้ามาแทนพรรค Pasok อย่างรวดเร็ว    แต่ครั้งนี้พรรคที่ตั้งใหม่อาจได้รับความนิยมหรือตกต่ำได้อย่างรวดเร็ว    แต่องค์กรจัดตั้งมวลชนนั้นอยู่ได้เป็นทศวรรษหรือชั่วอายุคน    เคยอยู่ในวิกฤติ   แตกแยก  หรือไม่ก็สูญสลายไป

มาถึงบัดนี้  พรรคPasok คือพรรคหลักของชนชั้นกรรมกรกรีก  มันได้ถูกทำลายไปเนื่องจากผลพวงของการทรยศ      ผลก็คือพรรค Pasok ต้องประสบกับหายนะในขณะที่พรรคไซรีซาได้รับความนิยมแต่ก็เร็วเหลือเกินที่พรรคซีรีซากำลังตกอยู่ในห้วงวิกฤต      ความผุพังเสื่อมถอยของพรรคสังคมนิยมและพรรคคอมมิวนิสต์ได้นำไปสู่ความรุ่งโรจน์ของพรรคซีรีซาและพรรคโพเดมอส         การมองหาทางออกจากวิกฤตของมวลชนได้ทดสอบพรรคการเมืองต่างๆพรรคแล้วพรรคเล่า    บรรดาผู้นำรุ่นเก่าและนโยบายต่างๆได้รับการวิเคราะห์และถูกโยนทิ้งไป   แต่กรีซก็ยังแสดงออกในทางกลับกัน     ถ้าพวกเขาไม่แยกทางกับระบอบทุนนิยมและรับเอานโยบายแบบสังคมนิยมแล้ว      พวกเขาจะล่มสลายไปอย่างรวดเร็ว      นี่เป็นธรรมชาติของช่วงเวลาประวัติศาสตร์ในยุคปัจจุบัน

ในเสปนเราได้เห็นการเกิดขึ้นของพรรค โพเดมอส  ในสหราชอาณาจักรเราได้เห็นปรากฏการณ์ คอร์ไบน์ (Corbyn phenomenon)      ทั้งหมดนี้ได้แสดงให้เห็นถึงความไม่พอใจอย่างลึกซึ้งของสังคมในการแสวงหาทางการเมือง     และเรายังได้เห็นกระบวนการพื้นฐานเช่นนี้ในหลายๆประเทศ   มวลชนมีความมุ่งมั่นที่จะหาทางออกจากฝันร้าย    พวกเขาเลือกพรรคการเมืองและผู้นำครั้งแล้วครั้งเล่าและทิ้ง คนเหล่านั้นลงถังขยะแห่งประวัติศาสตร์ไปคนแล้วคนเล่าเช่นกัน          นั่นหมายถึงความโกรธแค้นที่เพิ่มขึ้นต่อผู้นำทางการเมือง    การต่อต้านคนร่ำรวยที่มีอำนาจละอภิสิทธิ์ก็ดี        ปฏิกิริยาต่อต้านสถานภาพเหล่านี้ก็ดี   เป็นพัฒนาการของเมล็ดพืชที่มีหน่ออ่อนของการปฏิวัติ    ที่ไปไกลกว่าเรื่องการปรับปรุงทางเศรษฐกิจ

จำนวนประชาชนที่ไม่เชื่อต่อคำมั่นสัญญาของบรรดานักการเมืองเพิ่มมากขึ้น   ที่แท้แล้วมันเป็นแค่สิ่ง ลวงตาที่พรรคการเมืองทั่วๆไปได้สร้างขึ้นมา    พรรคการเมืองที่ได้รับเลือกเหล่านั้นได้ทรยศต่อความความหวังของประชาชนโดยดำเนินการ”ตัดลด”ซึ่งถือว่าเป็นการฝ่าฝืนคำสัญญา    ทำให้พวกเขาต้องหมดความเชื่อถือไปอย่างรวดเร็ว    ผู้นำทางการเมืองที่ได้รับความนิยมมากที่สุดเพราะดูเหมือนว่าจะยืนหยัดเพื่อการเปลี่ยนแปลงนั้นต้องจบลงด้วยความดูหมิ่นเกลียดชังเมื่อพวกเขาดำเนินนโยบายที่น่าอดสูเช่นเดียวกับที่ผ่านมา    สิ่งเหล่านี้ได้เกิดขึ้นกับ ซีปราส ซึ่งเป็นตัวอย่างที่โดดเด่นในเวลานี้

คำพูดอย่างเป็นรูปธรรมซึ่งเป็นที่ชื่นชอบของบรรดานักลัทธิมาร์กซทั้งหลาย   “สถานการณ์ปัจจุบันได้หยิบยื่นสิ่งที่เป็นไปได้แก่ผู้ที่เตรียมจะหยิบฉวย     แต่ความเป็นไปได้ที่ยิ่งใหญ่กว่านั้นจะเปิดโอกาสให้ในช่วงที่พายุและความตึงเครียดได้ผ่านไปแล้ว”     วิกฤตนี้ไม่ธรรมดา..เป็นสถานการณ์เปลี่ยนแปลงที่แหลมคมและมีนัยต่อจิตสำนึก     ในโอกาสที่ซ้ำซากเช่นนี้ความคิดที่ยังยึดติดอยู่กับกฎเกณฑ์ในอดีต จะเป็นอันตรายต่อแนวโน้มในการปฏิวัติ    เราต้องเรียนรู้ที่จะคาดคะเนในสิ่งที่ไม่อาจคาดคะเนได้
การเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วและแหลมคมในสถานการณ์อันเป็นรูปธรรมนี้      เรียกร้องยุทธวิธีที่ชัดเจนที่มีความสอดคล้องและสัมพันธ์กัน      ผู้ที่สนับสนุนชาวคอมมิวนิสต์ได้ประกาสตนในการเข้าร่วมกับพรรคเอกภาพประชาชน    ภายใต้สถานการณ์ปัจจุบันมีเพียงการตัดสินใจที่ถูกต้องเท่านั้น   เรามีความเชื่อมั่นว่าชาวคอมมิวนิสต์จะสรรค์สร้างกำลังของตนต่อไป       ปลุกเร้าและให้การศึกษาแก่บรรดาผู้ปฏิบัติงานให้มีความสามารถที่จะพัฒนาการปฏิวัติของกรีซให้เติบใหญ่ขึ้นต่อไป

อลัน  วูดส์   ลอนดอน London 21 สิงหาคม 2015.

 

 

Sunday, August 16, 2015

กงสุลไทยถูกโจมตีที่ตุรกี...

กงสุลไทยถูกโจมตีที่ตุรกี...การการยั่วยุครั้งล่าสุดในสงครามตัวแทน สหรัฐฯ-จีน
โดย Tony    Catalucci
ฝูงม็อบที่โบกธงสีฟ้าขาวของรัฐ “เตอรกีสถานตะวันออก”  ที่ถูกสร้างขึ้นปัจจุบันตั้งอยู่ที่มณฑลซินเกียง  ของจีน      ได้ทำการโจมตีบุกรุกและทำลายทรัพย์สินของสถานกงสุลไทยในกรุงอิสตันบูล   ประเทศตุรกี     การโจมตีได้เกิดขึ้นหลังจากรัฐบาลไทยได้มีคำสั่งให้ส่งชาวอุยกูร์สัญชาติจีนในไทยไปยังตุรกีหรือจีนขึ้นอยู่กับการพิสูจน์สัญชาติ
                                                 
หนังสือพิมพ์ บางกอก โพสต์  ได้รายงานเรื่อง “สถานกงสุลถูกโจมตีในตุรกี” ว่า ....มีรายงานว่าฝูงชนได้รวมตัวกันที่หน้าสถานกงสุลในเวลาประมาณ 11.00น.ตามเวลาท้องถิ่น (เวลาในประเทศไทยบ่าย 3 โมง)   ทันใดนั้นเหตุการณ์ได้เปลี่ยนไปเป็นความรุนแรง    ฝูงชนได้พังรั้วและบุกเข้าไปในตัวอาคาร ทุบกระจกหน้าต่างและชักธงไทยลงมา      หลังจากนั้นเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยได้ทำการสลายฝูงชนและมีรายงานว่า .. ไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บ

กำลังของเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยได้มาถึงที่เกิดเหตุภายหลังที่ฝูงชนได้ทำการบุกเข้าไปแล้ว และได้ทำการสลายฝูงชนที่มีการจัดตั้งอย่างดี   เป็นที่เข้าใจได้ว่า.. ทำไมกำลังของเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยชาวเตอรกีถึงได้อนุญาตให้มีการโจมตีสถานกงสุลไทยดำเนินต่อไป  ต้องมีการรู้เห็นต่อบทบาทของชาวอุยกูร์ด้วย  ทั้งตุรกีและกระทรวงต่างประเทศสหรัฐฯเองต้องการบ่อนทำลายสันติภาพและความมั่นคงในประเทศจีนและต้องการสร้างพลวัตในการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลใหม่ของไทยโดยดึงเข้ามาในเกม

อีริค  เดรทสเตอร์  ได้วิเคราะห์ในด้านภูมิศาสตร์การเมืองในหัวข้อ  “ตุรกี,ลัทธิก่อการร้าย,และสง ครามตัวแทนทั่วโลก” ได้ให้รายละเอียดถึงบทบาทของตุรกีว่าเป็นผู้สนับสนุนเครือข่ายการก่อการร้ายขนาดใหญ่ของโลกที่ถูกใช้เป็นเครื่องมือของสหรัฐในการขยายอำนาจไปทั่วโลก   โดยเฉพาะอย่างยิ่งชาวอุยกูร์ก็คือเครือข่ายการดำเนินงานโดยตุรกีเชื่อมไปยังจีนโดยตรงโดยผ่านเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ไปยังตะวันออกกลาง   โดยปฏิบัติการเคลื่อนย้ายนักรบชาวอุยกูร์เข้าและออกจากสนามรบต่างๆรวมไปถึงซีเรียที่ชาวอุยรกูร์ได้เข้าร่วมรบเคียงบ่าเคียงไหล่กับกลุ่มก่อการร้าย ไอซิส

 เขายังชี้ให้เห็นถึงการสนับสนุนทางการเงินของสหรัฐโดยตั้งกองทุนขนาดใหญ่ และหนุนช่วยทางการการเมืองให้แก่กลุ่มแยกดินแดนใน มณฑลซินเกียงของจีน  โดยผ่าน เวปไซต์   กองทุนเพื่อประชาธิป  ไตยแห่งชาติ ( National Endowment for Democracy / NED) ที่ใช้ชื่อ “เตอรกีสถานตะวันออก” ซึ่งเป็นเพียงรัฐกำมะลอ ที่เกี่ยวโยงไปถึงการแยกดินแดนซินเกียงของจีน     ธงที่ใช้เป็นสัญลักษณ์ของรัฐที่ว่านี้มีรูปดาวและเดือนเสี้ยวบนพื้นธงสีฟ้าเหมือนกับธงที่ฝูงชนใช้ในการโจมตีสถานกงสุลไทย   เวปไซต์นี้มีการเขียนและลบอยู่เป็นประจำ    และในเวลาที่ผ่านมาได้มีองค์กรต่างๆได้บริจาคเงินเพื่อปฏิบัติการในมณฑลซินเกียงของจีนเช่น

มูลนิธิสิทธิมนุษยชนและประชาธิปไตยชาวอุยกูร์ระหว่างประเทศ 187,918 ดอลลาร์   เพื่อสนับ สนุนและยกระดับสถานะภาพด้านสิทธิมนุษยชนของชนกลุ่มน้อยที่เป็นสตรีและเด็กชาวอุยกูร์  เวปไซต์ของมูลนิธิ  มีทั้งภาษาอังกฤษและอุยกูร์ 

สมคมนักเขียนชาวอุยกูร์ระหว่างประเทศ บริจาค45,000 ดอลลาร์    เพื่อส่งเสริมเสรีภาพ ในการแสดงออกของชาวอุยกูร์      เวปไซต์ขององค์กรจะเสนอเรื่องงานหนังสือ  บทความ ที่ถูกสั่งห้ามของนักเขียน    กวี   นักประวัติศาสตร์  นักหนังสือพิมพ์ และอื่นๆ    สมาคมนักเขียนอุยกูร์ได้ดำเนินการรณณรงค์ในทางสากลเกี่ยวกับเรื่องสิทธิมนุษยชนของนักเขียนที่ถูกจำคุก 

สมาคมชาวอเมริกัน-อุยกูร์ บริจาค 280,000 ดอลลาร์   เพื่อเฝ้ามองปัญหาสิทธิมนุษยชนชาวอุยกูร์   โดยสมาคมมีโครงงานเรื่องสิทธิมนุษยชน  เช่นการวิจัย   รวบรวมเอกสารหลักฐาน   เพื่อนำไปสู่ความสนใจในทางสากล   เป็นอิสระในการรายงานการละเมิดสิทธิมนุษยชนที่มีผลกระทบต่อประชาชนเชื้อสายเติร์กในเขตปกครองตนเองซินเกียง ประเทศจีน

สภาชาวอุยกูร์โลก บริจาค 185,000 ดอลลาร์    เพื่อยกระดับความสามารถของชาวอุยกูร์กลุ่มที่นิยมประชาธิป ไตยและผู้นำ   ให้มีความเข้าใจในการดำเนินการด้านสิทธิมนุษยชนอย่างมีประสิทธิภาพและรณณรงค์  เพื่อการปกครองในระบอบประชาธิปไตย         สภาฯจะจัดการให้มีการประชุมขึ้นสำหรับกลุ่มผู้ที่นิยมระบอบประชาธิปไตยและบรรดาผู้นำในหัวข้อเรื่องปัญหาชนชาติส่วนน้อยในระดับสากลเพื่อนำนำไปสู่การสนับสนุนงานสิทธิมนุษยชนชาวอุยกูร์

รายชื่อขององค์กรที่กล่าวมาข้างบนนี้    ถูกใช้เป็นแนวร่วมทางการเมืองขององค์กรก่อการร้ายติดอาวุธที่ ทำการโจมตีจนทำให้ผู้คนเสียชีวิตทั้งในจีนและที่อื่นๆ   โดยมีเป้าหมายอยู่ที่ตำรวจและพลเรือน  รวม ไปถึงกรณืการใช้มีดไล่แทงคนที่สถานีรถไฟคุนหมิงเมื่อปี 2014    หลายองค์กรตามรายชื่อข้างบนนั้นได้ใช้ถ้อยคำแก้ต่างให้กับการโจมตีเช่นว่านั้น

เหมือนกับกองทุน NED ของสหรัฐที่ได้ดำเนินการในประเทศไทย โดยแอบอยู่เบื้องหลังของสิ่งที่เรียก ว่า “สิทธิมนุษยชน” และ “ประชาธิปไตย”   ในการสนับสนุนค้ำจุนกลุ่มก่อการร้ายติดอาวุธ  โดยไม่ได้มีจุดมุ่งหมายในการรักษาผลประโยชน์ของคนในท้องถิ่นเลย      หากแต่เพื่อความก้าวหน้าของวาระการประชุมของชาติตะวันตกที่มีเป้าหมายใจกลางในการบ่อนทำลายอธิปไตยของชาติต่างๆ   และผลักดันภูมิศาสตร์การเมืองและการอ่อนข้อทางเศรษฐกิจเพื่อประโยชน์ของกลุ่มทุนแห่ง วอลล์สตรีท  ลอนดอน  และ บรัสเซล     ไม่เป็นที่ประหลาดใจแต่อย่างใดเลยที่องค์กรชนิดเดียวกันนี้ซึ่งมีสหรัฐฯอยู่เบื้องหลังผลประโยชน์ในประเทศไทย   ต่างก็ดาหน้าออกมาพูดเกี่ยวกับกรณีของชาวอุยกูร์ด้วยถ้อยคำที่เข้าข้างสหรัฐฯ

สำนักข่าวรอยเตอร์ได้เสนอบทความเรื่อง “ประเทศไทยบีบบังคับผลักดันชาวอุยกูร์กว่าร้อยคนกลับไปประเทศจีน”   เพื่อทำให้สับสนคลุมเครือในเรื่องความรุนแรงที่กลุ่มแยกดินแดนเหล่านี้ได้มีส่วนร่วม   พอๆกับการรับทุนก้อนใหญ่จากสหรัฐฯก่อนจะรายงานข่าว       กลุ่มฝ่ายขวาได้แสดงความคิดเห็นต่อกรณีที่รัฐบาลไทยตัดสินใจส่งชาวอุยกูร์กลับประเทศจีน..กลัวว่าพวกเขาจะต้องเผชิญกับการปฏิบัติที่เลวร้ายกระทั่งถูกทรมาน   “เป็นเรื่องที่น่าตกใจและสับสนที่ไทยยอมรับการกดดันจากปักกิ่ง”  นักวิจัยด้านสิทธิมนุษยชนชาวไทยคนหนึ่งได้กล่าวกับสำนักข่าวรอยเตอร์        คนๆนี้..ว่าที่จริงแล้วก็คือหนึ่งในผู้สนับสนุนฝ่ายขวาไทย   ซึ่งได้รับการสนับสนุนทางการเงินจากองค์กร NED  เพื่อการปลุกระดมในประ เทศไทย  รวมไปถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นล่าสุดในการจับกุมนักศึกษา 14 คนที่ประท้วงรัฐบาล     ส่วนที่ร่วมมือและให้การสนับสนุนทางการเมืองแก่นักวิจัยผู้นี้น่าจะเป็นสำนักข่าวออนไลน์สำนักหนึ่ง  รวมไปถึงนักวิชาการบางคน       องค์กร NGO ที่ตั้งขึ้นโดยสหรัฐฯ  ล้วนแต่ได้รับเงินสนับสนุนจาก NED  ทั้งสิ้น  

ไทยได้ใช้เวลาตัดสินใจไม่นานนักที่ไม่อนุญาตให้ชาวอุยกูร์ใช้ดินแดนของไทยเป็นทางผ่าน..  ความสัม พันธ์ระหว่างจีน-ไทย ที่เพิ่มสูงขึ้น    ประเทศทั้งสองมีการร่วมมือกันมากมายหลายๆด้านเช่นด้านโครง    การสาธารณูประโภคพื้นฐานที่มีศักยภาพ, การจัดซื้อเรือดำน้ำโดยกองทัพเรือไทย      สำหรับประชาชนชาวไทยรู้ดีว่าสหรัฐฯ แทรกแซงกิจการภายในของไทยไปไกลถึงขนาดว่า  ใช้คนทรยศปลุกปั่นก่อความไม่สงบ โดยราดน้ำมันลงไปในสถานการณ์ทั้งทางการเมืองและเศรษฐกิจ    กระทั่งสนับสนุนปฏิบัติการ จากภายนอกประเทศและภายในบริเวณพรมแดนของไทย     รวมไปถึงการแสดงบทบาทของสหรัฐฯที่พยายามจะใช้ไทยเป็นที่อำนวยความสะดวกในกิจกรรมในต่างประเทศของตน    ที่สำคัญที่สุดก็คือการบ่อนทำลายประเทศจีนรวมไปถึงการสนับสนุนระบอบก่อการร้ายในตะวันออกกลาง
สหรัฐฯได้แสดงออกอย่างเปิดเผยมากขึ้นถึงความจำเป็นในการทำลายความสัมพันธ์ที่กำลังเติบโตเหล่า นี้      ด้วยความพยายามขยายความขัดแย้งกรณีพิพาทที่เกิดขึ้นในทะเลจีนใต้    และเพิ่มความพยายามที่จะให้เกิดความไม่มั่นคงในประเทศไทย โดยสร้างความปั่นป่วนในด้านผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจและการเมืองของประเทศไทยทั้งภายในและภายนอก
การโจมตีสถานกงสุลไทยในตุรกีโดยกลุ่มชนที่โบกธง ตุรกีสถานตะวันออก ที่สหรัฐฯสนับสนุนนั้นก็เท่า กับว่าเป็นการกระทำของสหรัฐฯโดยตรง    พันธมิตรชาวตุรกีของสหรัฐฯอเมริกาที่จัดตั้งกันมาอย่างดี ได้ทำการโจมตีและแยกย้ายสลายตัวกันไป   มีเจตนาที่จะส่งสัญญาณจากวอชิงตันถึงกรุงเทพฯ ว่า...การขัดขวางความเป็นเจ้าของตะวันตกนั้น..น่าจะเป็นอันตรายต่อสุขภาพของใครบางคน
ประวัติศาสตร์ยังคงพิสูจน์ว่า   การยอมจำนนต่ออำนาจความเป็นใหญ่ของตะวันตกนั้นเป็นอันตรายแค่ไหน? บางทีอาจจะหนักกว่านี้   ความสัมพันธ์ของไทย-จีนที่เพิ่มสูงขึ้นนั้นได้ยืนยันถึงความเข้าใจร่วมกันว่า ความพยายามที่จะอยู่ร่วมกับตะวันตกนั้นไม่ได้หมายความว่าจะรอดพ้นจากการครอบงำ     “การอยู่ร่วมกัน” ในความคิดของพวกเขานั้น     คือต้องการให้ตะวันออกยอมสยบต่อพวกเขาโดยสิ้นเชิงทั้งในด้านอธิปไตยด้วย


Wednesday, August 12, 2015

คำปราศรัยครั้งสุดท้ายของ กัดดาฟี

คำปราศรัยครั้งสุดท้ายของ กัดดาฟี

ในพระนามของอัลเลาะห์.. คุณความดี  และเมตตาธรรม....

กว่า 40 ปีแล้ว  หรือนานกว่านั้น ข้าพเจ้าจำไม่ได้   ข้าพเจ้าได้ทำทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อประชาชน  จะได้มีที่อยู่อาศัย   มีโรงพยาบาล   มีโรงเรียน    และเมื่อพวกเขาหิว  ข้าพเจ้าให้อาหาร ทำให้เบงกาซี ที่เป็นทะเลทรายให้กลายมาเป็นแหล่งเพาะปลูก       ข้าพเจ้าได้ยืนหยัดต่อสู้กับการโจมตีของ โรนัน เรแกน   เมื่อเขาได้ฆ่าลูกสาวบุญธรรมของข้าพเจ้าแล้วยังพยายามฆ่าข้าพเจ้า     และยังได้เข่นฆ่าเด็กๆที่ไร้เดียงสาที่น่าสงสารอีก     เมื่อข้าพเจ้าทำการช่วยเหลือเงินทองให้แก่พี่น้องชายหญิงในอัฟริกาเพื่อสหภาพอัฟริกา

สิ่งที่ข้าพเจ้าได้ทำมาทั้งหมดนั้นเพื่อให้ประชาชนได้ซึมทราบถึงประชาธิปไตยที่แท้จริง   จากการบริหารประเทศโดยสภาประชาชน     แต่นั่นยังไม่เป็นที่พอใจ   มีบางคนบอกข้าพเจ้าว่า ผู้ที่เป็นเจ้าของบ้านขนาด 10 ห้องนอนนั้นไม่เคยมีความพอใจ      พวกเขาเห็นแก่ตัวและต้องการมากกว่านั้น   พวกเขาพูดกับอเมริกาและผู้มาเยือนอื่นๆว่า พวกเขาต้องการ”ประชาธิปไตย” และ “เสรีภาพ”    แต่ไม่เคยเข้าใจเลยว่านั่นเป็นระบบที่ต้องเฉือนเนื้อตัวเองเพื่อป้อนให้แก่สุนัขตัวที่ใหญ่ที่สุด   พวกเขายังลุ่มหลงต่อถ้อยคำเหล่านั้นโดยไม่เคยคำนึงเลยว่า  ในอเมริกาไม่มียาฟรี  ไม่มีโรงพยาบาลฟรี  ไม่มีบ้านฟรี  ไม่มีการศึก ษาและโรงเรียนฟรี   นอกจากประชาชนจะต้องแบมือขอหรือต่อแถวยาวเหยียดเพื่อซุปเพียงชามเดียว

ไม่ว่าสิ่งใดๆที่ข้าพเจ้าได้ทำมา  ไม่เคยเป็นที่พอใจของคนบางคน  แต่สำหรับคนอื่นพวกเขารู้ดีว่าผมเป็นเสมือนลูกชายของ กามาล อับเดล นัสเซอร์   ซึ่งเป็นผู้นำอาหรับและมุสลิมเพียงคนเดียวที่เราเคยมีมาตั้งแต่ ซาเล่ห์ อัล ดีน   เมื่อท่านได้ยึดคลองสุเอซเพื่อประชาชน     ก็เหมือนกับที่ข้าพเจ้าอ้างสิทธิ์ในลิเบียก็เพื่อประชาชน     เป็นการเดินตามรอยเท้าของท่าน   ที่ข้าพเจ้าได้กระทำไปก็เพื่อให้ประชาชนของเราได้หลุดพ้นจากการปกครองแบบอาณานิคมของบรรดาโจรที่ขโมยทรัพยากรของเรา

ขณะนี้ข้าพเจ้าอยู่ภายใต้การโจมตีโดยกำลังทหารที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์     โอบามา ลูกหลานเชื้อสายอัฟริกันต้องการฆ่าข้าพเจ้า   และแย่งยึดเอาเสรีภาพไปจากประเทศของเรา   แย่งชิงที่อยู่อาศัย   บ้านเรือน   การรักษาพยาบาล  การศึกษา  และอาหาร  ที่ให้บริการฟรีแก่ประชาชนของเราไป  และแทนที่ด้วยการปล้นสะดมภ์แบบอเมริกันที่ เรียกว่า “ระบอบทุนนิยม”ซึ่งพวกเราประเทศโลกที่สามซาบซึ้งถึงความหมายของมันดี   ที่มันร่วมมือกันขับเคลื่อนประเทศขับเคลื่อนโลก  ทำให้ประชาชนทั้งโลกต้องทนทุกข์ทรมาน

ดังนั้น..ข้าพเจ้าจึงไม่มีทางเลือกอื่นใด    จำเป็นต้องยืนหยัด   และถ้าเป็นพระประสงค์ของอัลเลาะห์  ข้าพเจ้าจะยอมตายในวิถีทางของพระองค์    ด้วยการสร้างประเทศชาติของเรามั่งคั่งไปด้วยแผ่นแผ่นดินแห่งเกษตรกรรมมีอาหารอุดมสมบูรณ์ประชาชนมีสุขอนามัยที่ดี และเราจะยังคงให้ความ ช่วยเหลือแก่พี่น้องช่าวอัฟริกาและอาหรับทั้งหลาย        ข้าพเจ้าไม่ปรารถนาความตาย   แต่ถ้าจะจะต้องตายเพื่อรัก ษาปิตุภูมิและประชาชนที่เป็นเสมือนบุตรหลานให้อยู่รอดปลอดภัย    ข้าพเจ้าก็พร้อมที่จะตาย

ข้าพเจ้าขอประกาศต่อโลกว่า   ข้าพเจ้าจะยืนหยัดต่อสู้กับการโจมตีของ นาโต้ผู้บุกรุก   ยืนหยัด ต่อสู้กับความโหดร้าย   เผชิญหน้ากับการทรยศ   ต่อสู้กับชาติตะวันตกและความทะเยอทะยานของเหล่านักล่าอาณานิคมทั้งหลาย  และข้าพเจ้าจะยืนเคียงบ่าเคียงไหล่และขอเป็นดวงประทีปนำทางให้แก่บรรดาพี่น้องชาว อัฟริกา   ชาวอาหรับที่แท้   พี่น้องมุสลิม   ทั้งหลาย

ในขณะที่คนอื่นๆสร้างคฤหาสน์     ข้าพเจ้าอาศัยในบ้านที่ธรรมดาที่สุดและในกระโจม    ไม่เคยลืมชีวิตในวัยเด็กที่เซียร์เต    ข้าพเจ้าไม่เคยใช้จ่ายทรัพยากรของชาติไปอย่างโง่เขลา    และเช่นเดียวกับ ซาเลห์ อัล ดีน  ผู้นำมุสลิมที่ยิ่งใหญ่ของเรา..ผู้ปลดปล่อยเยรูซาเล็มให้แก่อิสลาม  ข้าพเจ้าทำเพื่อตัวเองเพียงเล็กน้อยเท่านั้น

ในโลกตะวันตก บางคนเรียกข้าพเจ้าว่า “คนบ้า” บ้าง  “คนฟั่นเฟือน” บ้าง     พวกเขาต่างรู้ความจริง แต่ยังกล่าวเท็จต่อไป    พวกเขาต่างก็รู้ว่าปิตุภูมิของเรานั้นเป็นอิสระและเสรีไม่ยอมอยู่ในอุ้งมือของนักล่าอาณานิคม    นั่นคือทัศนะของข้าพเจ้า  นั่นคือวิถีทางของข้าพเจ้า    และเป็นที่ประจักษ์แก่สายตาของประชาชนว่า    ข้าพเจ้าจะต่อสู้จนลมหายใจสุดเฮือกสุดท้ายที่จะทำให้เราเป็นอิสระ   ขออัลเลาะห์ที่ทรงมหิทธานุภาพทรงโปรดช่วยเราในการรักษาสัจธรรมและความเป็นเสรีด้วยเทอญ

มูอัมมาร์  กัดดาฟี

  

Friday, July 24, 2015

รุนแรงหรือไม่รุนแรง

รุนแรงหรือไม่รุนแรง ?   แปลโดย  สามัญชน

ปัญหาที่เกี่ยวข้องกับรัฐนั้นย่อมเชื่อมโยงอยู่กับความรุนแรงอยู่แล้ว      ชนชั้นปกครองมีเครื่องมือสำเร็จหลากหลายรูปแบบเพื่อใช้ในการคุกคาม     ไม่ว่าจะเป็นกองทัพ  ตำรวจ  ตำรวจลับ  ศาล   คุกตะราง  นักกฎหมาย   ผู้พิพากษา   รวมไปถึงผู้คุม      บรรดาผู้ประท้วงต่างได้รับบทเรียนอันล้ำค่าจากทฤษฎีลัทธิมาร์กซที่ว่าด้วย รัฐ อย่างสมบูรณ์แบบจากกระบองของตำรวจซึ่งไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรเลย   เพราะประวัติศาสตร์ส่วนใหญ่ได้แสดงให้เห็นอยู่แล้วว่าชนชั้นปกครองไม่เคยยินยอมสละความมั่งคั่ง   อำนาจ และอภิสิทธิ์โดยปราศจากการต่อสู้อีกทั้งเป็นการต่อสู้ที่ไร้กฎกฎเกณฑ์กติกาอีกด้วย    การเคลื่อนไหวปฏิวัติใดๆจะต้องถูกต่อต้านจากเครื่องมือที่ใช้กดขี่ของรัฐเสมอ

นักลัทธิมาร์กซมีทัศนะต่อความรุนแรงอย่างไร?      ชนชั้นนายทุนและผู้ปกป้องทั้งหลายจะกล่าวให้ร้ายลัทธิมาร์กซอยู่เสมอ      ซุ้งเป็นเรื่องที่ตลกสิ้นดี     เราลองมาพิจารณาดูคลังอาวุธที่ชนชั้นปกครองที่กองสุมไว้       กองทัพที่พรั่งพร้อมไปด้วยอาวุธหนักเบาทั้งหลาย  ตำรวจ  คุกตะรางและอื่นๆอีกนับไม่ถ้วน     จะเห็นได้ว่าชนชั้นปกครองไม่ได้ต่อต้านความรุนแรงเลยแม้แต่น้อย     ในความเป็นจริง..พวกเขาปกครองด้วยความรุนแรงอยู่แล้วในหลากหลายรูปแบบ     แต่มีความรุนแรงเพียงรูปแบบเดียวเท่านั้นที่พวกเขาเกลียดชังนั่นก็คือ        เมื่อคนจนผู้ถูกกดขี่และมวลชนผู้ถูกเอารัดเอาเปรียบพยายามที่จะปกป้องตนเองโดยการลุกขึ้นมาต่อต้านความรุนแรงขององค์กรอำนาจรัฐของชนชั้นนายทุนที่กระทำต่อพวกเขา      นั่นหมายถึงการต่อต้านความรุนแรงโดยตรง  ซึ่งก็คือการกดขี่ทางชนชั้น  อำนาจ และระบอบกรรมสิทธิ์ของชนชั้นปกครอง

มันเกิดขึ้นโดยไม่ต้องกล่าวว่าเราไม่ได้สนับสนุนความรุนแรง   เราได้เตรียมที่จะใช้ทุกวิธีที่ประชาธิป  ไตยของชนชั้นนายทุนที่อนุญาตและเปิดทางให้  แต่เราจะต้องไม่อยู่ภายใต้สิ่งลวงตา        ภายใต้ประ ชาธิปไตยชนชั้นนายทุนที่เป็นเสมือนม่านบังตา       มันได้ช่อนเร้นความเป็นเผด็จการของบรรดานายธนาคารใหญ่และบริษัทขนาดใหญ่ทั้งหลายเอาไว้     ในขณะที่ประชาชนได้รับการบอกเล่าว่า   พวกเขาสามารถใช้วิถีทางประชาธิปไตยในการตัดสินใจเลือกแนวทางใดๆก็ได้โดยผ่านการเลือกตั้ง      ในความเป็นจริง..การตัดสินใจอยู่ที่กลุ่มผู้กุมอำนาจเพียงไม่กี่คน        ผลประโยชน์ของชนชั้นนายทุนจำนวนเพียงหยิบมือเดียวมักมีน้ำหนักมากกว่าคะแนนเสียงของประชาชนธรรมดานับล้านๆคน    ความหมายที่แท้จริงของรูปแบบประชาธิปไตยชนชั้นนายทุนก็คือ   ทุกคนสามารถพูดได้ตามที่ตนเองต้องการตราบ    เท่าที่เจ้าของธุรกิจขนาดมหึมายังเป็นผู้ตัดสินใจว่า  จะให้เกิดอะไรขึ้นในประเทศนี้

ความเป็นเผด็จการของธุรกิจขนาดมหึมานี้ซ่อนอยู่ภายใต้หน้ากากที่ยิ้มแย้ม     แต่เมื่อใดที่เกิดวิกฤตหน้ากากที่เมตตาของ ”ประชาธิปไตย”    จะกะเทาะออกมาปรากฎให้เห็นใบหน้าที่น่าชังของเผด็จการชนชั้นนายทุนออกมาให้เห็น     ปัญหาก็คือ...ไม่ว่าอย่างไรประชาชนเราก็มีสิทธิ์ที่จะต่อต้านเผด็จการพวกนี้และขับไล่..โค่นล้มมันลงไป     คำตอบมันมีมานานแล้วเมื่อประชาชนอเมริกันได้ลุกขึ้นสู้พร้อมกับอาวุธในมือ เพื่อปกป้องสิทธิของตนจากการกดขี่ของทรราชแห่งจักรวรรดิ์อังกฤษ      เรื่องนี้ได้รับการแก้ไขเป็นพิเศษในรัฐธรรมนูญของสหรัฐฯ  ที่ปกป้องสิทธิของประชาชนในการใช้อาวุธเป็นหลักประกันของเสรีภาพ        บรรดาเชษฐบุรุษ” ผู้ก่อตั้งชาติได้ให้การสนับสนุนสิทธิของประชาชนในการลุกขึ้นสู้ด้วยอาวุธเพื่อต่อต้านรัฐบาลทรราช     รัฐธรรมนูญฉบับนิวแฮมเชียร์ ปี 1784  ได้เขียนไว้ว่า  “การไม่ต่อต้านอำนาจที่ไม่ชอบธรรมและกดขี่เป็นเรื่องที่เลวร้าย    เป็นพฤติกรรมเยี่ยงทาส    และเป็นการทำลายคุณความดีและความสงบสุขของงมนุษยชาติ”   

การปฏิวัติทุกครั้งในประวัติศาสตร์ รวมไปถึงการปฏิวัติใหญ่ของประชาชนอเมริกา    ได้แสดงให้เห็นถึงความถูกต้องของมาร์กซที่เขียนว่า “กำลัง...คือนางผดุงครรภ์ที่ทำคลอดสังคมใหม่จากครรภ์ของสังคมเก่า”    อย่างไรก็ตาม... นโยบายขั้นแรกสุดของลัทธิมาร์กซที่เองเกลส์ได้เขียนอธิบายไว้ใน “หลักการของลัทธิคอมมิวนิสต์”  ถึงคำถามข้อ 16 ว่า

คำถาม   มีความเป็นไปได้แค่ไหน  ในการยกเลิกทรัพย์สินส่วนบุคคลโดยสันติวิธี?
ตอบ   มันเป็นความปรารถนาของเราที่จะให้เป็นเช่นนั้น       และชาวคอมมิวนิสต์ถือว่านั้นเป็นเรื่องสุด ท้ายที่จะต้องคัดค้าน     ชาวคอมมิวนิสต์รู้เป็นอย่างดีว่าแผนงานที่ต่อเนื่องเช่นนี้ไม่ใช่เป็นเพียงเรื่องที่เปล่าประโยชน์แม้ว่าจะเป็นเรื่องที่น่าวิตกก็ตาม       พวกเขายังรู้ดีว่าการปฏิวัติไม่ได้ทำกันอย่างเจาะจงและไร้กฎเกณฑ์แต่จะเกิดขึ้นได้ในทุกหนทุกแห่งและทุกเวลา     ผลที่ออกมาของสถานการณ์ทั้งหมดไม่ได้ขึ้นอยู่กับความต้องการและการนำของพรรคที่แน่นอนใดๆหรือของชนชั้นทั้งชนชั้น  แต่ในขณะ เดียวกันก็สามารถสังเกตเห็นได้ถึงพัฒนาการของชนชั้นกรรมาชีพที่ถูกบังคับกดขี่ในปะเทศที่อารยะแล้ว     ดังนั้นจากสิ่งเหล่านี้ชาวคอมมิวนิสต์จึงแนวโน้มที่จะสนับสนุนการปฏิวัติในทุกวิถีทาง      สมควรกระตุ้น ให้ชนชั้นกรรมาชีพที่ถูกกดขี่ให้เข้าร่วมในการปฏิวัติ        นั่นเป็นสาเหตุให้เราชาวคอมมิวนิสต์จะปก ป้องชนชั้นกรรมาชีพด้วยการกระทำเหมือนเช่นเราได้ประกาศไว้ (Engels, Principles of Communism, Marx and Engels Selected Works, Vol. I, p. 89.)
 
เป็นความจริงที่ว่าเมื่อชนชั้นกรรมกรได้มีการจัดตั้งและเคลื่อนไหวเพื่อที่จะเปลี่ยนแปลงสังคมที่ไม่มีรัฐ  ไม่มีกองทัพ  หรือตำรวจมาคอยขัดขวาง      เก้าในสิบครั้ง..ไม่ว่าการลุกขึ้นสู้ในช่วงสถานการณ์ปฏิวัติ    ชนชั้นปกครองจะเป็นผู้ก่อความรุนแรงขึ้นก่อนเสมอเพราะมีอำนาจ     ดังนั้นในทางกลับกัน..  อันตรายจากความรุนแรงเมื่อคิดตามสัดส่วนแล้ว   ไม่ได้เป็นความต้องการของชนชั้นกรรมาชีพในการต่อสู้เพื่อเปลี่ยนแปลงสังคมเลย     เหมือนที่ชาวโรมันโบราณพูดอยู่เสมอๆว่า “” ถ้าต้องการสันติภาพ..จงเตรียมทำสงคราม” (Si pacem vis para bellum)
 
อย่างไรก็ตาม    นั่นก็ไม่ได้หมายว่าเราสนับสนุนการกระทำด้วยความรุนแรง ที่นั่น ที่นี่โดยกลุ่มคนหรือ โดยตัวบุคคล   เช่นการก่อจราจลโดยไม่มีสาเหตุ   ปากระจก  วางเพลิง ฯลฯ  สิ่งเหล่านี้ได้สะท้อนถึงความโกรธแค้นและไม่พอใจของผู้คน   โดยเฉพาะคนว่างงานและคนหนุ่มที่ถูกปลดออกจากงาน ที่รู้สึกว่าไม่มีความเป็นธรรมในสังคมชนชั้น    แต่การแสดงออกเช่นนี้ไม่ได้ก่อผลในทางบวกเลย     พวกเขาเป็นเพียงชั้นชนที่แปลกแยกของชนชั้นกรรมกรอันไพศาล       และยังเปิดโอกาสให้แก่ชนชั้นปกครองสา  มารถมีข้ออ้างที่จะใช้กำลังของรัฐอย่างเต็มที่ในการปราบปรามการเคลื่อนไหวทั่วๆไปอีกด้วย   พลังทางสังคมชนิดหนึ่งที่มีความเข้มแข็งมากกว่าแม้แต่กองกำลังของรัฐ    นั่นก็คือพลังของชนชั้นกรรมกรซึ่งในไม่ช้าจะถูกจัดตั้งขึ้นเพื่อเคลื่อนไหวในการเปลี่ยนแปลงสังคม     ทันทีที่กองกำลังมหึมานี้เคลื่อนไหวมันจะไม่มีพลังใดๆในโลกที่จะยับยั้งได้    หากกรรมกรนับล้านๆเคลื่อนไหวจนถึงที่สุด     พลังของมันจะสามารถโค่นระบอบที่กดขี่ลงไปได้       ปัญหาอยู่ที่การนำและองค์กรของชนชั้นกรรมกรเอง

จะทำอย่างไรดี
การนำองค์กรมวลชนเริ่มต้นที่สหภาพแรงงาน    แต่ทุกแห่งเป็นเรื่องที่น่าเสียใจ     ภาพที่ฉายออกมา เป็นภาพที่ชนชั้นกรรมกรถูกพิชิตอันเนื่องมาจากการนำที่ไม่ดี    เป็นที่เข้าใจกันดีว่า เยาวชนคนหนุ่มสาวต่างไม่สบอารมณ์กับบทบาทการนำในปัจจุบันนี้     จึงมุ่งสู่แนวคิดและการแก้ปัญหาแบบอนาธิปไตย      ในหลายๆกรณี...  ผู้ที่เรียกตัวเองว่าเป็นนักอนาธิปไตยนั้นไม่มีความรู้แม้กระทั่งเรื่องทฤษฎีและประวัติ ศาสตร์ของลัทธิอนาธิปไตยเลย     หลักการอนาธิปไตยของพวกเขาไม่ใช่ลัทธิอนาธิปไตยอย่างแน่นอน มันเป็นเพียงปฏิกิริยาต่อต้านลัทธิขุนนางและลัทธิปฏิรูปเท่านั้น    เมื่อพวกเขาพูดว่า ..“เราต่อต้านการ เมือง” พวกเขาหมายถึง ”เราต่อต้านการเมืองที่เป็นอยู่นี้    ซึ่งมันไม่ได้เป็นตัวแทนของประชาชนอย่างแท้จริง”    เมื่อเขาพูดว่า “เราไม่ต้องการพรรคและผู้นำ!    พวกเขาจะหมายถึง... “เราไม่ต้องการพรรคการเมืองและผู้นำในปัจจุบันที่ตีตัวออกจากสังคม และรักษาผลประโยชน์ส่วนตัวและของนายทุนที่หนุนหลังพวกเขาเท่านั้น”

ลัทธิอนาธิปไตย  จริงๆแล้วมันเป็นแค่เปลือกนอกที่ยังไม่สมบูรณ์ของพรรคบอลเชวิคที่มีนักปฏิวัติลัทธิมาร์กซเท่านั้น     แต่มันได้ใจเยาวชนคนหนุ่มสาวผู้มีความปรารถนาที่จะเปลี่ยนแปลงสังคมอย่างสุดจิตสุดใจ       หลายๆคนในหมู่พวกเขาจะรู้สึกถึงข้อจำกัดในความคิดของนักอนาธิปไตยและวิธีการต่างๆ     และเพื่อแสวงหาทางเลือกที่ปฏิวัติกว่า       แต่การขาดการนำที่ถูกต้องและขาดนโยบายที่ชัดเจนในการ เคลื่อนไหวต่อสู้ทำให้จำนวนคนที่เข้าร่วมลดลงตลอดเวลา    จากประสบการณ์ที่เจ็บปวดนี้กรรมกรและเยาวชนรุ่นใหม่เริ่มเข้าใจธรรมชาติของปัญหาที่วางอยู่เบื้องหน้า       และเริ่มเข้าใจทีละน้อยถึงความต้องการแก้ปัญหาอย่างถึงรากถึงโคน    องค์ประกอบที่ดีเลิศสำหรับการเริ่มต้นที่จะตระหนักว่าวิธีที่จะหลุดพ้นจากทางตันได้ ก็คือการฟื้นฟูการปฏิวัติสังคม      

มันไม่ใช่เรื่องง่ายๆเลยสำหรับเรื่องนี้   แต่แน่นอน..ไม่มีสิ่งดีๆอะไรที่ง่ายในชีวิต   ก้าวแรกที่สำคัญคือการปฏิเสธสังคมที่กำลังดำรงอยู่นี้   ไม่ว่าจะเป็นสถาบันของมัน  คุณค่าและจริยธรรมของมัน   นี่คือย่างก้าวที่ง่ายที่สุดบนเส้นทางที่หลากหลาย... มันไม่ใช่เรื่องยากที่จะประท้วงหรือปฏิเสธ    แต่อะไรละที่มีความจำเป็น...ก็คือคำพูดที่ปราศจากข้อสงสัยว่า “ จะทำอย่างไรกัน ?”  
สิ่งสำคัญที่จะต้องเน้นคือ      ความจำเป็นที่จะต้องมีจิตสำนึกแนวคิดที่แจ่มชัดรวมไปถึงนโยบายและยุทธวิธี     ความผิดพลาดทางทฤษฎีเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะนำไปสู่ความผิดพลาดทางการปฏิบัติ     นี่ไม่ใช่การทดสอบทางวิชาการ     การต่อสู้ทางชนชั้นไม่ใช่การเล่นเกมส์       และในประวัติศาสตร์นั้นอุดมไปด้วยตัวอย่างนานาชนิดที่แสดงถึงความไม่ชัดเจนในทางการเมืองอันจะนำไปสู่โศกนาฏกรรมที่เศร้าสลดซึ่งติดตามมา     ประเทศสเปนเมื่อทศวรรษที่ 1930 คือกรณีตัวอย่าง

ในขั้นตอนแรกของการปฏิวัติ  สิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้คือการรวมกันของความไร้เดียงสาและสิ่งลวงตาทุกชนิด    แต่สิ่งลวงตาเหล่านั้นจะถูกทำลายลงไปโดยเหตุการณ์ที่เป็นจริง      การเคลื่อนไหวเป็นการทดสอบและข้อผิดพลาด...มันต้องการเวลาสำหรับการเรียนรู้    หากมีพรรคลัทธิมาร์กซที่มีรากฐานมวล ชนและมีความเข้มแข็งในทางการเมืองอยู่     กระบวนการเรียนรู้ก็จะเป็นไปได้อย่างรวดเร็วโดยไม่มีข้อ ข้อสงสัย     และแน่นอน..มันอาจจะเพรี่ยงพล้ำและถดถอยบ้างแต่ก็เพียงเล็กน้อย   ถ้ายังไม่มีพรรคการ เมืองแบบนั้น  ... ก็มีความจำเป็นที่จะสร้างพรรคขึ้นมาอย่างเร่งด่วน

ความสับสน..การขาดนโยบาย   การถกเถียงที่ไม่มีข้อสรุปคือการการเคลื่อนไหวที่ไม่เป็นคุณ   ถ้าต้อง การให้การเคลื่อนไหวสำเร็จลุล่วง....จะต้องติดอาวุธทางความคิดที่ชัดเจนและมีนโยบายสอดคล้องกับการปฏิวัติ     และนั่น...ลัทธิมาร์กซสามารถตอบสนองได้   กรรมกรและเยาวชนได้แสดงออกถึงสติปัญ  ญาและเริ่มต้นได้อย่างยอดเยี่ยม       บัดนี้ทุกอย่างนั้นขึ้นอยู่กับความสามารถของนักปฏิวัติซึ่งประกอบ กับกรรมกร และ นักศึกษา เยาวชนที่จะนำพาไปสู่บทสรุป    ติดอาวุธด้วยนโยบายของการปฏิวัติที่แท้ จริง..ที่พวกศัตรูไม่อาจเอาชนะได้

คัดมาจากบางตอนของบทความขนาดยาว  เรื่อง  “ลัทธิมาร์กซหรือลัทธิอนาธิปไตย” ของ อลัน วูดส์